xs
xsm
sm
md
lg

“ม็อบถ่อย” อ้าง เหตุปะทะ “พันธมิตรฯ” เพราะฝ่ายตัวถูกทำร้ายก่อน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ประจิณ ฐานังกรณ์” ประธานกลุ่มธรรมาธิปไตย สมาชิก “ม็อบถ่อย” อ้างถูกพันธมิตรฯ ทำร้ายก่อนเป็นเหตุให้ปะทะกัน-ป้องน้อง “สุชาติ นาคบางไทร” แกนนำ นปช.ถ่ายภาพนักข่าวแค่เอาไว้ดูเล่นไม่ถือว่าคุกคามสื่อ!-ด้าน “หมอตุลย์” หนึ่งในแนวร่วมพันธมิตรฯ ชี้ ตำรวจละเว้นปฏิบัติหน้าที่ เห็นชัด “ม็อบถ่อย” ทำร้ายพันธมิตรฯ กลับยืนดูเฉย

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ คมชัดลึก

วานนี้ (26 พ.ค.) ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในผู้ร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ให้สัมภาษณ์ในรายการ คมชัดลึก ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชลแนลว่า สาเหตุที่พันธมิตรฯ ต้องออกมารวมตัว เป็นเพราะเรามองว่า การแก้ไข รธน.มองได้ว่า เป็นการแก้เพื่อผลประโยชน์ของพรรคพวกตนเอง เห็นได้จากการที่รัฐบาลต้องการจะแก้ไขมาตรา 237 เพื่อหนีคดียุบพรรค และการชุมนุมก็เป็นการชุมนุมกันด้วยความสงบแต่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุปะทะกัน โดยกลุ่มผู้ต่อต้านได้พยายามขว้างปาขวดแก้วและก้อนหินมายังกลุ่มพันธมิตรฯ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

อีกทั้งตนยังมองว่า ทางตำรวจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะขณะที่เห็นได้ชัดเจนว่าระหว่างที่กลุ่มพันธมิตรฯ กำลังเคลื่อนการชุมนุมไปยังทำเนียบฯ กลุ่มต่อต้านได้เดินไล่หลังมาแล้วก็ขว้างปาขวดแก้ว และก้อนหินมาใส่พันธมิตรฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เห็นอยู่แต่ก็ไม่รีบเข้าไประงับเหตุ

ต่อคำถามว่า ทำอย่างไรจึงจะหยุดการปะทะกันระหว่างพันธมิตรฯ และกลุ่มต้านได้ นพ.ตุลย์ กล่าวว่า วิธีที่ดีที่สุด คือ หากกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ คิดจะชุมนุม ก็ควรไปชุมนุมที่อื่น ไม่ใช่มาชุมนุมอยู่ใกล้ๆ กับที่พันธมิตรฯ แบบนี้ เพราะทางพันธมิตรฯ ก็ยืนยันว่าเราจะชุมนุมด้วยความสงบและก็ไม่คิดจะไปอยู่ใกล้ๆ กับกลุ่มต้านอยู่แล้ว และต่อคำถามว่าหากให้ปัญหาการชุมนุมยุติลงควรจะทำอย่างไรนั้น ตนคิดว่า วิธีแก้ก็ง่ายเช่นกัน คือให้คนที่ถูกกล่าวหาเรื่องการยุบพรรค ควรจะไปสู้คดีในศาล อย่าพยายามที่จะดิ้นรนแก้กติกา ดังนั้นหากทางรัฐบาลเลิกคิดที่จะแก้ รธน.เพื่อหนีความผิดของตัวเอง พันธมิตรฯ ก็คงไม่ต้องออกมารวมตัวกันอย่างนี้

ด้าน นายประจิณ ฐานังกรณ์ ประธานกลุ่มธรรมาธิปไตย หนึ่งในผู้ร่วมกับม็อบต่อต้านพันธมิตรฯ ซึ่งอยู่ร่วมในเหตุการณ์ ปะทะระหว่างกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ และกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา กล่าวว่า สาเหตุที่ตนเข้าร่วมกับม็อบต้านพันธมิตรฯนั้น เป็นเพราะ ตนมีตำแหน่งเป็นประธานสภาลูกหนี้กู้วิกฤตชาติ ซึ่งเมื่อครั้งฝ่ายพันธมิตรฯ ชุมนุมกันครั้งที่แล้ว ตนก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ แต่พอเห็นวี่แวว ว่า ทหารจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับพันธมิตรฯ ตนจึงต้องตีตัวห่าง เนื่องจากมีความคิดว่า ไม่ชอบให้ทหารเข้ามาข้องเกี่ยวกับการเมืองจึงได้ตีตัวออกมาจากกลุ่มพันธมิตรฯ แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตนก็ไม่ได้รักหรือชื่นชอบรัฐบาลชุดนี้เลย ออกจะเกลียดด้วยซ้ำ เพราะก็ไม่สามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้ แต่ที่มาร่วมชุมนุมกับม็อบต้านพันธมิตรฯ ก็เป็นเพราะเห็นว่า รธน. ควรจะได้รับการแก้ไขเพราะบางมาตรา เช่น มาตรา 237 ที่หากกรรมการบริหารพรรค ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเพียงคนเดียวก็สามารถยุบพรรคการเมืองได้เลย ซึ่งตนมองว่า มันเป็นข้อกฎหมายที่รุนแรงเกินไป เราน่าจะให้โอกาสกับพรรคการเมืองมากกว่านี้ เพราะการทำผิดของคนๆ เดียวไม่น่าจะตัดสินพรรคการเมืองทั้งพรรคได้

ส่วนกรณีที่การชุมนุมเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมาซึ่งสองฝ่ายปะทะกันนั้น ตนยืนยันว่าฝ่ายหนุนแก้ รธน.(ฝ่ายต้านพันธมิตรฯ) เป็นฝ่ายถูกทำร้ายก่อน เพราะตนอยู่ในเหตุการณ์ เห็นว่าตั้งแต่ช่วงเย็นแล้วที่ฝ่ายของตนถูกทำร้ายจนต้องนำส่งโรงพยาบาล ดังนั้นหากจะหาว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนทำ ตนคิดว่าก็ทำกันทั้งสองฝ่าย และยืนยันว่า กลุ่มต่อต้านนั้นไม่ได้มีใครนำมา หรือมีใครเป็นผู้จัดตั้ง แต่ละคนเท่าที่เห็นไม่รู้จักกันเลย ทำให้เวลาถูกทำร้ายบาดเจ็บก็ไม่มีใครรู้ อีกทั้งการมารวมตัวกันก็ไม่มีการเตรียมพร้อมมาก่อน ต่างจากฝ่ายพันธมิตรฯ ที่เตรียมมาพร้อมแล้ว เห็นได้จากการที่ฝ่ายพันธมิตรฯ พกไม้ขนาดเหมาะมือกันเต็มไปหมด ในขณะที่ฝ่ายต้านมีเพียงอาวุธที่สามารถหยิบฉวยได้ตามริมทางเท่านั้น

อย่างไรก้ตาม นายประจิณ ไม่ได้อธิบายว่า หากไม่มีการนัดแนะกันมาก่อน เหตุใดกลุ่มต่อต้านจึงไปรวมตัวกันที่ท้องสนามหลวงก่อนที่จะย้ายมาประชิดพันธมิตรที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และเหตุใดจึงตะโกนด่าทอและขว้างปาสิ่งของยั่วยุพันธมิตรฯ

ส่วนกรณีที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาตำหนิการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่ยอมเข้าไปจับกุมผู้ก่อเหตุ ขณะกลุ่มพันธมิตรฯ กำลังเคลื่อนขบวนไปทำเนียบนั้น ตนรู้สึกเห็นใจตำรวจและเข้าใจตำรวจว่า ตำรวจมีหน้าที่ในการยืนตรึงกำลังเพื่อป้องกันความวุ่นวายให้มีมากขึ้น ดังนั้นหากเข้าไปทำการจับกุมไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเกิดการวุ่นวายหนักขึ้น อีกทั้งในเหตุการณ์ชุมนุมการจะเข้าดำเนินการจับกุมก็ต้องรอฟังคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาก่อนคงกระทำการโดยพละการไม่ได้ และตนก็เห็นใจเพราะตำรวจก็เป็นคนเหมือนกันก็คงจะกลัวก้อนหินและขวดแก้วเหมือนกัน หากถามว่าตำรวจบกพร่องต่อหน้าที่หรือไม่ ตนคิดว่าบกพร่องแต่ ก็บกพร่องเพียงเล็กน้อย

นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการยังได้สอบถามถึง กรณีที่ นายสุชาติ นาคบางไทร ซึ่งเป็นน้องชายของนายประจิณ ที่เป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่วานนี้ได้แถลงข่าวปฏิเสธว่า นปช.ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมของพันธมิตรฯ เมื่อคืนวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งระหว่างที่นักข่าวถามคำถามนั้น นายสุชาติไม่พอใจกับคำถามของบรรดานักข่าวจึงทำการถ่ายภาพเอาไว้ จนเป็นเหตุให้ถูกผู้สื่อข่าวกลุ่มที่ถูกถ่ายภาพรวมตัวกันไปแจ้งความข้อหาคุกคามสื่อว่า มีความคิดเห็นอย่างไร นายประจิณ กล่าวว่า ตนคิดว่า การกระทำของน้องชายไม่ได้เป็นการคุกคามสื่อ แต่กิริยาอาจจะดูแรงไปหน่อย และเรื่องอย่างนี้ไม่เห็นน่าจะเป็นประเด็นขึ้นมาได้เลย หากยอมๆ กันหน่อย เช่นนักข่าวยอมให้ถ่ายรูปเสีย หรือนายสุชาติ ยอมลบภาพทิ้งตามที่นักข่าวต้องการ ก็คงไม่มีเรื่องอะไรกัน

“ผมว่านักข่าวน่าจะแฟร์กว่านี้นะ เพราะการมองครั้งเดียวมันคงจำอะไรไม่ได้ ผมเห็นว่ามันเป็นการโอเวอร์รีแอ็กต์ไปหน่อยนะ ดังนั้นผมมองว่า จริง ๆ สื่อต้องอย่ากลัว เพราะสื่อก็ใช้กล้องเป็นอาวุธกันอยู่แล้ว ถ้าเราดีจริงก็ไม่เห็นต้องกลัว และน้องชายผมก็ไม่ได้มีอะไรก็แค่ถ่ายรูปแล้วเอาไปดูเท่านั้นไม่ได้มีอะไร ไม่เห็นจะน่ากลายเป็นเรื่องขึ้นมาได้” นายประจิณ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น