“ส.ส.เพื่อแม้ว” สุดสิ้นคิด อ้างความสมานฉันท์ในชาติ หวั่นประชาชนสองฝ่ายปะทะกัน ทำเป็นแนะทางออก จี้ นายกฯ-องคมนตรี ลาออก และยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ พร้อมดัน พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ชู “เสนาะ” นั่งนายกรัฐมนตรีแห่งชาติ อ้างสังคมคลางแคลงใจ “ป๋าเปรม” เข้าเฝ้าฯก่อนคณะปฏิวัติเพียงครึ่งชั่วโมง
วันนี้ (31 มี.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรียกร้องให้รัฐบาลและทหารดำเนินการกับกลุ่มคนเสื้อแดง ที่จาบจ้วงสถาบัน และให้หยุดการปราศรัยที่หมิ่นสถาบัน ว่า เท่าที่ดูส่วนใหญ่ในการแถลงนั้น เป็นเพียงการใช้คารมมาโต้ ไม่มีการชี้แจงอะไรให้เกิดความชัดเจน ไร้น้ำหนัก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยปราศรัยโจมตีคนอื่น บางเรื่องก็ไม่เป็นความจริง ทำให้เสียหาย ส่วนกรณีที่กลุ่มคนรักป๋าเปรมจาก 16 อำเภอ ใน จ.สงขลา ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อให้กำลังใจ พล.อ.เปรม นั้น คงไม่มีน้ำหนักอะไรมาก เป็นเพียงการรวมตัวเพื่อให้กำลังใจเท่านั้น
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พล.อ.เปรม ปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ รวมทั้งระบุว่าได้เดินทางเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนที่คณะนายทหารทำการปฏิวัติ 30 นาทีนั้น นายประเกียรติ กล่าวว่า เป็นประเด็นที่ยังคลางแคลงใจ ยังไม่มีความชัดเจน ว่า มีเหตุผลอะไรที่ต้องเข้าเฝ้าฯก่อน 30 นาที ถึงวันนี้ประชาชนกลุ่มคนเสื้อแดงมีความเชื่อในข้อมูลหลักฐาน จึงออกมาเคลื่อนไหว ต้องยอมรับในแนวทางว่า คล้ายๆ กับพรรคเพื่อไทย ที่ได้ทำงานในสภาโดยเฉพาะการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และ 5 รัฐมนตรี ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับกลุ่มเสื้อแดง จึงออกมาขับไล่รัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีโอกาสที่จะเกิดการเผชิญหน้าของประชาชนทั้งสองกลุ่มหรือไม่ นายประเกียรติ กล่าวว่า ขณะนี้ต้องยอมรับว่า ความเชื่อของประชาชนถูกฝังไปแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ได้รับทราบข้อมูลหลายๆ ด้าน ซึ่งผู้ที่ถูกกล่าวหาก็ไม่สามารถชี้แจงหรือหักล้างได้ เกิดความรู้สึกไม่พอใจสะสมไปเรื่อยๆ หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ทันท่วงที โอกาสที่จะเกิดการเผชิญหน้าจะหนักและรุนแรงขึ้น
นายประเกียรติ กล่าวอีกว่า สำหรับทางออกนั้นมีอยู่ 3 แนวทางใหญ่ๆ คือ 1.แนวทางประนีประนอม โดยการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะต้องลาออกก่อนเพื่อเปิดทางในการตั้งนายกฯคนกลาง กับการเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ เพื่อให้ทุกฝ่ายสมานฉันท์กัน 2.นายกรัฐมนตรี ต้องลาออกหลังจำนนต่อหลักฐานคงไม่พอ ในส่วนขององคมนตรีนั้น ควรพิจารณาตนเองด้วย และ 3.นายกฯประกาศยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่ แต่ส่วนตัวคิดว่า ข้อ 2.และ ข้อ 3.คงไม่สามารถลบล้างความขัดแย้งและความคลางแคลงในสังคมได้
นายประเกียรติ กล่าวด้วยว่า วันนี้ ทางออกจะต้องทำควบคู่กับการออกกฎหมายปรองดองฯเพื่อปลดล็อกนักการเมืองทั้ง 111 และ 109 ให้มีอิสระ เหมือนคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ในเรื่องนโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างผ่อนคลาย จะต้องตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้น โดยเลือกนายกรัฐมนตรีจากพรรคเล็ก เช่น นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมตั้งคณะรัฐมนตรีมาจากทุกพรรค มีกรอบเวลาในการเข้ามาบริหารที่ชัดเจน ทั้งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและยกร่างกฎหมายลูก ทั้งกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.กฎหมายพรรคการเมือง และกฎหมายคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยใช้เวลาอย่างช้าประมาณ 90 วัน ซึ่งเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วก็ให้ยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน ไม่เร็วหรือช้าเกินไป