xs
xsm
sm
md
lg

เดิมพันอนาคตรัฐบาล พิสูจน์ภาวะผู้นำ “อภิสิทธิ์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
การชุมนุมของกลุ่ม นปช. หรือคนเสื้อแดง เมื่อวันเสาร์ที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา จบลงด้วยขยะและสิ่งปฏิกูลเต็มท้องสนามหลวง

กับข้อเรียกร้องที่ “วีระ มุสิกพงษ์” แกนนำขึ้นประกาศบนเวทีหน้าทำเนียบรัฐบาลให้รัฐบาลต้องปฏิบัติภายใน 15 วัน

คำถามคือการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งนี้ประชาชนได้ประโยชน์อะไร ข้อเรียกร้อง ทั้งการให้ปลดนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ออกจากตำแหน่ง การดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาบังคับใช้ แทนรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และสุดท้ายให้รัฐบาลยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ เป็นประโยชน์กับสังคมหรือไม่

ความไม่สมเหตุสมผลของข้อเรียกร้อง ในภาวะที่ประเทศต้องการความสงบ ให้รัฐบาลได้มีเวลาทำงานแก้ปัญหาของชาติ โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจที่ทั่วโลกกำลังประสบอยู่ จึงเป็นเพียงความพยายามที่จะสร้างความปั่นป่วน ขัดขวางไม่ให้รัฐบาลทำงานเพื่อประเทศชาติ เพราะข้อเรียกร้องทั้งหมดเป็นเรื่องที่รู้อยู่ว่ารัฐบาลคงตอบสนองไม่ได้

กรณี “กษิต ภิรมย์”นั้น รู้กันดีว่าเป็นนักการทูตมืออาชีพ ประวัติไม่เคยด่างพร้อย ทำงานเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ การเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในช่วงที่ผ่านมาก็ได้ชี้แจงจนเคลียร์แล้วในสภา

อยู่ๆ จะให้รัฐบาลปลดโดยไม่มีความผิด จึงเป็นข้อเรียกร้องที่ไร้สาระ เหมือนเด็กอมมือที่ไม่มีความคิด

ส่วนการดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ ก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบของพนักงานสอบสวน ข้อกล่าวหาต่างๆ ที่กลุ่มคนเสื้อแดงยัดเยียดให้ ก็เป็นเพียงการจินตนาการขึ้นมาเอง ทั้งที่ยังไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมแม้แต่ขั้นตอนเดียว

ข้อเสนอที่ให้รัฐบาลนำรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ระบอบทักษิณอาศัยช่องโหว่ที่มีอยู่แสวงหาประโยชน์ในช่วงเรืองอำนาจ ก็เป็นไม่ได้ในทางปฏิบัติ เพราะ การจะแก้ไข หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญ ต้องใช้เวลาและต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนทั่วประเทศ ไม่สามารถใช้เวลาอันสั้นได้

เช่นเดียวกับการให้ยุบสภา ที่คงไม่มีรัฐบาลใดในโลกจะบ้าจี้ทำตาม ขณะที่ทำงานมาได้ไม่ถึง 1 เดือน และทุกอย่างก็กำลังเดินหน้าไปได้ด้วยดี

ก็คงอย่างที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงพูดไว้ว่า เป็นข้อเรียกร้องที่วางไว้เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการชุมนุมครั้งต่อไป

หรือจะพูดให้ตรงๆ ก็คือ เป็นข้อเรียกร้องเพื่อใช้เป็นเหตุผลในการรีดเงิน จากผู้อยู่เบื้องหลังสำหรับการชุมนุมรอบใหม่นั่นเอง

เป็นที่รู้กันว่ากลุ่มคนเสื้อแดง เป็นประเภทม็อบเติมเงิน การประกาศจัดชุมนุมยืดเยื้อถ้ารัฐบาลไม่ทำตามข้อเรียกร้องจึงเป็นแค่คำขู่

ม็อบประเภทนี้เป็นม็อบที่ต้องมีท่อน้ำเลี้ยงและต้องทั่วถึง ถ้าไปกระจุกอยู่กับผู้นำหรือท่อทัพน้ำเลี้ยงไม่นานก็แตกคอกัน ไม่สามารถชุมนุมยืดเยื้อได้ จึงไม่มีอะไรน่าห่วงสำหรับม็อบเสื้อแดงเหล่านี้

แต่สิ่งที่ผู้นำรัฐบาลต้องคิดหนักก็คือศึกในที่ประเดประดังเข้ามาทุกสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นความไม่พอใจของพรรคร่วมรัฐบาลในการจัดสรรงบกลางปีกว่าแสนล้านบาท ที่ถูกมองว่าไปกระจุกตัวอยู่กับกระทรวงที่พรรคประชาธิปัตย์คุมเป็นหลัก

ทั้งเรื่องการแจกปลากระป๋องเน่าของ “วิฑูรย์ นามบุตร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม

การแจกเงินพร้อมนามบัตรให้กับประชาชนของ “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย และยังเจอคดีอาญาฐานทุจริตเลือกตั้งจาก กกต.ไปอีกคดี

ล่าสุด “สดศรี สัตยธรรม” กกต.สายอำนาจเก่า ดันมาปูดข่าว “สุเทพ เทือกสุบรรณ” กำลังถูก กกต.เสนอเรื่องให้ดำเนินคดีอาญา ในข้อหาร่วมกับน้องชายทุจริตเลือกตั้งนายก อบจ.สุราษฎร์ธานี

และยังมีกรณี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รมว.ยุติธรรม “โสภณ ซารัมย์” รมว. คมนาคม และ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” รมช.คมนาคม ไปยกมือโหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ซึ่งฝ่ายค้านเตรียมเล่นงานโดยอ้างว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 177

ล่าสุด “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ขอเวลา 3 วันในการพิจารณาปัญหาต่างๆ ที่เกิดกับรัฐมนตรีเหล่านี้ว่าจะพิจารณาอย่างไร ซึ่งว่ากันไปแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย

เพราะ ข้อกล่าวหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าผิดจริงหรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้นการปรับ ครม.แต่ละครั้งถ้าไม่มีเหตุมีผลที่ชัดเจน ก็จะเกิดปัญหาความแตกแยกขึ้นในรัฐบาล ทั้งจากรัฐมนตรีที่ถูกปรับออก และคนที่พลาดหวังไม่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี

ที่สำคัญที่สุดการปรับ ครม.ที่ต้องไปเกี่ยวข้องกับคนของพรรคร่วมถ้าไม่ได้รับความเห็นชอบจากพรรคนั้นแล้ว ก็จะเกิดปัญหาเรื่องเสถียรภาพขึ้นมาทันที

กรณี “บุญจง” นั้นกลุ่มเพื่อนเนวินออกมาตีกันนายกรัฐมนตรีแล้วว่า ห้ามปรับออกเด็ดขาด

ขณะที่สังคมต่างคาดหวังไว้สูงกับรัฐบาลชุดนี้ในเรื่องคุณธรรม จริยธรรมในการบริหารประเทศ และยังมีกฎ 9 ข้อในการทำงานที่ ครม.อนุมัติในการประชุมนัดแรกค้ำคอไว้อีก

ฉะนั้นการตัดสินใจของ “อภิสิทธิ์” ครั้งนี้นอกจากจะเดิมพันธ์ถึงอนาคตของรัฐบาลแล้ว ยังพิสูจน์ภาวะผู้นำอีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น