การเคลื่อนขบวนออกมาชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงตามคำบัญชาการของนักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวานนี้( 8 เมษายน) ได้เปิดให้เห็นเป้าหมายที่เคยอำพรางเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมาให้เห็นชัดเจนขึ้นไปอีกขั้น
ภาพการเคลื่อนขบวนไปขับไล่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ให้ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรีถึงบ้านพักสี่เสา เทเวศร์ ทำเห็นถึงเจตนาที่แท้จริง ของคนสั่งการอยู่นอกประเทศ
การประกาศยกระดับการชุมนุมของแกนนำบนเวที แต่ในความหมายที่แท้จริงก็คือการใช้ถ้อยคำหยาบคาย จาบจ้วงด่าทอ พล.อ.เปรม อย่างเสียหายเท่านั้น โดยไม่ยอมให้ข้อมูล ความรู้ใดๆกับชาวบ้าน ซึ่งเสี่ยงต่อความรุนแรง เนื่องจากเป็นการยั่วยุให้มวลชนเกิดความเกลียดชังอย่างไร้เหตุผล
ที่ผ่านมาหากสังเกตมาตลอดช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ บรรดาแกนนำ รวมไปถึง นักโทษชายทักษิณ ที่ปลุกระดมผ่าน โฟนอิน ระบบวิดีโอลิงก์ ต่างเบนเป้ามามุ่งเน้นโจมตีสถาบันองคมนตรี ซึ่งในที่สุดก็เน้นถล่มเฉพาะ พล.อ.เปรม
และล่าสุดในตอนเย็นวันเดียวกันก็ได้ออกแถลงการณ์เนื้อหาหลักๆยื่นคำขาดให้ ลาออกจากตำแหน่งพร้อมกับองคมนตรีอีก 2 คน คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ รวมทั้งให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกันสิ่งที่น่าสนใจก็คือคนเสื้อแดงคุยโวว่าเป็นการชุมนุมของมวลมหาประชาชน และยิ่งใหญ่ กว่าเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 แต่หากพิจารณาในความเป็นจริงก็คือ มีคนออกมาร่วมไม่กี่หมื่นคนเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะมองด้วยสายตากี่ครั้งก็ตามไม่มีทางมีปริมาณเทียบเท่า หรือแม้แต่ใกล้เคียงกันก็ยังเป็นไปไม่ได้
ส่วนที่อ้างว่าเป็นการยกระดับการชุมนุม และเป้าหมายเพื่อประชาธิปไตยนั้น หากตรวจสอบโดยละเอียดก็น่าจะออกมาในทางตรงกันข้าม เพราะแม้ว่าส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาด้วยใจ ด้วยความศรัทธา หลังจากได้รับข้อมูลกรอกหูซ้ำๆอยู่ทุกวัน
แต่ส่วนใหญ่กลับเป็นมวลชนจัดตั้ง ผ่านทางหัวคะแนน ผู้นำชุมชนต่างๆ ผ่านทาง ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยทั่วประเทศ มีการระดมคนขึ้นรถบัส รถตู้ รถยนต์ทุกประเภท และก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่า มีการใช้ “ปัจจัย” ให้เป็นค่าเดินทางทั้งประเภทเหมาจ่าย ทั้งรายวัน มาด้วยอย่างแน่นอน
ที่บอกว่าต่อสู้เพื่ออุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตยนั้น หรือจะนำประชาชนออกมาต่อสู้กับเผด็จการทหารนั้น เอาเข้าจริงกลายเป็นว่า ทั้งลูกๆและอดีตภรรยาของหัวหน้าม็อบไม่ว่าจะเป็น พจมาน ดามาพงศ์(ชินวัตร) พานทองแท้ พิณทองทา แพทองธาร ชินวัตร พร้อมกับ “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ รวมทั้งสมาชิกคนสำคัญอื่นๆ ต่างเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าบินหนีไปต่างประเทศกันแล้ว
แม้จะยังไม่อาจสรุปได้ในเวลานี้ว่าการหลบออกไปจะเป็นการส่งสัญญาณลึกๆว่าจะเป็นการชุมนุมขั้นแตกหัก พร้อมก่อความรุนแรง แบบ “ไม่ต้องห่วงหน้าพวงหลัง” แบบให้มวลชนเสื้อแดงออกหน้าไปตายแทนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาดูเป้าหมายของคนเสื้อแดงที่หันหัวเรือมามุ่งโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พร้อมๆกับประดิดประดอยวาทกรรม “อำมาตยาธิปไตย” หรือแม้กระทั่ง เขียนข้อความ “โค่นอำมาตย์” เป็นฉากหลังบนเวที
มันก็ส่อเจตนาให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆว่า เป้าหมายแท้จริง ที่ซ่อนอยู่หลังผ้าม่านกั้นเป็นฉากหลังนั้นคืออะไรกันแน่
เพราะเวลานี้สังคมเริ่มรับรู้กันไปแล้วว่า การถล่ม “ป๋าเปรม” เป็นเพียงเป้าหมายลวง เพื่อตรึงมวลชนที่ไร้เดียงสาไม่ให้ถอยออกมา แต่เป้าหมายหลักก็คือ โค่นล้มสถาบัน แต่เวลานี้เมื่อประเมินสถานการณ์ดูแล้วรู้ว่ายังล้มไม่ได้ ก็ต้องเขย่า ลิดรอนให้สั่นสะเทือนไปถึงเบื้องบน
ขณะเดียวกันการยื่นคำขาดให้ประธานองคมนตรีและองคมนตรีลาออกนั้นถือว่าเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจหรือไม่ เพราะการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งรู้หรือไม่ว่าเป็นไปตามพระราชอัธยาศัยและพระราชวินิจฉัยส่วนพระองค์
ดังนั้นข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อแดง และ นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร นอกจากเป็นไปไม่ได้แล้วยังเป็นเรื่องที่เข้าข่ายจาบจ้วง ล่วงละเมิดพระราชอำนาจหรือไม่ !!
ภาพการเคลื่อนขบวนไปขับไล่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ให้ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรีถึงบ้านพักสี่เสา เทเวศร์ ทำเห็นถึงเจตนาที่แท้จริง ของคนสั่งการอยู่นอกประเทศ
การประกาศยกระดับการชุมนุมของแกนนำบนเวที แต่ในความหมายที่แท้จริงก็คือการใช้ถ้อยคำหยาบคาย จาบจ้วงด่าทอ พล.อ.เปรม อย่างเสียหายเท่านั้น โดยไม่ยอมให้ข้อมูล ความรู้ใดๆกับชาวบ้าน ซึ่งเสี่ยงต่อความรุนแรง เนื่องจากเป็นการยั่วยุให้มวลชนเกิดความเกลียดชังอย่างไร้เหตุผล
ที่ผ่านมาหากสังเกตมาตลอดช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ บรรดาแกนนำ รวมไปถึง นักโทษชายทักษิณ ที่ปลุกระดมผ่าน โฟนอิน ระบบวิดีโอลิงก์ ต่างเบนเป้ามามุ่งเน้นโจมตีสถาบันองคมนตรี ซึ่งในที่สุดก็เน้นถล่มเฉพาะ พล.อ.เปรม
และล่าสุดในตอนเย็นวันเดียวกันก็ได้ออกแถลงการณ์เนื้อหาหลักๆยื่นคำขาดให้ ลาออกจากตำแหน่งพร้อมกับองคมนตรีอีก 2 คน คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ รวมทั้งให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกันสิ่งที่น่าสนใจก็คือคนเสื้อแดงคุยโวว่าเป็นการชุมนุมของมวลมหาประชาชน และยิ่งใหญ่ กว่าเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 แต่หากพิจารณาในความเป็นจริงก็คือ มีคนออกมาร่วมไม่กี่หมื่นคนเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะมองด้วยสายตากี่ครั้งก็ตามไม่มีทางมีปริมาณเทียบเท่า หรือแม้แต่ใกล้เคียงกันก็ยังเป็นไปไม่ได้
ส่วนที่อ้างว่าเป็นการยกระดับการชุมนุม และเป้าหมายเพื่อประชาธิปไตยนั้น หากตรวจสอบโดยละเอียดก็น่าจะออกมาในทางตรงกันข้าม เพราะแม้ว่าส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาด้วยใจ ด้วยความศรัทธา หลังจากได้รับข้อมูลกรอกหูซ้ำๆอยู่ทุกวัน
แต่ส่วนใหญ่กลับเป็นมวลชนจัดตั้ง ผ่านทางหัวคะแนน ผู้นำชุมชนต่างๆ ผ่านทาง ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยทั่วประเทศ มีการระดมคนขึ้นรถบัส รถตู้ รถยนต์ทุกประเภท และก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่า มีการใช้ “ปัจจัย” ให้เป็นค่าเดินทางทั้งประเภทเหมาจ่าย ทั้งรายวัน มาด้วยอย่างแน่นอน
ที่บอกว่าต่อสู้เพื่ออุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตยนั้น หรือจะนำประชาชนออกมาต่อสู้กับเผด็จการทหารนั้น เอาเข้าจริงกลายเป็นว่า ทั้งลูกๆและอดีตภรรยาของหัวหน้าม็อบไม่ว่าจะเป็น พจมาน ดามาพงศ์(ชินวัตร) พานทองแท้ พิณทองทา แพทองธาร ชินวัตร พร้อมกับ “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ รวมทั้งสมาชิกคนสำคัญอื่นๆ ต่างเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าบินหนีไปต่างประเทศกันแล้ว
แม้จะยังไม่อาจสรุปได้ในเวลานี้ว่าการหลบออกไปจะเป็นการส่งสัญญาณลึกๆว่าจะเป็นการชุมนุมขั้นแตกหัก พร้อมก่อความรุนแรง แบบ “ไม่ต้องห่วงหน้าพวงหลัง” แบบให้มวลชนเสื้อแดงออกหน้าไปตายแทนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาดูเป้าหมายของคนเสื้อแดงที่หันหัวเรือมามุ่งโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พร้อมๆกับประดิดประดอยวาทกรรม “อำมาตยาธิปไตย” หรือแม้กระทั่ง เขียนข้อความ “โค่นอำมาตย์” เป็นฉากหลังบนเวที
มันก็ส่อเจตนาให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆว่า เป้าหมายแท้จริง ที่ซ่อนอยู่หลังผ้าม่านกั้นเป็นฉากหลังนั้นคืออะไรกันแน่
เพราะเวลานี้สังคมเริ่มรับรู้กันไปแล้วว่า การถล่ม “ป๋าเปรม” เป็นเพียงเป้าหมายลวง เพื่อตรึงมวลชนที่ไร้เดียงสาไม่ให้ถอยออกมา แต่เป้าหมายหลักก็คือ โค่นล้มสถาบัน แต่เวลานี้เมื่อประเมินสถานการณ์ดูแล้วรู้ว่ายังล้มไม่ได้ ก็ต้องเขย่า ลิดรอนให้สั่นสะเทือนไปถึงเบื้องบน
ขณะเดียวกันการยื่นคำขาดให้ประธานองคมนตรีและองคมนตรีลาออกนั้นถือว่าเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจหรือไม่ เพราะการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งรู้หรือไม่ว่าเป็นไปตามพระราชอัธยาศัยและพระราชวินิจฉัยส่วนพระองค์
ดังนั้นข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อแดง และ นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร นอกจากเป็นไปไม่ได้แล้วยังเป็นเรื่องที่เข้าข่ายจาบจ้วง ล่วงละเมิดพระราชอำนาจหรือไม่ !!