xs
xsm
sm
md
lg

ประชาธิปไตยส่วนตัว-สู้แล้วรวย !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


การเคลื่อนไหวแบบนี้ถือว่าหมิ่นเหม่ต่อการเกิดจลาจล อย่างไรก็ตามการหันมาใช้วิธีการปิดถนน และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในวงกว้าง เชื่อว่าทางฝ่ายเสื้อแดงเลือดเข้าตาแล้ว ต้องการปิดเกมให้เร็วที่สุด แต่ขณะเดียวกันนับจากนี้ไปแรงกดดันจะหันกลับไปหาฝ่ายผู้ชุมนุมเอง และไม่ได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน

ปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทยและกำลังเกิดขึ้นกับกลุ่ม “คนเสื้อแดง” เวลานี้กำลังถูกท้าทายและถูกตั้งคำถามอย่างหนักว่า เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ประชาธิปไตยแบบไหน และเพื่อใคร รวมทั้งมีใครบ้างที่ได้ประโยชน์

ที่สำคัญเวลานี้สังคมไทยเริ่มรับรู้และจับได้ไล่ทันแผนการอันอำมหิตของนักโทษหนีคุกคนหนึ่งที่กำลังจับชาวบ้านเป็นตัวประกัน กำลังทำทุกทางเพื่อเอาตัวเองให้รอด และได้ประโยชน์ โดยไม่นำพาว่าคนอื่นหรือประเทศชาติจะได้รับความเสียหายเพียงใด

การบัญชาการปลุกระดมอยู่นอกประเทศ และล่าสุดได้อพยพสมาชิกคนสำคัญในครอบครัวหลบหนีออกนอกประเทศเพื่อความปลอดภัย โดยทยอยออกไปตั้งแต่วันที่ 6-7-8 เมษายน เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็น พจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา และลูกๆ เช่น พานทองแท้ พิณทองทา แพรทองธาร ชินวัตร รวมทั้ง “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือแม้กระทั่ง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ก็ได้ข่าวว่าหลบร้อนไปอยู่ใต้หวัน เช่นเดียวกัน

ขณะที่การปรากฏตัวกลางวงม็อบเสื้อแดง เมื่อบ่ายวันที่ 8 เมษายน ของเครือญาติคนสำคัญ เช่น เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีสิ่งน่าพิรุธ เพราะเกิดขึ้นหลังจากที่ข่าวการหลบหนีออกนอกประเทศของลูกเมีย เริ่มสร้างความระส่ำระสายให้กับ ม็อบและบรรดาผู้สนับสนุน จึงต้องโผล่หน้าออกมาให้เห็น

แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าแต่ละคนปรากฏตัวเพียงแค่แวบเดียว ไม่เกิน 15 นาทีเท่านั้น และแต่ละคนถ้าพิจารณาตามลักษณะการแต่งตัวแล้วเหมือนกับการเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง เพราะมีเพียงสวมผ้าพันคอสีแดง หรือบางคนก็สวมเสื้อยืดดีแดงทับอยู่ภายนอกเท่านั้น

พร้อมจะเผ่นหนีออกไปทุกเมื่อ !!

หลายฝ่ายจึงเริ่มวิเคราะห์ออกมาตรงกันว่า เป็นการส่งสัญญาณเชิงลึกว่าจะมีการเปลี่ยนวิธีการหันมาใช้ความรุนแรง ก่อจลาจล ในบ้านเมือง เพื่อสร้างแรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ต้องการเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะฉิบหายวายป่วง ชาวบ้านส่วนใหญ่จะเดือดร้อนอย่างไร

แต่ก็อ้างว่านี่คือการเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง


แต่หากมาทำความเข้าใจกับประชาธิปไตยของ ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดงที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นประชาธิปไตยส่วนตัวเท่านั้น เป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสูงสุด

ขณะเดียวกันเมื่อหันมาพิจารณาข้อเรียกร้องในแต่ละข้อนอกจากมีความสับสนกลับไปกลับมาแล้วยังเป็นไปไม่ได้อีกด้วย

เพราะหากไล่เรียงไปแต่ละข้อตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้นำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เรียกร้องให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีทั้งลาออกและยุบสภาทั้งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่

ถัดมาก็เปลี่ยนแปลงใหม่ แบบรายวัน เบนเป้าบีบให้ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ลาออกจากประธานองคมนตรี รวมทั้งองคมนตรีอีกสองคนคือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ

ซึ่งข้อเรียกร้องอย่างหลังหากพิจารณาให้ดีจะพบว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ หรือเป็นไปได้ยาก เนื่องจากตำแหน่งองคมนตรีเป็นพระราชอำนาจและพระราชวินิจฉัยส่วนพระองค์ ดังนั้นการยื่นข้อเรียกร้องดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายการก้าวล่วงพระราชอำนาจ

อีกทั้งระหว่างการปักหลักชุมนุมที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์และหน้าทำเนียบรัฐบาล บรรดาแกนนำต่างใช้วาจาหยาบคายด่าทอด้วยเรื่องส่วนตัว สร้างความเกลียดชัง แต่อ้างว่านี่คือการยกระดับการชุมนุม

อย่างไรก็ดีเมื่อการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ภายใต้การบัญชาการโดยตรงของ นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน เป็นต้นมา แต่ปรากฏว่ามีคนเข้าร่วมไม่มากตามที่คาดหมาย และนับวันมีจำนวนเริ่มลดลงเรื่อยๆ

ทำให้เส้นตายที่ประกาศเอาไว้เมื่อเวลา 16.00 น.ก็ไม่ได้ผล จนต้องเพิ่มแรงกดดันเป็นการชุมนุมขั้นแตกหักนั่นคือการกระจายไปปิดถนนตามจุดสำคัญทั่วกรุงเทพมหานคร

ซึ่งการเคลื่อนไหวแบบนี้ถือว่าหมิ่นเหม่ต่อการเกิดจลาจล อย่างไรก็ตามการหันมาใช้วิธีการปิดถนน และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในวงกว้าง เชื่อว่าทางฝ่ายเสื้อแดงเลือดเข้าตาแล้ว ต้องการปิดเกมให้เร็วที่สุด แต่ขณะเดียวกันนับจากนี้ไปแรงกดดันจะหันกลับไปหาฝ่ายผู้ชุมนุมเอง เนื่องจากไม่ได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน

และอีกด้านหนึ่งทำให้สังคมเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า การต่อสู้เรียกร้องครั้งนี้เป็นเพียงการเรียกร้องเพื่อผลประโยชน์ของคนเพียงคนเดียว ทำทุกทางเพื่อให้เป็นโมฆะ เพื่อให้ทักษิณพ้นโทษ ได้ทรัพย์สินคืนมาและกลับคืนสู้อำนาจอีกครั้ง โดยไม่สนใจความพินาศฉิบหายของบ้านเมือง

หากเป็นประชาธิปไตยก็เป็นประชาธิปไตยส่วนตัว

ขณะที่บรรดาแกนนำหากสังเกตให้ดีก็จะพบว่าที่ยิ่งต่อสู้ยิ่งหน้าตาสดชื่น เหมือนกับว่าสู้แล้วรวย อะไรประมาณนั้น !!

กำลังโหลดความคิดเห็น