xs
xsm
sm
md
lg

ระเบิดศึกซักฟอก ของฝ่ายค้านอนุบาล

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
“หากการอภิปรายของฝ่ายค้าน ใช้พยานหลักฐานเท็จ กล่าวหาแบบเลื่อนลอย จับแพะชนแกะ เพื่อหวังทำลายล้างการเมืองฝ่ายตรงข้ามคือรัฐบาล และวนเวียนซ้ำซากอยู่แต่การใช้เวทีสภาฯ มาเป็นสถานที่ยกย่องความดีของทักษิณ ชินวัตร แล้วโจมตีพันธมิตรฯ อย่างที่ปฏิบัติมาตลอดในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หากเป็นเช่นนี้ ก็น่าเศร้าใจ”

ประชัย เลี่ยวไพรัตน์
นักธุรกิจใหญ่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและวัสดุก่อสร้าง อาจไม่ใช่คนคุ้นเคยหรือรู้จักสนิทสนมสำหรับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รวมถึง สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์

แต่เขาก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับคนพรรคประชาธิปัตย์ทั้งพรรค แม้จะไม่มีใครรู้ถึงสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งของประชัย กับแกนนำพรรคหรือ ส.ส.ประชาธิปัตย์บางคนว่าลึกซึ้งขนาดไหน

ทว่าก่อนหน้านี้เมื่อ 10 สิงหาคม 47 ประชัย คนนี้ เคยเดินทางไปยังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย อัมรินทร์ คอมันต์ นักธุรกิจด้านการส่งออกระหว่างประเทศ และ เอกยุทธ อัญชันบุตร ขาใหญ่ตลาดหุ้นเมืองไทย เพื่อไปพบกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ในยุคนั้นที่มีหัวหน้าพรรคคือ บัญญัติ บรรทัดฐาน และ ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเลขาธิการพรรค นิพนธ์ บุญญามณี เป็นรองเลขาธิการพรรค

ก่อนที่จะมีข่าวในเวลาต่อมาว่า ทั้ง ประชัย-เอกยุทธยื่นเงื่อนไขจะให้การสนับสนุนทางการเงินจำนวนมากกับพรรคประชาธิปัตย์ นับพันล้านบาท

เพื่อให้เป็นกระสุนดินดำในการสู้ศึกเลือกตั้งปี 48 กับไทยรักไทยของ ทักษิณ ชินวัตร เพื่อแลกกับเงื่อนไข และข้อตกลงบางอย่างกับประชาธิปัตย์

อย่างไรก็ตาม หลังปรากฏข่าวได้แค่วันเดียว ก็มีเสียงปฏิเสธทั้งจากบัญญัติ และประดิษฐ์ รวมถึงแกนนำพรรคจำนวนมาก ที่ดาหน้าออกมาปฏิเสธข่าวและเงื่อนไขครั้งนี้ รวมทั้ง ประชัย-เอกยุทธ ก็หลบฉากหายไปจากความเกี่ยวข้องใดๆ กับประชาธิปัตย์ทันที

และหลังการไปเยือนประชาธิปัตย์ ก็ทำให้ชื่อของ เอกยุทธ กลับมาโด่งดังและถูกกล่าวขานอีกครั้งหลังจากเงียบหายไปเกิน 20 ปี จนทำให้ทั้งประชัย และเอกยุทธ ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่

“คนล้มระบอบทักษิณ” เป็นกลุ่มแรกๆ ก่อนกำเนิด “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เสียอีก

แล้ววันนี้ สายสัมพันธ์ของ ประชัย-ทีพีไอ กับประชาธิปัตย์ ก็กำลังถูกรื้อฟื้นกลับขึ้นมาอีกครั้ง กับเงินบริจาค 250 ล้าน ให้กับประชาธิปัตย์ ที่ประชัย ออกมาให้สัมภาษณ์ระบุว่า เคยมีการจ่ายเงินจำนวน 250 ล้านบาทให้กับพรรคประชาธิปัตย์จริง แต่เป็นการจ่ายเงินค่าโฆษณา

อันเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งนักกับคำกล่าวของประชัย ที่ออกมาสำทับให้น้ำหนักข้อมูลการอภิปรายไม่ไว้วางใจของ เฉลิม อยู่บำรุง และพรรคเพื่อไทย ร้อนแรงยิ่งขึ้น

และทำให้หน้าข่าวการเมืองต่อจากนี้ไปจนถึงวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะทำให้เรื่องราวเงิน 250 ล้านบาท และ บริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ที่เป็นเอเจนซี่ รับงานผลิตสื่อโฆษณาให้กับประชาธิปัตย์ ในช่วงเลือกตั้งปี 48

จะต้องถูกถอดรหัส และแกะจิ๊กซอว์หลายต่อหลายฉากว่า ทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

ระหว่างประชัย-ประชาธิปัตย์-เมซไซอะฯ โดยเฉพาะเส้นทางการเงินของทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกันจริงหรือไม่ และมีการใช้เอเยนซี่ เดียวกันได้อย่างไร ?

หลังจากเพื่อไทยพยายามออกมาปูดข่าวเรื่องนี้ผ่านสื่อในรูปแบบของ “แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย” เพื่อหวังจะตีปี๊ปให้การซักฟอกครั้งนี้ถูกพูดถึงไปเรื่อยๆ ซึ่งกว่าจะถึงวันซักฟอกจริง เพื่อไทย ก็หวังว่า

ประชาธิปัตย์จะถูกมองด้วยสายตาตั้งข้อสงสัยจากสังคม ถึงปริศนาเงินบริจาคจำนวนมากครั้งนี้ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร? จนมีผลทางการเมืองกับรัฐบาลอภิสิทธิ์โดยตรงในเรื่องของเครดิตความเชื่อถือ

ยิ่งเมื่อประชัย “ผิดคิว”เช่นนี้ ทั้งที่ยังไม่มีความชัดเจนว่า เอกสาร-ข้อมูลของฝ่ายค้าน มีจริงหรือไม่? และจะอภิปรายเรื่องนี้ด้วยหรือไม่? เพราะก็ไม่แน่ที่อาจเป็นแผนลวง-สลับขาหลอก จากเฉลิม และเพื่อไทย ให้รัฐบาลตายใจ และสื่อหลงทาง

ครั้นถึงเวลาซักฟอก ก็ค่อยงัดเรื่อง “ลับๆ” ที่แน่ใจว่า เป็นไม้เด็ดขึ้นมากลางสภาฯ รัฐบาลไม่ทันตั้งรับ และประเมินทิศทางผิด ไม่ทันตั้งตัว เลยเจอเพื่อไทยไล่ต้อนเสียจนมุม

ทว่าพอ “ประชัย” ตอกย้ำเรื่องนี้ บนกระแสข่าวปฏิเสธอย่างพัลวันของแกนนำพรรค โดยเฉพาะหลัง กกต.ออกมาชี้ช่องว่า หากเป็นเงินบริจาคที่ผิดเงื่อนไข และข้อกฎหมายตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง ก็สามารถเอาผิดถึงขั้นยุบพรรคได้

ท่าทีของประชัย และกกต. เลยทำให้บัดนี้เพื่อไทยและเฉลิม อยู่บำรุง เริ่มตีปีกทันที เพราะแค่ยังไม่ทันจะโหมโรง ตัวละครเอก ก็ออกโรงมาทำให้เรื่องกำลังเดินไปถึงจุดไคลแมกซ์เสียแล้ว !

เหตุเพราะแท้ที่จริงแล้ว เรื่องเงินบริจาค 250 ล้าน หากจำกันได้หลังพันธมิตรฯ ยกทัพเสื้อเหลืองล้อมทำเนียบรัฐบาล จนทำให้สมัคร แก้เกมด้วยการขอให้รัฐสภา มีการเปิดประชุมอภิปรายทั่วไปรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภา โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม

เรื่องนี้ได้ถูกจุดไฟขึ้นมาอย่างเป็นทางการครั้งแรกโดย สุนัย จุลพงษธร ส.ส.สัดส่วน พลังประชาชนในเวลานั้น ที่อภิปรายอัดพันธมิตรฯ และพยายามเชื่อมโยงว่า ประชาธิปัตย์มีความเกี่ยวข้องกับพันธมิตรฯ โดย ระบุว่าก่อนการปฏิวัติ มีบริษัทหนึ่งโอนเงินให้พันธมิตรฯ หลายรอบ จำนวนกว่า
250 ล้านบาท

และยังพบว่า มีการโอนเงินผ่านบริษัทของนางสุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ แต่ สุพัชรี ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ว่า ได้ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนของบริษัทมาตั้งแต่ปี 2543 และไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น กับกิจการของบริษัท

หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไปนาน และมีการพูดถึงแบบโฉบไปโฉบมาหลายครั้งบนเวทีคนเสื้อแดง และรายการ “ความจริงวันนี้” ของแกนนำนปช. สมัยอยู่ เอ็นบีที

ทว่า ก็ได้แค่โฉบ เพราะไม่มีหลักฐานใดๆ มาแสดงอย่างเป็นทางการ

เพราะหากมีหลักฐานก็คงไม่แค่พูด ในเมื่อมีอำนาจรัฐในมือเสียอย่าง แต่เพราะไม่มีก็เลยแต่ได้พูดถล่มเครดิตประชาธิปัตย์ไปเรื่อยๆ จากนั้นก็มีส.ส.พลังประชาชนไปยื่นเรื่องผ่าน สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ สมัยเป็น รมว.ยุติธรรม เพื่อให้เขี่ยลูกส่งต่อไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้เข้าสอบสวนอย่างเป็นทางการ จน สมพงษ์ส่งเรื่องไปให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ ที่รอรับลูกอยู่แล้ว ก็เลยไม่รอช้า เดินหน้าตรวจสอบทั้งทางลึกและทางลับ เพราะดีเอสไอ ก็รู้ดีว่าหมัดเด็ดอันนี้ น่าจะหวังทุบประชาธิปัตย์ให้น่วมทั้งพรรคได้

แล้วจู่ๆ บนการเตรียมตัวเปิดอภิปรายไม่วางใจรัฐบาลของ เพื่อไทย หลังจากได้ลูกฮึกเหิมมาจากการสัมมนาพรรคที่เขาใหญ่ เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ที่ ทักษิณ สั่งให้ลูกพรรคล้ม “เสือหิว-เสือโหย” ให้ตายเร็วที่สุด

เฉลิม ก็นำเรื่องเงินบริจาค 250 ล้าน เข้าไปพรีเซนต์ต่อ ส.ส.ในพรรคพร้อมกับพยานเอกสาร ที่มีข่าวว่า มีทั้งเอกสารต้นขั้ว การโอนเงิน หลักฐานทางบัญชี ที่โยงไปถึงคนในพรรคประชาธิปัตย์ ที่เจ้าตัวประกาศกลางพรรคว่า หากอภิปรายเมื่อไร รัฐบาลประชาธิปัตย์จะอยู่ไม่ได้ เหมือนกรณี สปก.4-01 ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงปรบมือของ ส.ส.ในที่ประชุมพรรค

แค่นั้นเอง เฉลิมก็เคลิบเคลิ้ม

หวังไกลไปถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี หากเพื่อไทยพลิกสถานการณ์กลับมาจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต และขอมติส.ส.ในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ วันที่ 11 มีนาคม และซักฟอกวันที่ 26-27 มีนาคม โดยเจ้าตัวขอทำหน้าที่ขุนพลฝ่ายค้าน ในการซักฟอกครั้งนี้เอง

ก่อนที่ต่อมาจะถูกเบรกหัวแทบทิ่ม จากแกนนำพรรค รวมถึงตัวทักษิณ ชินวัตร เองที่เห็นว่ายังไม่สุกงอมดีพอสำหรับการนวดรัฐบาลในช่วงเดือนมีนาคม น่าจะรอปลายสมัยประชุมฯ คือพฤษภาคมจะดีกว่า

จนทำให้เกิดภาพความขัดแย้งกันเองภายในพรรคเพื่อไทย ชนิดเสียหายรุนแรงยิ่งนัก เพราะลำพังก่อนหน้านี้ เพื่อไทย ก็ถูกปรามาสว่าเป็น

ฝ่ายค้านอนุบาล

ทำงานไม่เป็น ผู้นำพรรคไม่มี แกนนำพรรคขี้ขลาดตาขาว ไม่มีใครกล้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค-ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เพราะกลัวเจอคดียุบพรรค

แถมข่าวความขัดแย้งในพรรคก็มีมาตลอด และไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แม้ทักษิณ จะส่งพี่น้องชินวัตร 4 คนทั้ง เยาวเรศ-เยาวภา-พายัพ-ยิ่งลักษณ์ ผนวกกับท่อน้ำเลี้ยงของเพื่อไทย ก็อุดตัน มาๆ หายๆ ไม่คล่องตัวเหมือนพรรคภูมิใจไทย ที่พยายามต่อสายดูดส.ส.เพื่อไทย ให้ย้ายพรรคชนิดเช้าถึง เย็นถึง

เพื่อไทย เลยอยู่ในสภาพ สาละวันเตี้ยลง ถึงขนาดแกนนำพรรคอย่าง เฉลิม –พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย-วรวัจน์ เอื้ออภิญากุล-สุนัย จุลพงษธร ต้องเปิดห้องอาหารจีน โรงแรมปรินเซส คืนวันที่ 11 กุมภาพันธ์ เป็นการด่วน เพื่อเคลียร์ใจในเรื่องปัญหาความไม่ลงรอยกันในการทำศึกซักฟอก

กว่าจะออกมาเป็นการ “จูบปาก” เพื่อกลบเกลื่อนปัญหาในพรรคว่า ได้ข้อยุติจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 11 มีนาคมนี้ แต่จะนำเรื่องไปหารือในที่ประชุมพรรค เพื่อให้มีการลงมติกันก่อนในวันที่ 17 เดือนนี้ ซึ่งแค่นี้ก็เห็นแล้วว่า เพื่อไทย เป็นพรรคที่มีปัญหาในเรื่องการบริหารจัดการรุนแรงจริงๆ

และแม้นับจากนี้อีกประมาณเดือนหนึ่ง หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอีก ประชาชนอย่างพวกเราๆจะได้เห็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน

ประชาชนทั้งหลายก็ต้องจับตามองบทบาท และติดตามข้อมูลการอภิปรายของฝ่ายค้านให้ดี

เพราะหากพบว่า ข้อมูลพยานหลักฐานของฝ่ายค้านแสดงให้เห็นว่า คนในรัฐบาลมีการกระทำผิดกฎหมาย หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะก่อนรับตำแหน่ง หรือขณะรับตำแหน่ง หรือใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปแสวงหาผลประโยชน์ โดยมีพยานหลักฐาน หรือพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่า เป็นเรื่องจริง

แบบนี้สังคมก็ต้องชื่นชม

หากฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลได้ตามเจตนารมณ์ของการเป็นฝ่ายค้านที่ดี เพราะยิ่งประเทศมีฝ่ายค้านที่ดี ทำงานเข้มแข็ง รักษาผลประโยชน์ประเทศชาติจริง ประชาชนก็ได้ประโยชน์ เพื่อจะได้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ไม่ให้รัฐบาลทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย หรือทุจริตคอร์รัปชั่น

แต่หากการอภิปรายของฝ่ายค้าน ใช้พยานหลักฐานเท็จ กล่าวหาแบบเลื่อนลอย จับแพะชนแกะ เพื่อหวังทำลายล้างการเมืองฝ่ายตรงข้ามคือ รัฐบาล และวนเวียนซ้ำซากอยู่แต่การใช้เวทีสภาฯ มาเป็นสถานที่ยกย่องความดีของ ทักษิณ ชินวัตร แล้วโจมตีพันธมิตรฯ อย่างที่ปฏิบัติมาตลอดในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

หากเป็นเช่นนี้ ก็น่าเศร้าใจที่เรามีฝ่ายค้านที่อ่อนแอ เห็นแก่ประโยชน์การเมืองฝ่ายตัวเองเป็นหลัก และทำหน้าที่โดยขาดความสุจริตใจ และตั้งใจจริง
ประชัย เลี่ยวไพรัตน์
กำลังโหลดความคิดเห็น