อมรรัตน์ ล้อถิรธร......รายงาน
ไม่ว่า “ทักษิณ” จะถือว่าตัวเองแน่แค่ไหนที่กล้าลุกขึ้นมา “ท้าชน” บุคคลระดับสูงอย่าง “องคมนตรี-ปธ.องคมนตรี” แต่ผลลัพธ์ที่ได้นอกจากไม่สามารถเพิ่มจำนวนมวลชนคนเสื้อแดงที่ปิดล้อมทำเนียบได้แล้ว ยังสร้างความกังขาให้คนในประเทศด้วยว่า นักโทษหนีคดีผู้นี้ที่ปากอ้างว่า “จงรักภักดี” กำลังประกาศสงครามกับ “ที่ปรึกษาพระมหากษัตริย์” หรือที่แกนนำ นปช.เรียกว่า “ไพร่” เท่านั้น หรือต้องการให้ลามเลยไปยัง “สถาบัน” กันแน่ ...สถานการณ์ที่ล่อแหลมเช่นนี้ คำถามคือ “ผู้มีหน้าที่” จะปล่อยให้คนๆ นี้ ที่ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจาก “หมาจนตรอก” พร้อมจะกัดใครก็ได้ไม่เลือกหน้า สามารถ “โฟนอิน-วิดีโอลิงก์” ได้อย่างเสรีอีกนานแค่ไหน? หรือต้องรอให้สถาบันหลักของชาติ “ย่อยยับ” ไปกับตาก่อน
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
หลังนักโทษหนีคดีอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปฏิบัติการโฟนอินรายวัน ไปยังเวที นปช.และงานที่พรรคเพื่อไทย จัดขึ้นในจุดต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งในวัด เพื่อปลุกคนเสื้อแดงให้ลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย และความเป็นธรรมให้ตนเอง รวมทั้งต่อต้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วิดีโอลิงก์ชุดใหม่มายังม็อบเสื้อแดงที่ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 27 มี.ค.โดยนอกจากพูด “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น” ไม่ว่าจะเป็น นายสนธิ ลิ้มทองกุล, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ., ป.ป.ช., พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เว้นแม้กระทั่งศาลแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเปิดศึกกับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์อีกด้วย
ประเด็นหลักที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวหา พล.อ.เปรม และ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็คือ การอ้างว่าบุคคลทั้งสองอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติยึดอำนาจตนเมื่อ 19 ก.ย.2549 พร้อมย้ำว่า พล.อ.เปรม คือ ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ที่เข้ามายุ่งกับการเมือง จนทำให้ประเทศเสียหาย “พล.อ.เปรม ตอนปฏิวัติ พานายบังเข้าทำไม ทำไมประธานองคมนตรีต้องไปเข้าเฝ้าฯ ด้วย เหมือนเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ตอน พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนายกฯ ก็บอก เหมือนนายกฯ วินสตัน เชอร์ชิล ที่เป็นนายกฯ คนดีของอังกฤษ ...แต่พอ นายอภิสิทธิ์ ก็บอกว่า ประเทศไทยโชคดีที่ได้คุณอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ ท่านเป็นประธานองคมนตรี ท่านไปเผลอไผลอย่างนี้ไม่ได้ ...การที่ป๋าลงมาเล่นการเมืองในฐานะประธานองคมนตรี แล้วสั่งโน่นสั่งนี่ในฐานะเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งที่ทำให้กระบวนการของประเทศเสียหายหมด”
ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ เผยว่า ตนได้รับข้อมูลผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ 19 ก.ย.และความพยายามลอบสังหารตน จาก พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ผู้ที่ออกมาออกมาฟาดงวงฟาดงาใส่แกนนำพันธมิตรฯ หลังไม่ได้รับเลือกให้ร่วมเป็นแกนนำ เพราะ พล.อ.พัลลภ มีนโยบายเคลื่อนไหวแบบรุนแรง จากนั้นไม่นาน พล.อ.พัลลภ ก็เดินทางไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประเทศจีน โดยอ้างว่า ต้องการไปถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงรักภักดีต่อสถาบันหรือไม่ เป็นที่น่าสังเกตว่า การแปรพักตร์ของ พล.อ.พัลลภ ทำให้เขาเกือบจะได้ตำแหน่งใน กอ.รมน.ในรัฐบาลพรรคนอมินีของทักษิณ แต่สุดท้ายก็แห้ว เพราะกฎหมายไม่เปิดช่อง แถมถูกกระแสสังคมต่อต้านด้วย)
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเสนอทางออกของประเทศ ซึ่งดูแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์ที่สุด ก็คือ ตัวเองและนักการเมืองที่เป็นพรรคพวกตัวเองที่จะได้หลุดพ้นคดีต่างๆ และกลับมามีอำนาจเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ด้วยการยุบสภา-เลือกตั้งใหม่ และยกเลิกคดีความต่างๆ ทั้งหมด “ทางออกก็คือเราต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ เรื่องที่ฟ้องกันไปมาต้องยกเลิก ต้องเริ่มต้นใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้เริ่มเหมือนเลือกตั้งใหม่ 2 เม.ย.2549 แล้วไปแข่งขันกัน โดยผมไม่ลงเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์จะได้สบายใจ แต่ขอให้กรรมการพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 ลง เพราะนักการเมืองคุณภาพเริ่มหายไป...”
ไม่เพียง พ.ต.ท.ทักษิณ จะวิดีโอลิงก์ดิสเครดิตองคมนตรีและประธานองคมนตรี แต่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงก็ช่วยลูกพี่เล่นงาน พล.อ.เปรม อย่างไม่ไว้หน้าเช่นกัน โดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย นอกจากจะหาว่า พล.อ.เปรม เป็นอีแอบทางการเมืองแล้ว ยังพยายามดิสเครดิตด้วยการชี้ว่า “พล.อ.เปรม ก็แค่บุคคลธรรมดา หรือไพร่คนหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ที่ปรึกษาพระเจ้าแผ่นดิน”
การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มเสื้อแดงที่พุ่งเป้าโจมตีบุคคลสำคัญของประเทศและใกล้ชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นนี้ ทำให้หลายฝ่ายในสังคม เริ่มเป็นห่วงสถาบันมากขึ้นทุกขณะ เพราะไม่แน่ใจว่า แท้จริงแล้ว ทักษิณ และคนเสื้อแดงต้องการใส่ร้ายแค่องคมนตรี และประธานองคมนตรี หรือต้องการกระทบชิ่งไปถึงสถาบันกันแน่? แล้วรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงจะปล่อยให้นักโทษหนีคดีผู้นี้โฟนอิน-วิดีโอลิงก์ ในสิ่งที่กระทบต่อความมั่นคงต่อสถาบันหลักของประเทศไปเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ?
ผศ.ดร.ปกรณ์ ปรียากร คณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยกับวิทยุ ASTVผู้จัดการ ว่า รู้สึกผิดหวังกับวิธีคิดที่ตื้นอย่างไม่น่าเชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กล่าวหาว่า พล.อ.เปรม และ พล.อ.สุรยุทธ์ อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ 19 ก.ย. และว่า การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ สะท้อนว่าเหมือน “หมาจนตรอก” หรือ “เสือติดจั่น” พยายามเร่งเกมโดยไม่คิดว่าตนจะชนะหรือแพ้ ซึ่งส่วนตัวแล้วเห็นว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถปลุกมวลชนให้เพิ่มจำนวนขึ้นได้ เพราะดูจำนวนผู้ชุมนุม 2-3 วันที่ผ่านมา ก็ไม่มีกลุ่มใหม่ๆ มีแต่กลุ่มที่ยังฝังหัวอยู่กับวิธีคิดแบบเดิม ไม่ได้มองว่า ควรเปิดทางให้ประเทศมีทางแก้ที่ดีกว่าการเล่นการเมืองแบบ “ลูกตุ้มนาฬิกา” ที่เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาแบบนี้
ผศ.ดร.ปกรณ์ ยังพูดถึงข้อเสนอของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ และยกเลิกคดีความต่างๆ ทั้งหมดด้วยว่า เป็นข้อเสนอที่เลื่อนลอยมาก
“นั่นคือ ข้อเสนอที่เลื่อนลอยมาก เพราะถ้าเรายุบสภา เราต้องถามตัวเราเองนะว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่วันในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ ผมว่าก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3-4 เดือน กว่าผลการเลือกตั้งจะเรียบร้อย แล้วประเทศจะเสียหายมากแค่ไหน ในเวลานี้ดูเกมในสภาที่ผ่านไปแล้ว จะเห็นชัดว่ามันก็ไม่มีอะไรไปล้มรัฐบาลปัจจุบันได้ แน่นอนความรู้สึกที่อาจจะมีตรงที่ว่า รัฐบาลมาโดยสง่างามหรือไม่ ก็เป็นความรู้สึกร่วมของผู้คนโดยรวม แต่มันไม่ใช่วิธีที่จะมาใช้จังหวะนี้ในการแก้ปัญหาด้วยการเรียกร้องในลักษณะนี้ (ถาม-แล้วอย่างนี้ควรปล่อยให้คุณทักษิณโฟนอินวิดีโอลิงก์ไปเรื่อยๆ หรือ?) ผมว่ายิ่งพูดเขาก็ยิ่งเสียๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งเสียเห็นได้ชัด ผมย้ำซะ 3 ครั้ง ท้ายที่สุดก็จะไปกระทบกับสถาบันสูงสุดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราเห็นใช่มั้ยว่า 2 วันนี้ คำพูดที่คนรับไม่ค่อยได้เนี่ย คำพูดของแกนนำในขบวนบางคน ที่พูดถึงคำว่า “ไพร่” อะไรต่างๆ ทำนองนี้ เป็นคำพูดที่ขาดความยั้งคิด ขาดสติ มีความเลื่อนลอยสูง ไม่ได้ใช้ปัญญา และคนเหล่านี้จะขึ้นมานำประเทศได้อย่างไร”
ด้าน ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พูดถึงวิดีโอลิงก์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กล่าวหาว่า พล.อ.เปรม และ พล.อ.สุรยุทธ์ อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ 19 ก.ย.ว่า นอกจากต้องพิจารณาว่า คำพูดของบุคคลที่เกี่ยวข้อง มีความน่าเชื่อถือหรือไม่แล้ว ยังต้องพิจารณาด้วยว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้ที่ให้ข้อมูลอย่าง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผบ.รมน.ที่อ้างว่าได้ร่วมประชุมกับ พล.อ.สุรยุทธ์ และหารือเรื่องยึดอำนาจนั้น เป็นสิ่งที่เชื่อถือได้แค่ไหน
“1.คุณทักษิณ ไม่ได้อยู่ในที่ประชุมวันนั้นเองอย่างแน่นอน เป็นข้อมูลที่ได้จากคุณพัลลภล้วนๆ ใช่มั้ย คุณพัลลภ อาจจะเอาอะไรอย่างอื่นมาแจ้ง เขา (พัลลภ) พูดเนี่ย เขาอาจจะไปจริง อ.ปราโมทย์ (นาครทรรพ) อาจจะอยู่ในที่ประชุมจริง แต่เขาอาจจะพูดเรื่องอื่นก็ได้ นี่คือประเด็นแรกที่ผมอยากจะบอกเลยว่า ก่อนที่เราจะเชื่ออะไรใคร เราวิเคราะห์เหตุและผลก่อนว่ามันถูกต้องแค่ไหน เป็นไปได้แค่ไหน ถัดไปก็จะลงรายละเอียด ถ้าเกิดคุณทักษิณรู้ (เบื้องหลังการปฏิวัติ) มานานแล้ว คงไม่เก็บไว้แน่นอน น่าจะออกมาพูดตั้งนานแล้ว ...ผมเคยอยู่ในที่ประชุมที่ พล.อ.พัลลภ นั่งอยู่ด้วย ทำไมเขาไม่เอามาพูด ก่อนที่เราจะเข้าทำเนียบรัฐบาล ผมก็นั่งอยู่ด้วย แต่ไม่เคยเอามาพูด นี่ก็แสดงว่าเขาก็รู้ไม่จริงหรือแกล้งปกปิดอะไรบางอย่าง ผมชอบใจคำพูดของท่านอุทัย พิมพ์ใจชน ที่บอกว่า คุณทักษิณ พูดแต่สิ่งที่ประเทศทำกับเขา แต่เขาไม่เคยพูดสิ่งที่เขาทำร้ายประเทศมากน้อยแค่ไหน เขาไม่เคยพูดเลย”
ผศ.นพ.ตุลย์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ผ่านมา สะท้อนว่า ไม่มีเครดิตให้น่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว เพราะด้านหนึ่งปากบอกเคารพป๋าเปรม แต่ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็บอกว่า ป๋าไม่น่าเหลวไหลขนาดนี้ หรือด้านหนึ่งบอกว่า ศาลไม่มีความยุติธรรม แต่กลับพูดถึงกรณีที่ศาลตัดสินจำคุก นายปราโมทย์ นาครทรรพ ซึ่งสะท้อนชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เลือกที่จะใช้ประโยชน์จากคำพูด หรือคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรมที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ลุกขึ้นมาใส่ไฟหรือใส่ร้าย พล.อ.เปรม และ พล.อ.สุรยุทธ์ สังคมจะเชื่อถือคำพูดของคนๆ นี้ได้อย่างไร
ผศ.นพ.ตุลย์ ยังข้องใจด้วยว่า ทำไมรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง ไม่จัดการหรือหยุดการโฟนอิน-วิดีโอลิงก์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เสียที
“ผมคิดว่าตามหลักแล้ว ถ้าใครกระทำการใดๆ ที่ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงที่จะดำเนินการให้การกระทำนั้นระงับยับยั้งไป ถ้าเกิดมันไม่มีกฎหมายหรืออะไร แต่เราขอความร่วมมือได้นี่ ในสื่อต่างๆ เราขอให้เขาน้อยๆ หน่อย แทนที่จะถ่ายทอดสด คุณก็บอกว่าขอแห้ง หรือกลั่นกรอง หรือทำเป็นเทป หรือข้อความขึ้นก็ได้ แต่นี่ทีวีแทบทุกช่อง แทบจะเอาคำพูดออกมาทั้งหมด แทนที่จะให้ฝ่ายความมั่นคงเขาอัดเทปอะไร ก็ว่าไป นี่ปล่อยให้ ผมว่า 1-2 ครั้งก็เกินพอแล้ว นี่มันเป็นหลายๆ เดือนหลายๆ หนเนี่ย ผมคิดว่ามันก็เกินไป”
“ผมว่าเขาขาดความกล้า และวิธีการที่จะปฏิบัติต่อสถานการณ์ คิดแต่ว่า กลัวเดี๋ยวคนโน้นจะฟ้อง คนนี้จะบอกผิดกฎหมาย ผมว่าเรากลัวกันเกินไป เรามีกฎหมายที่จะใช้อีกเยอะ ยึดมั่นสิว่า ความมั่นคงของชาติ ความถูกต้องเรียบร้อยหรือว่ายังไง ทักษิณเขาฉลาด เขาแตะต้องคนที่เขารู้ว่าตามปกติเขาคงไม่ไปฟ้องร้องใคร เช่น ป๋า (พล.อ.เปรม) แต่ถ้า คุณปีย์ (มาลากุล ณ อยุธยา) แกกล้าๆ หน่อย แกจะฟ้องว่า เฮ้ย! คุณทำให้ผมเสียหายนะ คุณเอาความเท็จกล่าวหา นี่ผมยุคุณปีย์นะ ต้องทำอะไรบางอย่าง ตัวเจ้าของบ้านที่ถูกกล่าวหา เขาคงต้องดำเนินการ ฝ่ายความมั่นคงก็ถาม กทช.สิ ทำไมคุณยังให้สัญญาณอะไรเขาอีก คุณจะขอความร่วมมือจากสื่อต่างๆ การใช้สื่อต่างๆ และคลื่นเข้ามาประเทศไทย แล้วก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคง ผมว่าเราระงับยับยั้งได้นะ กฎหมายไปดูสิว่ามีตรงไหนที่จะใช้ได้ ผมว่าคุณไม่ทำมากกว่า”
ผศ.นพ.ตุลย์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ไม่เพียงรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงจะไม่หยุดการวิดีโอลิงก์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่โจมตีองคมนตรีและประธานองคมนตรีอย่างหนัก แต่สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดกับสื่อต่างประเทศ (เจแปน ไทมส์ ของญี่ปุ่น) เมื่อเร็วๆ นี้ (12 มี.ค.) ที่ก้าวล่วงสถาบันโดยตรง เจ้าหน้าที่ก็ไม่ดำเนินการใดๆ ซึ่งตนฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ และไม่พอใจอย่างมาก เพราะเห็นชัดเจนว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ว่า “ผมได้ส่งจดหมายถวายฎีกาถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้ว 3 ฉบับ เพราะผมเชื่อในพระมหากรุณาธิคุณและพระราชวินิจฉัยในพระองค์ หากได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว ผมรู้ว่ากลุ่มผู้สนับสนุนผมจะต้องดีใจ และจะไม่ต้องต่อสู้ รวมทั้งไม่ต้องมีการพิสูจน์สิ่งใดอีก ขึ้นอยู่กับพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์” นั่นแสดงว่า ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระกรุณาพระราชทานอภัยโทษ คนที่เชียร์ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะพึงพอใจ ไม่ก่อความวุ่นวายใช่หรือไม่? แต่ถ้าพระองค์ไม่ทรงพระกรุณา ก็จะไม่พอใจและก่อความวุ่นวายอย่างนั้นหรือ?