“เพื่อไทย” จวกอภิประชานิยมสวนกระแสวิกฤตเศรษฐกิจใช้งบแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ โวยรัฐขึ้นภาษีน้ำมันโยนภาระให้ ปชช. ป้ายสี ส.ส.ใต้หัวโจกเอี่ยวน้ำมันเถื่อน “เฉลิม” ย้ำนโยบายไร้ทิศทาง พล่ามซ้ำซากออก กม.เอื้อประโยชน์พันธมิตรฯ ยัน “ทักษิณ” มีโอกาสกลับมาเป็นนายกฯแน่
วันนี้ (3 ก.พ.) ที่โรงแรมกรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ในการสัมมนาส.ส.พรรคเพื่อไทยเป็นวันที่ 2 โดยก่อนจะเริ่มการสัมมนา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์สิริ ส.ส.สัดส่วน พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
พ.อ.อภิวันท์ กล่าวว่า การสัมมนาของพรรคเพื่อไทยได้ทำการวิเคราะห์ในประเด็นเศรษฐกิจนำเสนอต่อรัฐบาลอย่างสร้างสรรค์ เห็นว่าเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในปีนี้และปีหน้า ประกอบกับภาวะเงินคงคลังที่เหลือเพียง 5 หมื่นกว่าล้านบาท รัฐบาลจำเป็นต้องใช้งบประมาณอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ พรรคเพื่อไทยเห็นว่านโยบายประชานิยมของรัฐบาลนั้น ไม่มีประสิทธภาพและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เกาไม่ถูกที่คัน ไม่มีการวางแผนที่ดี น่าจะนำงบประมาณไปสร้างวิธีลดรายจ่าย และ สร้างรายได้ให้ประชาชน ประคับประคองบริษัทห้างร้าน ทำให้ภาวะการว่างงานน้อยที่สุด รวมทั้งนำไปฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ทรุดตัวลงไป 30% เรียกความเชื่อมั่นจากชาวต่างชาติกลับคืนมาดีกว่า วันนี้รัฐบาลต้องคิดถึงการหารายได้ให้เกิดสภาพคล่องด้วย
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า นโยบายการแจกเงิน 2,000 บาทของรัฐบาลนั้น ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อใด ซึ่งก็จะไม่ได้รับอย่างทั่วถึง ขณะที่การขึ้นภาษีน้ำมันของรัฐบาลนั้น ประชาชนได้รับผลกระทบถ้วนหน้าทั้ง 63 ล้านคน ต้นทุนค่าขนส่งจะมีผลต่อราคาสินค้าทั้งหมด เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของ ครม.วันนี้ พรรคเพื่อไทยกำลังหาข้อมูลในเชิงลึกเนื่องจากทราบว่าการขึ้นภาษีน้ำมันดังกล่าวมีวาระซ่อนเร้น ได้รับการผลักดันจากส.ส.ภาคใต้พรรคประชาธิปัตย์ อยู่แถบฝั่งอันดามัน สุราษฎร์ธานี และรอยต่อที่ติดกับประเทศมาเลเซีย
ด้าน ร.ต.ท.เชาวริน กล่าวว่า จากการสัมมนา ส.ส. อดีต ส.ส. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค มีการสรุปประเด็นปัญหาการเมือง เห็นว่าแผนบันได 4 ขั้นของ คมช.สำเร็จลุล่วงไปแล้ว จนมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ และส่งผลกระทบต่อการเมืองในประเทศไทย ตัวจักรสำคัญอันหนึ่งก็คือรัฐธรรมนูญปี 2550 วันนี้ใครมาเป็นรัฐบาลก็บบริหารลำบาก ฉะนั้นในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองก็อยากจะเชิญชวนทุกพรรคการเมืองทั่วประเทศร่วมกันทำประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง โดยร่วมกันผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะทราบดีว่าลำพังพรรคเพื่อไทยพรรคเดียวคงจะทำเรื่องนี้ได้ยาก พ.อ.อภิวันท์ กล่าวเสริมว่า แผนบันได 4 ขั้นของคมช.ที่ผลักดันจนทำให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลได้สำเร็จนั้น มีต้นทุนมหาศาล ถึงขนาดที่ว่าการก่อการร้ายสากลกลายเป็นสิ่งดีงาม เกิดภาวะความขัดแย้งอย่างรุนแรง กลายเป็นกลุ่มคนเสื้อเหลืองเสื้อแดงทั้งๆ ที่เป็นคนไทยด้วยกัน
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงว่าจากการสัมมนาของพรรคเพื่อไทย ในประเด็นเรื่องเศรษฐกิจที่รัฐบาลนำแนวทางประชานิยมของรัฐบาลพรรคพรรคไทยรักไทยมาใช้ พบว่าเป็นการแจกเงินให้กับประชาชนโดยไม่ได้เน้นการแจกงาน สร้างอาชีพ จนวันนี้รัฐบาลเองก็ไม่มั่นใจกับวิธีการของตัวเองว่าจะได้ผลเหมือนรัฐบาลในอดีตทำไว้หรือไม่ เช่นการกู้เงินแสนล้านเพื่อมาแจกให้คนสองแสนคน ทำให้ประชาชนเกิดหนี้ 2 พันบาทต่อคน และไม่คิดว่าประชาชนที่เหลือใน 63 ล้านคนจะได้รับความเดือดร้อน แสดงให้เห็นว่าการนำประชานิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาใช้อย่างผิดหลักการ ส่วนการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตนั้น สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า ส่งผลให้สินค้าอุปโภค บริโภคแพงขึ้นโดยที่รัฐบาลไม่ลำดับความจำเป็นเร่งด่วน ไม่ดำเนินการแผนบริหารราชการให้สอดคล้องกับแผนบริหารพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 ที่ให้ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง วิธีการที่รัฐบาลพยายามนำมาใช้นั้นสะเปะสะปะและเป็นไปอย่างฟุ่มเฟือย
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว่า นอกจากนี้รัฐบาลยังบริหารราชการไม่เป็นไปตามประกาศไว้ในการยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือกรณีที่ ครม.มีมติเห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมความปลอดภัยสนามบิน ไม่อยากกล่าวหาว่าเป็นหาทางลงให้กลุ่มพันธมิตรฯ ที่บุกยึดสนามบิน ทำให้โทษเบาลง ซึ่งเนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวก็เป็นไปอย่างไม่ถูกต้อง มีการใช้อำนาจเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานฯในลักษณะคล้ายเจ้าพนักงาน ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่สามารถทำได้ จึงขอตั้งข้อสังเกตว่ากฎหมายจะไม่ได้รับความเชื่อถือจากทั่วโลก เพราะขณะที่คนกระทำผิดเข้าข่ายการก่อการร้ายยังไม่ได้รับโทษตามที่สมควรจะเป็น
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศในการโฟนอินว่าพร้อมจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ร.ต.อ.เฉลิมตอบว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณพร้อม มีโอกาสและมีจังหวะจะกลับมาทันที แต่ที่สำคัญทิศทางการนำเสนอข่าวของสื่อ ต้องเสนอข้อเท็จจริงกรณีศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุก 2 ปี ว่าไม่ใช่การทุจริต เพราะถือเป็นการทำนิติกรรม โดยเอาบัตรประชาชนไปซื้อที่ดินซึ่งทั่วโลก เขาไม่มี แต่ที่ รมว.ต่างประเทศออกมาทำท่าอหังการว่าจะเอา พ.ต.ท.ทักษิณกลับมารับความผิดในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน เป็นการเข้าใจผิดทั้งหมด เพราะคนที่มีหน้าที่จริงคืออัยการสูงสุด และคดีที่มีการตัดสินเพียงศาลเดียวจะไม่มีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ดังนั้น หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศว่าจะกลับมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด
“ผมมีแนวคิดว่าหากถึงเวลาเลือกตั้งจะปรึกษาในพรรคให้ออกแคมเปญประกาศให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศรู้ว่ามีการเอาที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ไปแจกคนรวยที่ จ.ภูเก็ต ถ้าผมไม่อภิปรายก็จะไม่มีเรื่องสู่ศาลศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา สั่งให้คืนที่กลับมาให้ราชการ 12,000 ล้านบาท พรรคประชาธิปัตย์จะต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง ก็ไม่มี ผ่านแล้วก็ผ่านไป แต่กรณี พ.ต.ท.ทักษิณถามว่าได้ทำให้สมบัติของชาติเสียหายแม้แต่สตางค์แดงเดียวหรือไม่ นอกจากนี้ถ้าผมทำความเข้าใจกับประขาชนได้และพรรคพวกเห็นด้วยก็จะใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า คือ ไม่ว่าคดีอะไรที่เกิดขึ้น หลัง 19 กันยา 49 ซึ่งเป็นต้นเหตุการณ์จากการปฎิวัติที่ต่างชาติไม่ยอมรับผม จะเชิญชวนคนไทยทั่วประเทศไม่ยอมรับเช่นกัน ใครมีโทษ อภัยโทษ ใครยังไม่มีโทษ นิรโทษ ไม่ว่าใครก็ตาม จะเป็นพันธมิตรหรือถูกตัดสินจำคุก ถ้ามีมูลเหตุจาก 19 ก.ย.ก็ขอให้เลิกทั้งหมด ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะเดินต่อไปไม่ได้ และความสามัคคีจะไม่เกิด”
ผู้สื่อข่าวถามว่า การนิรโทษกรรมจะรวมไปถึงคดียุบพรรคด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม ตอบว่า ยังก่อน จะเอาเฉพาะในส่วนที่เป็นคดีอาญาก่อน วันนี้คิดเท่านี้ยังไม่ได้คิดเรื่องการเมือง เมื่อถามว่า หากไม่มีการนิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบ พ.ต.ท.ทักษิณก็กลับมาเป็นนายกฯตามที่ระบุไม่ได้ ร.ต.อ.เฉลิมตอบว่า เอาทีละสเตปที่คิดออกมาอย่างนี้เพื่อให้มีข้อยุติ ไม่งั้นทุกอย่างก็ไม่จบ เมื่อถามว่า อีกกี่ปี พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง ร.ต.อ.เฉลิมตอบว่า ฝนยังไม่ตก อย่าเพิ่งกางร่ม