xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” เคลียร์สนิท ยัน “กษิต” ได้รับโปรดเกล้าฯ ชี้ “เหลิม” มั่วข้อมูล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกฯ สวนกลับ “เหลิม” ทันควัน มั่วข้อมูลระบุไม่ใช้ชื่อยศน้ำหน้าไม่เกี่ยวจงรักภักดีสถาบัน ชี้เจตนารมณ์เล่นการเมืองไม่ต้องการให้กลาโหมแปดเปื้อน โต้ “กษิต” ได้รับโปรดเกล้าฯ ก่อนใบบันทึกแจ้งความสภ.ราชาเทวะ

 
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอบข้ออภิปราย 

วันนี้ (19 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบข้ออภิปรายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทยกรณีที่ร.ต.อ.เฉลิมพาดพิงการที่นายกฯไม่ได้ใช้ยศทหารนำหน้าชื่อว่า การพูดทำให้คนสงสัยในตัวของตน ที่จริงแล้วมีการตั้งคำถามว่าทำไมตนไม่ใช้ยศทหารนำหน้าชื่อ ก็อยากจะกราบเรียนอย่างนี้ว่าเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2517 รมว.กลาโหมขณะนั้นออกคำชี้แจงของกระทรวงกลาโหมเรื่องการใช้ยศทหารประกอบชื่อบุคคล เหตุที่ต้องมีคำพชี้แจงเขาบอกว่าเนื่องจากปรากฏว่านายทหารสัณยาบัตรและนายทหารประทวนทั้งประจำการและนอกประจำการบางนาย ใช้ยศทหารประกอบชื่อในกิจการและโอกาสที่ไม่เหมาะกับกาลเทศะ กล่าวคือในบางกิจการถือโอกาสที่ไม่สมควรจะเปิดเผยให้บุคคลภายนอกวงการทหารทราบว่าตนเป็นทหาร ก็กลับเปิดเผยให้ทราบ ทั้งนี้ย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมถึงวงการทหารทั่วไปด้วยฉะนั้นจึงชี้แจงทางปฏิบัติต่อไปนี้ “ข้อ4ในการปฏิบัติราชการหรือทำงานในส่วนราชการฝ่ายพลเรือน องค์การหรือรัฐวิสหากิจฝ่ายพลเรือน ผู้มียศทหารจะใช้ยศประกอบชื่อเท่าที่จำเป็น หรือจะไม่ใช่ยศที่ประกอบชื่อก็ได้”

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนทราบเรื่องนี้มาโดยตลอด และข้อเท็จจริงก็เคยมีอดีตส.ส.ท่านหนึ่งก็เคยกล่าวหาตนรุนแรงในเรื่องนี้ จนกระทั่งเรื่องไปถึงศาล ก็ต้องมีการยอมความและมีการขอขมากัน ก็กราบเรียนง่ายๆว่าที่ตนไม่ได้ใช้ยศทหารเพราะว่าตนทราบว่าในอาชีพทางการเมืองเข้ามาแล้วในระบอบประชาธิปำตยมีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบ มีเรื่องที่จะต้องถูกโจมตีซึ่งอาจจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียได้

“ผมก็คิดว่าผมมาทำงานการเมืองความเป็นทหารต้องไม่ได้ติดมาในลักษณะที่ต้องมาถูกโจมตีเสื่อมเสียด้วยครับ ฉะนั้นท่านประธาน(สภา)คงนึกออกพอใครทำอะไรชั่ว สมมติมียศตำรวจมันก็ทำความเสื่อมเสียให้กับตำรวจได้ ฉะนั้นเหตุผลนี้ผมเข้าใจดีว่าการทำหน้าที่ตรงนี้ต้องมีการโต้แย้ง มีเรื่องต้องขัดแย้ง ผมจึงตัดสินใจว่าพอผมเข้ามาสู่การเมืองผมก็จะไม่ใช้ประกอบชื่อบุคคลตามคำชี้แจงของกระทรวงกลาโหม”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ส่วนกรณีตั้งนายกษิต ภิรมย์ แนวร่วมกลุ่มพันธมิตรฯ มาเป็นรมว.การต่างประเทศนั้น นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า เรื่องนี้ตนไม่อยากจะเสียเวลามาก แต่ตนข้อสังเกตอย่างเดียวว่าเหตุการณ์ยึดสนามบินเกิดขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนพ.ย.2551 มีคนไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษคดีที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน2-3คดีเป็นอย่างน้อย และไม่มีการเอ่ยชื่อนายกษิต และคนที่ไปแจ้งความเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ก็แจ้งหลังจากทราบว่านายกษิตเป็นรัฐมนตรีแล้ว อันนี้จึงเป็นเรื่องการเมืองไม่มีอะไรมากกว่านั้น

“ถ้าหากคนคิดว่านายกษิตมีบทบาทสำคัญในการปิด ในการก่อการร้าย ผมคิดว่าเขาคงไม่รอให้มีการโปรดเกล้าฯหรอกครับ”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ส่วนที่มีการพาดพิงถึงที่มาที่มิชอบของรัฐบาลที่ไม่ได้มาตามระบบ นายกฯ กล่าวว่า ตามระบบที่ว่าก็คือตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งทุกพรรคก็ยอมรับด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส่วนที่มีการอ้างถึงคะแนนเสียงนั้น ถ้าพูดถึงคะแนนที่ให้พรรคการเมืองนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้น้อยกว่าพรรคพลังประชาชนเพียงแสนคะแนน เพียงแค่พรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นที่ได้รับเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศมาร่วมกับปชป.ก็เท่ากับว่ามีประชาชนมากกว่าที่ลงคะแนนให้อยู่แล้ว ส่วนจำนวนส.ส.เมื่อการเลือกตั้งถูกวินิจฉัยว่ามีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งก็เท่ากับว่าเลือกตั้งไม่สุจริตเที่ยงธรรมก็มีการลงโทษตามกฎหมาย เช่น ยุบพรรค และเมื่อยุบพรรครัฐธรรมนูญก็เปิดให้สมาชิกที่พรรคถูกยุบเข้าไปหาสังกัดและมีสิทธิ์อิสระในทางการเมืองว่าจะสนับสนุนขึ้นมาเป็นนายกฯ

“ซึ่งผมก็เชื่อว่าสิ่งที่เพื่อนสมาชิกเสียงส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนเพราะต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงจากสภาพบ้านเมืองเมื่อปีที่แล้ว และผมทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปได้ และผมเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่คิดอย่างนั้นดูได้จากผลการเลือกตั้งซ่อมเมื่อต้นเดือนม.ค. ที่ชนะ21เขตจาก27เขตเลือกตั้ง ดังนั้นผมจึงความชอบธรรมทุกประการที่จะบอกว่าการเข้าสู่ตำแหน่งเป็นไปตามระบบ”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนวันแถลงนโยบายที่ต้องย้ายสถานที่นั้นต้องถามว่าใครหละที่ขัดขวาง ซึ่งตนต้องการยึดถือระบบแต่ไม่ต้องการให้เสียเลือกเนื้อ ตนก็ตัดสินใจย้ายสถานที่และประธานสภาก็นัดให้ไปที่กระทรวงการต่างประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น