“ทรงกิตติ” โต้ข่าว “เพื่อไทย” ปูดข่าว “ทหาร” สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ ตร.นับหมื่น หวังสกัด “ม็อบเสื้อแดง” 24 ก.พ.นี้ ยัน “กองทัพ” วางตัวเหมาะสม-อยู่ในพื้นที่ที่ดีที่สุดทุกสถานการณ์ ย้ำ “กม.ปรองดอง” ไม่มีความหมาย หากคนในชาติไร้สำนึกถึง “ความเป็นไทย” แนะยิ้มให้กัน-รับฟังความคิดเห็น ช่วยสร้างสมานฉันท์
วานนี้ (17 ก.พ.) พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่า กองทัพ และตำรวจ ส่งกำลังกว่าหมื่นนายเพื่อสกัดกั้นกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะเดินทางเข้ามาชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวงในวันที่ 24 ก.พ.นี้ ว่า ไม่มีกรณีที่พรรคเพื่อไทย กล่าวอ้าง และตนยังมองไม่เห็นว่าจะส่งผลเสียกับกองทัพอย่างไร ในเมื่อเราไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ทั้งนี้ เราได้เรียนไปแล้ว คือ อย่าไปเชื่อ เพราะกองทัพทำหน้าที่ของกองทัพ เป็นกองทัพของประชาชน และเป็นกองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้น ขอให้มั่นใจในกองทัพว่า จะยืนอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสม และดีที่สุดในทุกสภาวการณ์
เมื่อถามว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยนำข้อมูลหลักฐานมากล่าวอ้าง ทางกองทัพได้มีการตรวจสอบหรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า เป็นการสร้างกระแสข่าวไปเรื่อย ขณะนี้ประเทศไทยจะต้องก้าวเดินหน้าต่อไปเพื่อประชาชนทั้ง 60 ล้านคน จึงอยากให้ทุกคนมีความร่วมมือที่จะทำงานให้ประเทศเทศชาติ เพื่อให้เดินหน้าต่อไปในสภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน ในขณะที่ประเทศจะต้องพยุง และดูแลประชาชนให้เดินหน้ากันต่อไป เราอยากให้ทุกคนสามัคคีกัน ทุกคนรักประเทศไทย เอาความรักที่ทุกคน บอกว่า รักประเทศไทยทำเพื่อส่วนรวมแสดงออกมาในห้วงเวลาข้างหน้านี้
เมื่อถามถึงกรณีที่กองทัพพยายามเดินหน้าสร้างความสมานฉันท์ แต่นักการเมืองบางกลุ่มเอาด้วยนั้น พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ประชาชนทราบดีว่าใครพูดออกมาแล้วเป็นอย่างไร ประชาชนมีวิจารณญาณ ต้องให้เกียรติประชาชน ฉะนั้น อย่าไปกังวล ส่วนกองทัพได้มีการวิเคราะห์หรือไม่ว่า เพราะเหตุใดจึงถูกโจมตีอย่างหนักในช่วงนี้ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ในช่วงเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนที่กองทัพจะไม่ถูกโจมตี มันมีทุกช่วง ทั้งนี้ เมื่อใครคิดว่ากองทัพทำไว้ไม่เป็นไปตามที่ตนเองคิด ก็จะบอกว่าไม่ถูกต้อง ทั้งๆ ที่เราเดินหน้าในการทำงานด้วยระบบ และองค์กรตลอดเวลา
ส่วนที่กองทัพถูกกล่าวหาเพียงฝ่ายเดียว จะมีการฟ้องร้องหรือไม่นั้น พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ทั้งหมดวิจารณญาณอยู่ที่ประชาชน กระแสข่าวมีมาตลอด คิดว่าถ้าเราทำในสิ่งที่ดี เหมาะสมกับประเทศชาติ ทำเพื่อประชาชน และส่วนรวม เราอย่าไปกังวล หรือไปยึดติดอะไร เพราะจะเสียเวลาเปล่า เมื่อถามว่า ผบ.เหล่าทัพ รู้สึกอึดอัดใจกับข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่เห็นมีอะไร เพราะ ผบ.เหล่าทัพ ได้มีการพูดคุยกันตลอดเวลา ที่สำคัญไม่ใช่ว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญ เพียงแต่เราจะทำงานตามหน้าที่ของเราต่อไป เพราะงานของเรามีความสำคัญมากกว่า
เมื่อถามถึง พ.ร.บ.ความปรองดองแห่งชาติ จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะขณะนี้ประชาชนยังเกิดความแตกแยกสามัคคีกัน พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ความปรองดองของคนในชาติต้องมีอยู่แล้ว ถึงจะมี พ.ร.บ.หรือไม่มี พ.ร.บ.ความปรองดองแห่งชาติ คนในชาติ หรือคนไทยทุกคน จะต้องสำนึกในความเป็นไทย สำนึกในประวัติศาสตร์อันยาวนานถึงความเป็นมาของประเทศไทย และสำนึกในหน้าที่ความรับผิดชอบในความเป็นคนไทย ซึ่งต้องร่วมกันอยู่ร่วมกันกินเหมือนในอดีต เหมือนอย่างสมัยก่อน เวลาเราจะไปเกี่ยวข้าวจะมีการลงแขก ก็จะทำให้เกิดความสามัคคี เรามีประเพณีวัฒนธรรม แล้วเราจะทิ้งพื้นฐานของเราไปได้อย่างไร ในเมื่อเราเป็นคนไทย
ส่วนความปรองดองจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีกฎหมายได้หรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า จะมีกฎหมาย หรือไม่มีกฎหมายก็ได้ แต่คนไทยจะต้องอยู่ร่วมกัน เพราะคนไทยจริงๆ ตามธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม จะอยู่ด้วยกันบนพื้นฐานของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ฉะนั้นการแสดงความเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย จึงเป็นสิทธิ์ของประชาชน การวิพากษ์วิจารณ์ก็เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะแสดงความคิดเห็นได้ แต่คนไทยก็คือคนไทย ขณะนี้ยิ้มมากขึ้น แล้วทำไมถึงไม่ยิ้มให้มากขึ้น เราอย่าไปแข่งกัน แต่มาร่วมแรงกันทำมาหากิน และอยู่ร่วมกันเหมือนกับคนไทยในอดีต ซึ่งประชาชนทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง หรือใครก็ตาม ต้องรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน
เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นเพื่อน ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะหยุดการเคลื่อนไหวเพื่อยุติปัญหาที่เกิดขึ้น หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศขอสู้ตายทางการเมืองอย่างไร พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ และไม่สามารถที่จะกล่าวได้ แต่พูดแนะนำบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่มีวิจารณญาณ และมีความคิด มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ทุกคนที่เป็นคนไทย จะต้องทำเพื่อส่วนรวม และเพื่อประเทศชาติ เมื่อส่วนรวมดี ก็จะกลายเป็นผลดีกับตัวเอง เมื่อถามย้ำว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศว่า จะขอตายในประเทศไทย ควรจะกลับมาต่อสู้คดีในประเทศหรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวตนไม่ทราบ