นายกฯ มอบหมายให้สถาบันพระปกเกล้ารับภาระปฏิรูปการเมือง ตั้งกรรมการมาจากทุกฝ่ายที่สังคมยอมรับ เผยได้หารือประธานวิปฝ่ายค้าน-ประธานรัฐสภาแล้ว ตั้งเป้าให้เสร็จในรัฐบาลนี้ วอน “ไข่แม้วแดง” เห็นแก่ภาพลักษณ์ประเทศหยุดป่วน แฉมีบางคนคิดก่อความรุนแรงฉีกหน้ารัฐบาลช่วงประชุมอาเซียน รับ ศก.ทรุดหนักแต่มั่นใจมาตรการกระตุ้นได้ผลปลายปีนี้เริ่มกระเตื้องแน่
วันนี้ (20 ก.พ.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ถึงการตั้งคณะกรรมการปฎิรูปการเมืองซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลว่า เมื่อวานนี้ (19 ก.พ.) ได้คุยกับนายวิทยา บูรณะศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน และนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ถึงความคืบหน้าในการปฏิรูปการเมือง โดยได้ทำหนังสือถึงสถาบันพระปกเกล้า ให้สภาสถาบันพระปกเกล้าพิจารณาความเป็นไปได้ในการที่จะเป็นแกนในการดำเนินกระบวนการปฏิรูปการเมือง หมายถึงกรรมการสถาบันจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะสามารถทำงานนี้ได้หรือไม่ หากทำแล้วจะทำรูปแบบใด มีกลไกกรรมการดำเนินการ ใช้เวลาเท่าไหร่ เพื่อนำข้อเสนอต่างๆ ประเด็นใดบ้างที่จะครอบคลุม ซึ่งทางประธานวิปฝ่ายค้านเห็นว่าน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสม คิดว่าจะช่วยทำให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้นระหว่างฝ่ายต่างๆ
ถามว่า เรื่องการเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะไม่มีการเสนอแต่จะผ่านกระบวนการปฏิรูปการเมืองนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้คุยกับฝ่ายค้านให้ใช้ช่องทางนี้ในการนำเสนอความคิดต่างๆ เพราะหลักที่อยากเห็นคือ หากสถาบันรับดำเนินการสถาบันจะต้องใช้กระบวนการเชิญฝ่ายต่างๆ เข้าร่วม ทางเลขาฯ สถาบันระบุว่าแนวทางดำเนินการต้องให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ถือเป็นเรื่องของฝ่ายค้านจะไปพูดคุยกันภายใน หากคิดว่าแนวทางนี้เหมาะสม คิดว่าจะเป็นหลักในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง
เมื่อถามว่า ประธานวิปฝ่ายค้านให้ความมั่นใจหรือไม่ว่าจะสามารถคุยภายในพรรคเพื่อไทยได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในชั้นนี้คงต้องรอการประชุมสภาสถาบันพระปกเกล้าก่อน เพราะประธานและเลขาฯ ระบุว่าต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการว่าพร้อมทำงานนี้หรือไม่ หากมีความพร้อมจะทำข้อเสนอมา ตนจะเชิญฝ่ายค้านมาคุยอีกทีว่าเห็นตรงกันหรือไม่ ถ้าคิดว่าต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลงดำเนินการอย่างไร ก็มาว่ากันอีกที
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หากทุกอย่างตกลงกันได้ถือว่าการพูดจาผ่านสาธารณะก็เพียงพอ เพราะให้เกียรติซึ่งกันและกัน ส่วนที่นักวิชาการตั้งคณะกรรมการศึกษาปฏิรูปประเทศไทยคู่ขนาน อย่างคณะของ นพ.ประเวศ วะสี นั้น ได้รับทราบและติดตาม ขึ้นอยู่กับทางสถาบันพระปกเกล้าว่าประเด็นมากน้อยแค่ไหน ถ้าหากทำหลายเรื่องมากเกินไป ใช้เวลานานเกินไปจะเป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหา เมื่อถามว่าคิดว่าเวลาที่เหมาะสมคือเมื่อไหร่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนให้ทางคณะกรรมการพิจารณา พยายามไม่ไปชี้นำ และถือว่าให้องค์กรมีความเป็นกลางเชิญทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ต้องพยายามให้สำเร็จภายในรัฐบาลนี้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังแสดงความเป็นห่วงกรณีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงโดยกล่าวว่า ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ส่วนข้อเรียกร้องบางเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดำเนินคดี แง่ของความคืบหน้าคดีต่างๆ รวมไปถึงการปฏิรูปการเมืองเดินหน้า ส่วนประเด็นอื่นเช่น ตัวรัฐมนตรี การตัดสินใจของตน คงเป็นเรื่องการตัดสินใจทางการเมือง ฉะนั้นตนยังยืนอยู่ตรงนี้ ให้ความสำคัญข้อเรียกร้องของเขาในเรื่องรัฐธรรมนูญและการดำเนินคดี
เมื่อถามว่า คิดว่าเป็น 4 วันอันตรายอย่างที่วิเคราะห์กันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ถือว่าเวลามีสถานการณ์การชุมนุมมีความเสี่ยง เป็นหน้าที่รัฐบาลดูแลให้เกิดความเรียบร้อย เวลามีการชุมนุมคนมากต้องระมัดระวังดูแลให้เกิดความสมดุล ไม่ให้เกิดความตึงเครียด สำคัญที่สุดไม่ให้เกิดความรุนแรง และรักษากฎหมายได้ เป็นธรรมดาเป็นงานที่หนักสำหรับเจ้าหน้าที่ และทาง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงเองถือเป็นภาระ และเป็นสิ่งที่ต้องบริหารจัดการให้ได้
ถามว่า สิ่งที่ห่วงที่สุดคือห่วงว่าจะไม่มีทำเนียบรัฐบาลใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่ใช่
“สิ่งที่ห่วงที่สุดไม่อยากเห็นความรุนแรง และประเทศเสียภาพลักษณ์ คิดว่าสิ่งที่พยามทำกันมาเกือบ 2 เดือนทำให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ต่างประเทศให้ความมั่นมากขึ้น อยากให้ทุกฝ่ายระมัดระวังอย่าให้ประเทศเดินถอยหลังเหมือนสถานการณ์ปีที่แล้ว” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า มีรายงานว่าทางแกนนำกลุ่มเสื้อแดงได้ให้มวลชนรอในพื้นที่การประชุมอาเซียน จะกระทบกับภาพลักษณ์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าชุมนุมอยู่ในกรอบปกติของสังคมประชาธิปไตยก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ามีความรุนแรงหรือมีการกระทำที่ไม่เหมาะสมก็จะกระทบ คิดว่าขณะนี้ทุกคนมีความวิตกกังวลอยู่แล้วต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ ตัวเลขการส่งออกก็บ่งบอกชัดว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกรุนแรงมาก ประชาชนเริ่มมีปัญหามากขึ้นในทางเศรษฐกิจ อยากให้ทุกฝ่ายให้โอกาสบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ด้วยการสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้บนพื้นฐานของความเชื่อมั่น
เมื่อถามว่าจะมีการเจรจากับทางแกนนำกับกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อทำความเข้าใจหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ได้เจาะจงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่อยากให้โอกาสบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า รัฐบาลจะให้ความเป็นธรรม เมื่อถามว่า มีรายงานจากฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ว่าทางกลุ่มเสื้อแดงจะสร้างความรุนแรงเพื่อให้กลุ่มผู้นำประเทศต่างๆ ไม่กล้าเข้าร่วมการประชุม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อาจจะมีบางคนบางฝ่ายที่วางเป้าหมายไว้อย่างนั้น แต่เชื่อว่าไม่ใช่ความต้องการของคนส่วนใหญ่ เพราะทุกคนต้องการให้มีความเรียบร้อย ให้ประเทศไทยได้รับความเชื่อถือ เชื่อมั่น และเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้ประชาชนโดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ
ส่วนเรื่องที่รัฐบาลจะดูแลไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นได้หรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่ารัฐบาลจะดูแลได้ โดยอาจจะจัดพื้นที่ให้แสดงออกหรือไม่นั้นคงต้องดูว่ามีการเคลื่อนไหวการชุมนุมลักษณะใด จะบริหารจัดการให้เหมาะสม เมื่อถามว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงจะทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียนหวั่นไหวไม่เข้าร่วมประชุมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่มี ทุกประเทศยังยืนยัน ตนจะเดินทางไปอินโดนีเซีย ซึ่งในช่วงการประชุมจะเริ่มในสัปดาห์หน้าเป็นต้นไปจะมีการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน และรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ตลอดทั้งสัปดาห์ มีการนัดพบปะทวิภาคี2 ฝ่ายทุกประเทศที่ตนยังไม่ไปเยือนหรือพบปะ ก็ได้รับการยืนยัน
เมื่อถามว่า การเดินทางไปอินโดนีเซีย นอกจะพูดในเรื่องกรอบอาเซียนแล้วจะมีประเด็นอื่นๆ หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญเรื่องเศรษฐกิจ ตั้งใจทำให้ความร่วมมือคืบหน้า ส่วนกรณีปัญหาชายแดนภาคใต้ เพื่อให้อินโดนีเซียช่วยทำความเข้าใจกับกลุ่มประเทศมุสลิม ซึ่งทางอินโดนีเซียให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด เมื่อถามว่า รวมไปถึงเรื่องโรฮิงญา ด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศได้ไปคุยแล้ว ซึ่งทางอินโดนีเซียและทั้งอาเซียนรวมไปถึงกระบวนการบาหลี ดำเนินการศึกษาเรื่องการค้ามนุษย์ ร่วมหารือเห็นชอบด้วย
นายกรัฐมนตรีซึ่งให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ถึงเรื่องการส่งออกจะนำไปสู่ภาวการณ์ตึงตัวทางการค้าภายในว่า การส่งออกหดตัวกระทบต่อการใช้กำลังการผลิต และมีผลต่อการจ้างงาน เป็นส่วนหนึ่งที่คาดการณ์ไว้ว่าต้องใช้ตลาดภายในประเทศทดแทนเท่าที่ทำได้ ส่วนโครงการการฝึกอบรมแรงงานรัฐบาลให้ความสำคัญกับภาคส่งออกและภาคการท่องเที่ยวก่อนตามที่ได้เป็นมติที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ วันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยให้ทำตัวเลขให้ละเอียดว่าตลาดส่วนไหน ธุรกิจส่วนไหนที่กระทบมากที่สุด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เกินกว่ารัฐบาลคาดหมายเอาไว้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าแรง เพราะหลายประเทศหดตัวเกินร้อยละ 20 หรือประมาณร้อยละ 20 ถือว่าสูงแต่ไม่นอกเหนือการคาดหมาย เมื่อถามว่าจะรับมือได้หรือไม่กับหาตลาดใหม่เพื่อทดแทน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าการหาตลาดใหม่เพื่อชดเชยการส่งออกทำได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ภาวะที่เศรษฐกิจโลกเป็นแบบนี้ เราต้องหวังจากผลการกระตุ้นเศรษฐกิจและความร่วมมือ อาจเห็นผลในช่วงไตรมาสที่ 2 ส่วนสินค้าเกษตรก็ได้รับผลกระทบ แต่อาหารไทยสามารถส่งออกได้ดี มีปัจจัยพิเศษซึ่งเทียบกับฐานปีที่แล้วที่ทั่วโลกขาดแคลนอาหาร และราคาสูงมาก รัฐบาลติดตามตลอด ตัวเลขการส่งออกข้าวลดลงไปพอสมควร
เมื่อถามว่า ทา งม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ออกมาระบุว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะใช้เวลาฟื้นตัวอีก 3-4 ปีข้างหน้า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราไม่ประมาท แต่ยังเชื่อว่ามาตรการต่างๆที่ทุกประเทศต้องดำเนินไม่น่าจะยาวนานขนาดนั้น ทั้งนี้ต้องติดตามสถานการณ์เป็นระยะๆ เชื่อว่าปลายปีนี้ยังตั้งเป้าหมายให้ฉุดขึ้นในแดนบวกได้