นับถอยหลังจากนี้อีกไม่กี่อึดใจ จะรู้แล้วว่า แดงเดือด”ของ นช.ทักษิณ ชินวัตรและพลพรรคคนเสื้อแดง ที่คุยโวว่าจะมีกองทัพเสื้อแดงอย่างต่ำ 3 แสนคน ยึดครองพื้นที่ตั้งแต่ถนนราชดำเนินในยันลานพระบรมรูปทรงม้าและหน้าทำเนียบรัฐบาล
จะรบกันแบบม้วนเดียวจบในวันที่ 8 เมษายนนี้หรือไม่ หรือจะยืดเยื้อไปอีก 48 ชั่วโมงไปจนถึง 10 เมษายน
ทว่า ดูจากการประเมินของแกนนำนปช.หลายคนทั้ง จตุพร พรหมพันธ์-ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ –วีระ มุกสิกพงศ์ เริ่มเห็นถึงความไม่มั่นใจแล้วว่าเป้าหมาย
โค่นล้มอำมาตยาธิปไตย-ฉีกรัฐธรรมนูญปี 50 –กดดันอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะลาออกหรือยุบสภา จะไม่สัมฤทธิ์ผลได้โดยง่าย
จึงแบ่งรับแบ่งสู้แล้วว่าหากถึง 10 เมษายนรบไม่ชนะก็ต้อง สู้กันต่อไป
นั่นหมายความว่า หาก 3 วัน ไม่รู้ผลแพ้-ชนะ ตามแผนการที่ทักษิณ-เสื้อแดงวางไว้ ย่อมเป็นสงครามยืดเยื้อ ที่มาเริ่มกันใหม่หลังสงกรานต์ อันไม่เป็นผลดีทั้งกับทักษิณและอภิสิทธิ์ แต่อาจเป็นผลดีกับแกนนำเสื้อแดงบางคน?
ได้แจ้งเกิดเป็น “เสี่ย”แน่
หันมาตรวจการ ความพร้อมฝ่ายรัฐบาล พบว่าเวลานี้ “ยกระดับการตั้งรับ”ขึ้นมาอย่างเข้มข้นเหนือกว่าเมื่อครั้ง 26 มีนาคม วันแรกของการชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดงอย่างเห็นได้ชัด เหตุเพราะฝ่ายผู้นำทหารทั้งพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม-พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.-พลโท คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 –พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก
รวมถึงผู้นำฝ่ายตำรวจเช่น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.-พล.ต.ท.วรพงษ์ ซิวปรีชา ผบช.น.-พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5 คุมพื้นที่ภาคเหนือ ฐานทัพใหญ่คนเสื้อแดง
ตลอดจนฝ่ายปกครอง อาทิ วิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย วงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พานิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง และแกนนำรัฐบาลหลายคนโดยเฉพาะ เนวิน ชิดชอบ แห่งภูมิใจไทย
ต่างรู้ดีว่า หากรัฐบาลแพ้ ผู้นำทหาร-ตำรวจ-มหาดไทย ดังรายชื่อข้างต้น ก็กระเด็นหลุดจากเก้าอี้และเอาคืนทุกรูปแบบทันที ทำให้ต้องลงมือลงแรงยันศึกนี้ให้รัฐบาลผ่านพ้นไปให้ได้
แม้หลายคนจะเห็นว่า รัฐบาลตื่นตัวช้าเกินไป แต่ก็ยังดีกว่าไม่คิดทำอะไรสักอย่าง จน “ระบอบทักษิณ”คืนชีพขึ้นมาอีกครา ที่เห็นๆ แล้วว่ารัฐบาลเริ่มปรับตัวรับมือก็มี เช่น
มาตรการ การจัดการควบคุมการออกอากาศของวิทยุชุมชนหลายจังหวัดทั่วประเทศที่รับสัญญาณยิงสดจากดีทีวี และเครือข่ายวิทยุแท็กซี่ในกรุงเทพมหานครของคนเสื้อแดง ที่พบว่าช่วง 2-3 วันนี้มีข่าวว่า สัญญาณเริ่มมีปัญหาโดยเฉพาะในช่วงการปราศรัยของแกนนำ นปช.บนเวทีที่อภิปรายให้ร้ายองคมนตรีหรือพูดจาพาดพิงสถาบัน แม้แต่การรับฟังเสียงในกทม.ของวิทยุเครือข่ายเสื้อแดงก็พบว่า ช่วงนี้มีสัญญาณคลื่นแทรกและการกระจายเสียงไม่กว้างเหมือนเดิม ซึ่งระยะหลังเนื้อหาการปราศรัยบนเวทีเสื้อแดงมีการใช้ถ้อยคำหยาบคายและหมิ่นเหม่ต่อการพาดพิงสถาบัน
และพบว่า รัฐบาลเริ่มใช้สื่อของรัฐให้เป็นประโยชน์มากขึ้น โดยเฉพาะ สทท.11 หรือเอ็นบีทีเดิม ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่ารัฐบาลไม่ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์
มัวแต่ท่องคาถาสื่อรัฐต้องเป็นกลาง
การปรับตัวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังมีการปรับผังรายการและโละเอ็นบีทีทิ้ง อันพบว่ารายการในช่วงค่ำที่เป็นรายการทอล์คการเมือง มีการเชิญวิทยากรมาให้ความรู้ในเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นการเมือง และเป็นผลดีต่อการ”ลบล้าง”สิ่งที่เสื้อแดงพยายามสื่อสารออกมาเพื่อให้ประชาชนเข้าใจความจริง
อาทิ เรื่ององคมนตรี ที่รายการเชิญประมวล รุจนเสรี ผู้เขียนหนังสือพระราชอำนาจ หรือลิขิต ธีรเวคิน อดีตส.ส.ไทยรักไทย หรือการวิจารณ์การโฟนอินของทักษิณที่ได้เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง มาตีแผ่แบบรู้ทัน
มาตรการจัดการขั้นเด็ดขาดกับพวกขบวนการหมิ่นสถาบัน โดยเฉพาะพวกแจกใบปลิวโจมตีในต่างจังหวัด อาทิบริเวณแถวๆศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ เช่นที่ขอนแก่น ที่ล่าสุดมีการจับขบวนการแจกใบปลิวในห้างสรรพสินค้าและตลาดสดได้ อันจะทำให้กลุ่มขบวนการเหล่านี้ที่ส่วนใหญ่มีแนวคิดชื่นชมเสื้อแดงไม่กล้าเคลื่อนไหวมากนักหลังจากนี้
ทางมหาดไทยได้สั่งการให้ทางจังหวัด เตรียมพร้อม “กองกำลังอาสารักษาดินแดน (อส.)” ที่มีอยู่ทั่วประเทศเกือบ 14,000 คน โดยแต่ละจังหวัดมีกำลัง อส.มากน้อยตามสภาพความจำเป็นแต่อย่างต่ำก็ 200 คนและทั้งหมดสามารถใช้อาวุธเอ็ม 16และอาวุธหนัก ในการทำหน้าที่ได้ตามกฎหมาย ซึ่ง อส.เหล่านี้ แต่ละจังหวัดจะใช้เป็นกองกำลังในการป้องกันไม่ให้คนเสื้อแดงเข้าบุกยึดศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศ
โดยมีคำสั่งแล้วในหลายจังหวัด อาทิ จ.กาญจนบุรีให้มีการจัดเตรียมกำลังไว้ 24 ชั่วโมงตั้งแต่ 6 เมษายนจนถึง 10 เมษายน และมีการติดโทรทัศน์วงจรปิดตามจุดต่างๆ รวมถึงนำแผงเหล็กมาปิดกั้นทางขึ้น-ทางออก ที่เป็นจุดเสี่ยงไม่ให้มีการยึดศาลากลางได้
ขณะที่คนในซีกรัฐบาล ก็มาเป็นกองหนุนอย่างเต็มที่เช่น กองกำลังเสื้อน้ำเงินของเนวิน ชิดชอบและภูมิใจไทยโดยพบว่าขนมาจากจังหวัดในแถบปริมณฑลที่เป็นเครือข่ายของ ส.ส.ภูมิใจไทย
ล่าสุดมีการเปิดเผยว่าส่งคนไปเฝ้าสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว แต่จะเน้นวันที่ 8-10 เมษายน ประมาณ 500-700 คน นอกจากนี้พบว่าได้ขอความร่วมมือผ่านไปยังผู้นำชุมชน เช่นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่สัปดาห์ที่ผ่านมาให้ ไปแถลงข่าวที่โรงแรมรัตนโกสินทร์เพื่อแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง และภารกิจเฉพาะหน้าตอนนี้คือขอให้กำนันผู้ใหญ่บ้านในแถบภาคเหนือและอีสานช่วยกันไปทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อสกัดไม่ให้เข้ากทม.โดยอาจทำไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็ให้เข้ามาน้อยที่สุด
นอกจากนี้ยังสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น กองบัญชาการตำรวจภูธรแต่ละภาค หรือทางจังหวัด เพิ่มความถี่การรายงานความเคลื่อนไหวเช่นการสัญจรของรถที่มุ่งเข้ากทม.จากเดิมทุกหนึ่งชั่วโมงเป็นทุก 10 นาทีตั้งแต่ 7 เมษายน
เพื่อให้แกนนำรัฐบาลและผู้บริหารในแต่ละหน่วยทราบข้อมูลแบบรวดเร็วในการประเมินและแก้ไขสถานการณ์ แต่จะไม่ใช้รูปแบบการสกัดกั้นเพราะหลายครั้งที่ผ่านมาพบแล้วว่าไม่ได้ผลนอกจากได้ในแง่การถ่วงเวลาให้เข้ากรุงเทพฯช้าลงเท่านั้น
และมีมาตรการทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการในป้องกันพื้นที่ล่อแหลม อาทิ
หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของพลเอกเปรม 8 เมษายนจะมีกองกำลังคณะบุคคลไปช่วยดูแลให้เป็นพิเศษนอกเหนือจากำลังทหาร ตำรวจ อาทิกลุ่มเครือข่ายคนรักแผ่นดินเกิด นำโดย พ.อ.ไพโรจน์ นิยมพันธ์ ที่จะรวมตัวกันที่หน้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ตั้งแต่ เวลา 08.00 น. เพื่อปกป้องป๋าเปรมพร้อมทั้งมีการเปิดเวทีถาวรบริเวณหน้าสโมสรกองทัพบกที่ติดกับบ้านสี่เสาด้วย
นั้นคือมาตรการรองรับคนเสื้อแดงเบื้องต้น ซึ่งแผนปฏิบัติการทั้งหมดจะถูกทำขึ้นโดยแกนนำรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงภายในวันที่ 7 เมษายนนี้ก่อน 18.00 น.เพื่อให้ทุกฝ่ายรับมือได้โดยไม่เกิดเหตุรุนแรง
ทว่าหากถามไปยังแกนนำรัฐบาล และผู้เกี่ยวข้องทั้งทหาร-ตำรวจ-ฝ่ายปกครองว่า ประเมินสถานการณ์ครั้งนี้อย่างไร ทุกคนยังเชื่อว่า “เอาอยู่”
แต่ที่กลัวคือ “สถานการณ์แทรกซ้อน”
หรือพูดให้เข้าใจง่าย “มือที่ 3 สร้างสถานการณ์” จนทำให้มวลชนที่มาร่วมชุมนุม ไม่สามารถควบคุมกันเองได้ ยิ่งถ้าหากกลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ในสภาพ โกรธแค้นเพราะเกิดความเข้าใจผิด
เช่นคิดว่าเจ้าหน้าที่รัฐ ปราบปรามหรือทำร้ายประชาชน เพียงแค่จุดเดียว มันจะทำให้ความเข้าใจผิดนี้กลายเป็น
“เชื้อไฟ”ที่ทำให้ กองทัพเสื้อแดง อาจแปรสภาพกลายเป็น
“แดงเพลิง”ก็ได้ นี่คือสิ่งที่รัฐบาลกลัวมากที่สุด
8-10 เมษายนนี้ รัฐบาลจึงไม่หนักใจทักษิณ-เสื้อแดง เท่ากับหวั่นสถานการณ์แฝง ที่จะเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดเหตุรุนแรง และนั่นอาจทำให้การแตกหักเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 72 ชั่วโมงก็ได้