แกนนำอีสานกู้ชาติ แฉเบื้องหลัง “ปลากระป๋องเน่า” เป็นแผนวางสนุ้กให้ รมว.เข้ามาแก้ เผย 10 บริษัทรับจัดซื้อถุงยังชีพ ใต้อุ้งมือ 2 ตระกูลโคราช สนิทสนมคนในรัฐบาลช่วงปี 45-46 จนบัดนี้ยังรับงานต่อเนื่อง เชื่อเป็นแผนดิสเครดิตรัฐบาลประชาธิปัตย์ แนะ “วิทูรย์” เร่งตรวจสอบ แล้วชี้แจงให้ประชาชนทราบ
นายอธิวัฒน์ บุญชาติ แกนนำกลุ่มอีสานกู้ชาติกล่าวปราศรัยในรายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลาประมาณ 21.00-21.30 น. วันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา กรณีการแจกปลากระป๋องเน่าให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มีนายวิฑูรย์ นามบุตร เป็นรัฐมนตรีว่าการนั้น เมื่อตรวจสอบ แล้ว ถือเป็นเกมการวางสนุ้กให้รัฐมนตรีรับผิดชอบ ทั้งนี้ ในกระทรวงแต่ละกระทรวงจะมีบริษัทที่มารับผิดชอบในการจัดซื้อจัดจ้างให้กับกระทรวงตั้งแต่ยังเป็นกระทรวงมหาดไทย
“ลองไปตรวจสอบย้อนหลังดูว่ามีบริษัทที่จัดซื้อจัดจ้างเกี่ยวกับเรื่องถุงยังชีพ เรื่องภัยหนาว ฝนแล้ง น้ำท่วม พอไปตรวจสอบ กลับกลายเป็นว่าบริษัทมีเป็น 10 บริษัท แต่บริษัททั้ง 10 เป็นบริษัทในเครือของคนที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล เมื่อปี พ.ศ.2546
ผมถามว่าปี 2546 ใครเป็นรัฐบาล แล้วบริษัทนี้จดทะเบียนเดือนมิถุนายน เดือนกรกฎาคม มีการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่ว่าจะเป็นปลากระป๋อง ผงซักฟอก น้ำดื่ม ผ้าห่ม เรือท้องแบน หรืออะไรก็ตาม มีเป็น 10 บริษัท เปลี่ยนชื่อบริษัทไปเรื่อย เป็น 10 บริษัท แต่บริษัทเหล่านี้มีคนอยู่เพียง 2 ตระกูล ที่เป็นกรรมการบริหารบริษัท แล้วพอสืบเข้าไปลึกๆ ก็จะรู้ว่าเจ้าของบริษัทคนนี้อยู่ที่โคราช
แล้วคนที่อยู่โคราชก็เป็นเจ้าของบริษัทแม่ที่มาตั้งบริษัทลูก แล้วบริษัทลูกเหล่านี้ก็รับสัมปทานจัดซื้อจัดจ้าง หรือแม้แต่โครงการวางท่อ ทำถนน ลอกคลอง หรือแม้แต่โครงการที่ก่อสร้าง ก่อสร้างสถานที่ราชการ อบต. อบจ. ก็เป็นบริษัทเหล่านี้”
นายอธิวัฒน์กล่าวต่อว่า บริษัทเหล่านี้จดทะเบียนประมาณปี 45, 46 คอยรับสัมปทาน รับงานจัดซื้อจัดจ้าง แล้วบริษัทเหล่านี้ใกล้ชิดกับคนในรัฐบาล แล้วถามว่ารัฐบาลในปี 45,46 เป็นใคร คำตอบอยู่ในตัวอยู่แล้ว และอยากให้รัฐมนตรีที่มีปัญหาเรื่องปลากระป๋อง ตรวจสอบย้อนหลังไปดูว่า บริษัทที่จัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่ปี 46 นั้น มีความใกล้ชิดกับคนในรัฐบาลจริงหรือไม่ หรือแม้ขณะว่าทุกวันนี้บริษัทที่จัดซื้อจัดจ้างก็ยังเป็นคนที่ใกล้ชิดกับอดีตที่เคยเป็นรัฐบาลอยู่
“ทำให้วันนี้เนี้ยเป็นการดิสเครดิตรัฐบาลหรือรัฐมนตรีของประชาธิปัตย์ หรือรัฐบาลอภิสิทธิ์ ถามว่าก็ต้องเห็นใจ แต่ถามว่าความกล้าของรัฐมนตรีก็ต้องกล้าออกมา ออกมาตรวจสอบย้อนหลังดูว่าไม่ต้องไปถึงปี 46 หรอก เอาแค่ปี 48, 49 เนี้ย ก็จะเจอแล้วว่าบริษัทเหล่านี้ เป็นบริษัทที่ใกล้ชิดกับใคร”
นายอธิวัฒน์ กล่าวต่อว่า ถ้าสอบจริงๆ เข้าไปลึกๆ คนที่มีอำนาจรัฐ มีเจ้าหน้าที่อยู่ในมือ จะหาได้ง่าย ประชาชนคนธรรมดายังรู้เลย เจ้าของบริษัทแรกที่มีคำว่าเบสท์ฟอเรสต์ข้างหลัง บริษัทตั้งอยู่เลขที่เท่าไหร่ มีทุนจดทะเบียนเท่าไหร่ ตั้งสำนักงานเมื่อไหร่ บริษัทลูก บริษัทแม่ เชื่อมต่อกับใคร เข้าไปเจรจาจัดซื้อจัดจ้างกับใคร ใครเป็นคนอนุมัติ หาเจอทั้งนั้น
“ฉะนั้นแล้ว รัฐบาลอภิสิทธิ์อย่าปล่อยนะครับ ถ้าจะไปสู่ข้างหน้า จะอยู่ยาวๆ จะอยู่นานๆ ให้พี่น้องรัก ให้เกิดความเป็นธรรม ต้องรีบแก้ไข ต้องรีบตรวจสอบนะครับ หรือถ้าไม่รู้จริงๆ นะครับ ผมเชื่อว่าคนในรัฐบาลประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่ในกลุ่มเนวินรู้จักผม รู้จักแกนนำหลายๆ ท่าน แล้วมีความสนิทนะครับ ขอข้อมูลได้ ถามได้นะครับ หรือจะชวน เชื้อเชิญร่วมกันตรวจสอบก็ได้นะครับ”
นายอธิวัฒน์ กล่าวต่อว่า อีกส่วนหนึ่งก็คือ การใช้งบประมาณช่วยพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยธรรมชาติต่างๆ วันนี้ก็บอกได้เลยว่ายังไม่โปร่งใส เราเคยพูดกันไว้แล้วว่า เวลามีผ้าห่ม เวลามีของไปแจก คนจนขับรถเบนซ์มารับผ้าห่ม คนจนขับรถเก๋ง ขับรถกระบะมารอรับข้าว มารอรับผ้าห่ม แล้วถามว่าเงินผู้สูงอายุ คนที่ได้รับเงินผู้สูงอายุก็คือ แม่ของผู้อำนวยการโรงเรียน พ่อของผู้ใหญ่ พ่อตาของ อบต. แม่ยายของกำนัล แต่คนที่จนจริงๆ คนที่ได้รับผลกระทบจริงๆ กลับไม่มีรายชื่อได้รับ
“เพราะฉะนั้น วันนี้ต้องรีบในการที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่การเมืองใหม่ ถามว่าการเมืองใหม่สำหรับแนวคิดของผมนั้น ผมอยากจะนำเรียนไปยังพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า การเมืองใหม่ อย่าไปคิดไปไกลมาก การเมืองใหม่คือหนึ่ง ถ้าเราเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา ในระบบตัวแทน เราก็ต้องสรรหาคนที่มีความรู้ ความสามารถที่เราคิดว่าเก่ง ที่เราคิดว่ากล้า ที่เราคิดว่าเขาเป็นคนที่เชื่อถือได้ สุจริต โปร่งใส เราก็สนับสนุนเขา แล้วก็ให้เขาลงเป็นตัวแทนของพี่น้องในการลงสมัครรับเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น ในระดับจังหวัด ในระดับประเทศนะครับ” นายอธิวัฒน์กล่าว