เมื่อพิจารณาจากภาพรวมการอภิปรายตลอดทั้งวันตั้งแต่หัวหน้าขุนพลคือ “เป็ดเหลิม” ไปยันระดับปลายแถว ที่เคยประกาศเอาไว้ล่วงหน้าแบบขึงขังว่ามีทีเด็ดน็อกได้แน่ เอาเข้าจริง ก็จืดสนิท
เป็นครั้งแรกที่เห็นคล้อยตามกับ “เสนาะ เทียนทอง” ที่เคยออกโรงขัดขวางเต็มเหนี่ยวไม่ยอมให้พรรคเพื่อไทยยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะ เนื่องจากเห็นว่า ยังไม่มีสาเหตุหรือมีเหตุผล หรือช่วงจังหวะที่เหมาะสมเพียงพอที่จะยื่นญัตติซักฟอกเกิดขึ้นได้
ได้ยินตอนแรกก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
จนกระทั่งมาได้ฟังการอภิปรายของสมาชิกพรรคฝ่ายค้านในสภาวันแรกเมื่อวันที่ 19 มีนาคม เริ่มตั้งแต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะตัวตั้งตัวตีในการยื่นซักฟอกได้อภิปรายนำเป็นคนแรก ก็ทนนั่งฟังในช่วงแรกตั้งแต่ต้นจนจบกว่า 3 ชั่วโมง ก็บอกได้คำเดียวว่า “ทำไมทำได้แค่นี้(วะ)
พูดกันอย่างตรงไปตรงมาแบบไม่ต้องเกรงใจกันถือว่า เป็นการอภิปรายที่ต่ำกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะมาตรฐานของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่เคยทำเอาไว้ก่อนหน้านี้
เพราะหัวข้อที่สรรหามากล่าวหารัฐบาล นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐมนตรีอีก 5 คน ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเก่า ส่วนประเด็นที่เคยคุยโวโอ้อวดผ่านสื่อกันใหญ่โตว่าเป็นหมัดเด็ด “ป๊อกเดียวจอด” อย่างเรื่อง “เงินบริจาค” ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ นั้นจริงไม่จริงไม่รู้ แต่เอาเป็นว่า มันไม่เห็นเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินตรงไหน
หรือนายกรัฐมนตรีไปทุจริตคอรัปชั่นโครงการอะไร ตรงไหน
นั่งฟังไปซักพักชักฟังเพลินๆตอนแรกก็หลงนึกว่าคนที่ชื่อ ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว เพราะเนื้อหาสาระหลักๆพุ่งไปที่ ประดิษฐ์ ซึ่ง “เคยเป็น” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อหลายปีก่อนและรวมไปถึงคนใกล้ชิดแทบทั้งสิ้น
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาหลายมุมแล้ว แม้ว่าข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ตามขั้นตอนน่าจะยื่นหลักฐานผ่านไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้สอบสวนให้แจ่มแจ้ง ถ้าผิดจริงถึงขั้นยุบพรรคก็ต้องยุบกันไปเลย
ส่วนข้อกล่าวหาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “หนีทหาร” ของนายกรัฐมนตรี เรื่องส่งข้อความสั้นหรือเอสเอ็มเอสเชิญชวนประชาชนกันฝ่าออกจากวิกฤตชาติ การกล่าวหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ ที่บรรดาขุนพลอาสาพรรคเพื่อไทยทยอยขึ้นเวทีถล่มตั้งแต่เช้ายันเย็นเชื่อว่าสังคมยังไม่เกิดอารมณ์ร่วม อีกทั้งถ้าพิจารณาอย่างตรงไปตรงมาอย่างมากก็ได้แค่กระทู้ถามสดเท่านั้น
บางครั้งยังอภิปรายนอกประเด็น พาดพิงรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นอกญัตติเสียอีก
ไม่ได้มีน้ำหนักพอที่จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยซ้ำไป
ที่ผ่านมาหากสังเกตให้ดีก็พบว่าได้อภิปรายในเรื่องเดียวกันซ้ำซากมาหลาย หนนไล่เรียงไปตั้งแต่เมื่อครั้งอภิปรายวันแถลงนโยบายรัฐบาล การยื่นกระทู้ถามสด อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณกลางปี เรียกได้ว่าถ้าเป็นรายของ กษิต ภิรมย์ ก็ต้องจองกฐินไว้ก่อนทุกครั้ง เนื้อหาหลักๆก็มีความผิดเดียวคือร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯเท่านั้น
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็ใช้วิธีตอดเล็กตอดน้อยยกย่องเชิดชู พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลางอากาศหน้าตาเฉย
เมื่อพิจารณาจากภาพรวมการอภิปรายตลอดทั้งวันตั้งแต่หัวหน้าขุนพลคือ “เป็ดเหลิม” ไปยันระดับปลายแถว ที่เคยประกาศเอาไว้ล่วงหน้าแบบขึงขังว่ามีทีเด็ดน็อกได้แน่ เอาเข้าจริง ก็จืดสนิท
หากมองอีกมุมหนึ่ง การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้มีน้ำหนักทำได้แค่นี้มันก็ น่าหนักใจแทน เพราะไม่อาจระคายผิวของฝ่ายรัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรีได้เลย แต่ขณะเดียวกันอาจไม่ได้มุ่งหวังเกมในสภาได้เต็มร้อย เพราะบังเอิญว่าในช่วงเวลาเดียวกันที่เคยวางตารางเวลาเอาไว้ให้มาประจวบเหมาะกับ “ม็อบเสื้อแดง” นอกสภา
แต่เมื่อถูกตัดเกมรู้ทันร่นเวลาซักฟอกเร็วขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้ทุกอย่าง “รวน” จนไปไม่เป็น เกมในสภา-นอกสภาต่ออารมณ์มวลชนกันไม่ติด
ดังนั้นเมื่อผลออกมาแบบนี้ถือว่าไม่คุ้มค่า คนที่เสียหาย “เข้าเนื้อ” ก็คือคน “หน้าเหลี่ยมๆ”ที่อยู่นอกประเทศนั่นแหละ อีกทั้งถ้าอภิปรายกัน “หน่อมแน้ม” นอกเรื่องนอกรอยไม่เป็นโล้เป็นพายหลอกตีกิน ใช้เวทีสภาหลอกด่าคนอื่นที่อยู่ภายนอกฟรีแบบนี้โอกาสที่จะได้ลุ้นกลับมาเข้าประเทศ นับวันก็ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
บอกได้คำเดียวว่าน่าสงสารจริงๆ เพราะน่าจะเข้าข่าย “ถูกต้ม” เข้าเนื้ออีกแล้ว !!