รัฐสภาเห็นชอบ ตั้ง กมธ.พิจารณากรอบข้อตกลงอาเซียน เพื่อความรอบคอบ ด้าน “กษิต” ยันสัมพันธ์แนบแน่นผู้นำเขมร โชว์สาส์นแสดงความยินดีกับรัฐบาลใหม่ ตบหน้า พท.ยันปิดสนามบินในต่างแดนถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนประชุมช่วงบ่ายป่วน ฝ่ายค้านเช็กกำลังอีกรอบ แต่ผ่านโดยไม่มีปัญหา ก่อนที่สภาจะลงมติเห็นชอบกรอบความตกลงอาเซียนและปิดประชุมเวลา 19.20 น.
วันนี้ (27 ม.ค.) ในการประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 2 เพื่อพิจารณากรอบ ข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หรืออาเซียนซัมมิต ที่อภิปรายค้างมาจากการประชุมเมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา และเริ่มการอภิปรายในกรอบ 2 โดยมีวาระสำคัญ คือ ร่างความตกลงพหุภาคีอาเซียนว่าด้วยการเปิดเสรีบริการขนส่งสินค้าทางอากาศ โดยมี นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เข้ามานั่งฟังการประชุมอยู่บนบัลลังก์ที่นั่งรัฐมนตรีด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมดำเนินไปไม่ถึง 10 นาที นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นจี้ให้ นายกษิต ตอบคำถามตามที่นายกรัฐมนตรีระบุไว้ในที่ประชุมสภา เมื่อวาน ว่า นายกษิต จะมาตอบข้อซักถามของสมาชิกในวันนี้ อยากถามว่าพร้อมตอบหรือไม่ ไม่ใช่มานั่งในสภาเงียบ แต่อวดดีอยู่ข้างนอก
จากนั้น นายกษิต ลุกขึ้นชี้แจงว่า ที่นี่เป็นสภาอันสูงส่ง ในฐานะที่เป็นเด็กใหม่ ก็ขอเป็นศิษย์มีอาจารย์ ขอฝากผีฝากไข้ไว้ในที่นี้ด้วย ขอความกรุณาเอ็นดูให้ตนได้เรียนงาน เพื่อจะปฏิบัติหน้าที่ให้กับประเทศชาติอย่างเต็มที่ ซึ่งตนเพิ่งเดินทางกลับจากประเทศกัมพูชา จึงขอโทษสมาชิกด้วยที่ไม่เดินทางมาชี้แจงในสภานี้ในวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมาได้ ขณะเดียวกัน ก็ขอถือโอกาสนี้ส่งความปรารถนาดีจากสภาล่างของกัมพูชา มายังประธานสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกทั้งหมด และบอกว่า พร้อมร่วมมือกับรัฐสภาในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายในการนำพาความเป็นประชาธิปไตยแก่ประเทศทั้งสอง และพร้อมให้ความร่วมมือในกรอบภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะอาเซียน
นายกษิต กล่าวว่า ในเรื่องส่วนของตน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาได้ทำงานเพื่อประเทศชาติ และมุ่งมั่นส่งเสริมครรลองระบอบประชาธิปไตย และเป็นการดำเนินงานที่เปิดเผยอยู่ในที่สาธารณะอยู่ในที่กว้าง ไม่มีประเด็นปัญหาที่มีการหมกเม็ดและซ่อนเร้นใดๆ ทั้งสิ้น ตนภูมิใจที่ได้มีส่วนจรรโลงให้ระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยมีความคืบหน้าเป็นสำคัญ และพร้อมที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตนี้ ทำให้ความเป็นประชาธิปไตยในประเทศไทยสมบูรณ์แบบ สำหรับภาระหน้าที่ในกระทรวงการต่างประเทศ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา การยอมรับก็ดี การมีมิตรจิตมิตรใจจากประชาคมโลกก็มีอย่างเต็มที่ มีสาส์นแสดงความยินดีจากประเทศต่างๆ มาถึงนายกรัฐมนตรี และตนได้พบปะกับ รมว.ต่างประเทศต่างๆ 3-4 ประเทศ รวมถึงได้พบกับคณะทูตต่างๆ ด้วย นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือน ม.ค.นี้ นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปร่วมประชุมด้านเศรษฐกิจและการเงิน ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งจะได้พบกับนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ส่วนตนก็ได้รับทาบทามว่า จะมี รมว.ต่างประเทศของฝรั่งเศส และ อินเดีย เข้าพบขอหารือด้วย
“เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า การมารับตำแหน่งของผม ไม่น่าจะมีประเด็นปัญหาอันใดที่จะนำพานโยบายของประเทศไทย และทำงานในกรอบของ ครม.และถ้อยแถลงของนายกฯต่อรัฐสภา รวมทั้งมติ ครม.เศรษฐกิจ การพบปะภาคเอกชน และที่น่าชื่นชมยินดี คือ จากการพบกันเมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการจัดพิธีต้อนรับสมบูรณ์แบบ พบกับบุคคลสำคัญ และพบกษัตริย์สีหมุนี สมเด็จมหาเดโชฮุน เซน นายกรัฐมนตรี รวมถึงประธานสภาสูง และประธานสภาล่างของกัมพูชา และได้หารือร่วมกับสมเด็จฯ ฮุนเซน นานร่วมชั่วโมง โดยท่านได้พูดถึงรายละเอียดของการดำเนินความสัมพันธ์ด้วย และสิ่งที่สมเด็จฯฮุนเซน กล่าวหลายครั้ง คือ อยากให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศดำเนินไปในสันติวิธี จะไม่มีการใช้กำลังรุนแรง ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยความพูดจา และเครือข่ายองค์กรที่เรามีอยู่ในระดับทวิภาคีที่จะให้มีการเจรจา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเขตแดน ความมั่นคง หรือความร่วมมือต่างๆ นั้น ก็จะให้มีการดำเนินการไป และภาครัฐทั้งสองจะส่งเสริมอย่างเต็มที่”
นายกษิต กล่าวว่า สำหรับประเด็นปัญหาเฉพาะหน้าที่เกี่ยวกับการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ตนขอเน้นว่า ข้อผูกมัดของประเทศไทยต่ออาเซียนทั้ง 9 ประเทศ ให้ความเห็นชอบหมดแล้ว รอประเทศไทยอยู่ ไทยเป็นคนก่อตั้งสมาคมอาเซียน และปีนี้เราเป็นประธานอาเซียน ทุกคนที่เข้าประชุม และประชาชนทั้ง 65 ล้านคน มีภาระหน้าที่ในการเป็นเจ้าภาพร่วม ส่งเสริมให้อาเซียนแข็งแกร่ง ยืนหยัดอย่างสง่างามอยู่ในโลกกว้างนี้ได้ และเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องของเราทุกคน จะเป็นฝ่ายค้าน รัฐบาล สภาล่าง สภาสูง จะต้องร่วมมือกันเพื่อศักดิ์ศรีความสง่างามของประเทศไทย ในฐานะประธานอาเซียน และเป็นผู้ก่อตั้งอาเซียน และที่สำคัญที่สุด คือ เราสามารถเป็นผู้นำต่อไปได้อีกในการที่จะให้ประเทศไทย และอาเซียน สง่างาม
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร ยังคงไม่พอใจต่อคำชี้แจงดังกล่าว โดยกล่าวหา นายกษิต พูดจาดูหมิ่นสมเด็จฯฮุนเซน ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หลายคนลุกขึ้นประท้วง ว่า การอภิปรายของ นายจตุพร ไม่อยู่ในกรอบข้อตกลงความร่วมมืออาเซียน และเป็นการข่มขู่บุคคลผู้เป็นปฏิปักษ์ทางการเมือง มุ่งหมายใส่ร้ายโจมตีรัฐมนตรี
และการอภิปรายในประเด็นก่อนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี และไม่อยู่ในหน้าที่ตำแหน่งรัฐมนตรีไม่น่าจะนำมาอภิปรายได้ ทำให้ นายชัย ประธานสภา ได้กล่าวตำหนิ นายจตุพร ว่า ให้เลิกใส่ร้ายป้ายสีได้แล้ว แต่ นายจตุพร ยืนยันว่า ตนไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสี นายกษิต เพราะสิ่งที่ตนนำมาเสนอเป็นคำพูดจากการถอดเทป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในการประชุมค่อนข้างตึงเครียด เมื่อบรรดา ส.ส.รัฐบาลและฝ่ายค้าน รวมถึง ส.ว.ได้ลุกขึ้นประท้วงกันอย่างต่อเนื่อง โดย นายจตุพร กล่าวยืนยันซ้ำหลายครั้งว่า นายอภิสิทธิ์ ได้ชี้แจงในที่ประชุม ว่า ให้ถามเรื่องนี้กับ นายกษิต ด้วยตัวเองในช่วงการชี้แจงในสภา ทำให้ นายโกวิท ธรานา ส.ส.กทม.ได้ลุกขึ้นกล่าว ว่า ถ้าพูดกันอย่างนี้ก็ต้องขอยกกรณี ดา ตอร์ปิโด นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจักรภพ เพ็ญแข ที่มีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถือว่าเป็นคนเสื้อแดง ดังนั้น จะให้คนพวกนี้เข้ามาพูดในสภาไม่ได้ ทำให้ นายจตุพร ถึงกลับเกิดอาการโมโห โดยประกาศว่า “ถ้าจะเล่นกันก็เอากันสิ” เมื่อสถานการณ์เริ่มวุ่นวาย นายชัย จึงได้ตัดบทด้วยการสั่งพักการประชุม 5 นาที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเริ่มประชุมอีกครั้ง นายกษิต ได้ชี้แจงว่า ขอเป็นศิษย์มีอาจารย์ ขอฝากผีฝากไข้ให้สภาแห่งนี้ กรุณาเอ็นดูให้ได้เรียนงานด้วย เพื่อปฏิบัติหน้าที่แก่ประเทศชาติอย่างเต็มที่ ขอภัยที่ไม่ได้มาร่วมชี้แจงเมื่อวานนี้ เพราะเพิ่งกลับจากการไปเยือนกัมพูชา ซึ่งขอส่งความปรารถนาดีจาก สมเด็จ เฮง สัมริน ประธานสภาล่างของรัฐสภากัมพูชา มายังนายชัย ชิดชอบ ประธานสภา ส่วนตัวได้มีโอกาสพบกับทั้งประธานสภาสูงและสภาล่างของกัมพูชา ทั้ง 2 ท่าน ฝากความปรารถนาดีมายังรัฐสภาไทย และสมาชิกรัฐสภาไทยทั้งหมด และได้บอกตนว่า พร้อมจะร่วมมือกับรัฐสภาไทยในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ และนำพาความเป็นประชาธิปไตยของทั้ง 2 ประเทศ พร้อมให้ความร่วมมือในกรอบภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียน ในกรอบลุ่มแม่น้ำโขง กรอบแอคเมค โดยความร่วมมือของผู้แทนของทั้ง 2 ประเทศ ตนทำงานเพื่อประเทศชาติมาตลอดชีวิต มีความมุ่งมั่นส่งเสริมครรลองระบอบประชาธิปไตย เป็นการทำเปิดเผยในที่สาธารณะ ในที่กว้าง ไม่มีการซ่อนเร้นหมกเม็ดทั้งสิ้น ตนภาคภูมิใจที่มีส่วนจรรโลงประชาธิปไตยให้มีความคืบหน้า และพร้อมจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทำให้ความเป็นประชาธิปไตยไทยสมบูรณ์แบบ
นายกษิต กล่าวต่อว่า ทางฝ่ายกัมพูชาจัดให้ตนได้เข้าเฝ้ากษัตริย์สีหมุนี ได้พบกับประธานสภาสูง ประธานสภาล่าง พบกับท่านสมเด็จฯฮุนเซน เป็นเวลาร่วมชั่วโมง ซึ่งท่านได้กรุณาพูดถึงรายละเอียดของการดำเนินความสัมพันธ์ และยังร่วมทานอาหารกลางวันกับ รมว.ต่างประเทศของกัมพูชา สิ่งที่ทางรัฐบาลกัมพูชา โดยเฉพาะท่านสมเด็จฯฮุนเซน ได้กล่าวในหลายครั้งอยากให้ความสัมพันธ์ที่อยู่บนพื้นฐานของประเพณีวัฒนธรรม ที่เรามีร่วมกันเป็นพันปี ให้ดำเนินไปในสันติวิธี จะไม่มีการใช้กำลัง ทุกอย่างจะพูดจากันในเครือข่ายองค์กรที่เรามีอยู่ ระดับทวิภาคีที่จะเจรจากันจะเป็นเรื่องเขตแดน เรื่องความมั่นคง รวมถึงความร่วมมือต่างๆ โดยที่ภาครัฐของ 2 ฝ่าย ส่งเสริมเต็มที่ สำหรับเอกสารข้อผูกมัดในกรอบอาเซียนนั้น อีก 9 ประเทศได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เขารอประเทศไทยอยู่ ปีนี้เราเป็นประธานอาเซียน คนไทยทุกคนมีหน้าที่ในการเป็นประธานร่วม เพื่อทำให้อาเซียนแข็งแกร่งยืนหยัดอย่างสง่างามในเวทีโลกได้ เป็นเรื่องของทุกคน ทั้งฝ่ายค้าน รัฐบาล สภาล่าง สภาสูง เพื่อศักดิ์ศรีความสง่างามของประเทศไทยในฐานะเราเป็นผู้ก่อตั้งอาเซียน
นายกษิต กล่าวต่อว่า สำหรับปัญหาของตนกับกัมพูชา จากการที่ขึ้นเวทีพันธมิตรฯนั้น เป็นการแสดงจุดยืนของความรักชาติ ปกป้องอธิปไตย และผลประโยชน์ชาติ ถึงได้พูดอย่างนั้น เพื่อจะบอกว่าไม่สามารถมาละเมิดอธิปไตย หรือศักดิ์ศรีของประเทศ และกองทัพไทยได้ เป็นการพูดในฐานะประชาชนที่หวงแหนและรักชาติ ตามกระบวนการเมืองภาคประชาสังคมที่ต้องการความชอบธรรมและถูกต้อง ส่วนความสัมพันธ์ของตนกับสมเด็จฯฮุนเซน คำพูดแรกที่ท่านพูดกับตน คือ ไม่ได้เจอกันมา 20 ปี จากที่เราเคยร่วมประชุมอยู่ที่กรุงปารีส ซึ่งตนและสมเด็จฯฮุนเซน ก็อยู่กันคนละฟาก เราต่อสู้เพื่ออธิปไตยและความถูกต้องของประเทศ และต่อต้านภัยคอมมิวนิสต์ จนประสบความสำเร็จ ซึ่งไทยมีส่วนสำคัญ มาวันนี้ทั้งนายกฯ ตน และสมเด็จฯฮุนเซน มีหน้าที่กระชับความสัมพันธ์ ซึ่งได้ตกลงกันแน่ชัดว่าเราจะพูดจากันด้วยสันติวิธี ไม่มีการใช้กำลัง
“ท่าน (ฮุนเซน) ก็ไม่ได้พูดถึงอดีต เพราะต่างคนต่างก็มีอดีตของการต่อสู้เพื่อความชอบธรรม เพื่อความเป็นประชาธิปไตย ด้วยกันทั้งนั้น วันนี้เข้ามาร่วมรัฐบาล ผมเป็นเด็กที่มีวินัย และจะทำอยู่ในกรอบ อดีตเมื่อวานก็ว่ากันไป ส่วนที่บอกว่าชาวโลกไม่ยอมรับผม ก็ขอเรียนว่า ที่ผ่านมามีสาส์นแสดงความยินดี และมีวาระที่จะไปพบปะกับต่างประเทศจนถึงสิ้นปีนี้ เป็นเครื่องแสดงถึงการทำหน้าที่อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่มีปัญหากับรัฐบาล หรือชาวต่างประเทศทั้งสิ้น ขอยืนยันว่า เนื้อหาและประสบการณ์ของผม จะนำพานโยบายของประเทศไทยได้ วันนี้เรามาอยู่อีกตำแหน่งที่ต้องนำพาประเทศ และต้องร่วมมือกับต่างประเทศ อย่าได้สงสัยในตัวผมเลยว่าจะทำงานไม่ได้ หรือมีอดีตที่จะมาทำลายล้างศักดิ์ศรีของไทย แต่ผมเชื่อว่าอดีตที่ผ่านมาเป็นสิ่งถูกต้อง”
นายกษิต กล่าวว่า ใน ส่วนการประท้วงปิดสนามบินนั้น ในมิตรประเทศทั่วโลก ก็มีการประท้วง ก็มีการป้องกันไม่ให้เข้าสนามบิน เราจะได้ยินเสมอว่าในช่วงฤดูร้อน ฤดูหนาว จะมีการประท้วงโดยนักบินบ้าง ผู้ทำงานบนเครื่องบินบ้าง ต่างๆ เหล่านี้ก็มีการปิดสนามบินตลอดเวลา แต่ตนไม่เห็นประเทศไหนต้องเอาเงินมาชดเชยกับนักท่องเที่ยว แต่ที่พิเศษสุด คือ รัฐบาลนี้พร้อมจะดูแลผู้ที่เสียประโยชน์ หรือติดค้างต่อไปนี้ และจะวางมาตรการภายใต้ความมั่นคงอย่างรัดกุม ที่สำคัญ คือ รัฐบาลจะตอบสนองปากท้องของประชาชนโดยไม่มีเรื่องวาระส่วนตัว และไม่ให้ใครมาสร้างความแตกแยกอีก
อย่างไรก็ตาม ในที่สุด ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบเอกสารสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือในกรอบอาเซียน และการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน และเอกสารเกี่ยวกับความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาในกรอบอาเซียนบวก 3 และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก รวม 9 ฉบับ และเห็นชอบต่อกรอบการเจรจายกร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ขององค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียน และกรอบการเจรจาประเด็นกฎหมายภายใต้กฎบัตรอาเซียน ภายใต้การพิจารณาของคณะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระดับสูงว่าด้วยกฎบัตรอาเซียน ซึ่งในกรอบนี้ที่ประชุมมีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมา จำนวน 36 คน และพิจารณาให้เสร็จภายใน 15 วัน
จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณากลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นกรอบเกี่ยวกับการค้าและการลงทุน ซึ่งบรรยากาศในช่วงแรกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ส.ส. ส.ว.ผลัดกันลุกขึ้นอภิปรายติติงและสนับสนุนกรอบข้อตกลงอาเซียน แต่เมื่อมาถึงเวลา 14.00 น.ซึ่งเป็นช่วงที่มี นายประสพสุข บุญเดช รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ส.ส.ฝ่ายค้าน เริ่มเรียกร้องให้สมาชิกเข้ารับฟังการประชุม และเสนอให้มีการนับองค์ประชุม ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์หลายคนลุกขึ้นท้วงติง เช่น นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ตามมารยาทเขาจะไม่ทำกันอย่างนี้ และขณะนี้มีสมาชิกจำนวนมากรับฟังการอภิปรายอยู่นอกห้องประชุม จึงไม่จำเป็นต้องให้มีการนับองค์ประชุม แต่ นางนฤมล ยังคงยืนยันให้นับองค์ประชุม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในที่ประชุมเป็นไปอย่างตึงเครียดอีกครั้ง เมื่อ นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ตอบโต้คารมกับ ส.ว.และ ส.ส.ฝ่ายค้าน อย่างดุเดือด โดยได้กล่าวว่า นายบุญยอด เป็นผู้สื่อข่าวเผด็จการ จนได้รับการโต้กลับว่า เป็นสุนัขรับใช้สมุนทรราช ทำให้ ส.ส.เพื่อไทย ต่างลุกขึ้นประท้วงกันวุ่นวาย และขอให้ถอนคำพูด ขณะที่นายสุนัย ได้ลุกขึ้นชี้หน้าด่า นายบุญยอด ว่า ขึ้นเวทีหลังวันที่ 19 ก.ย.2549 ล้มรัฐบาลประชาธิปไตยมาแล้ว แต่นายบุญยอดได้โต้กลับว่าหลังวันที่ 19 ก.ย.ไม่เคยขึ้นเวทีแม้แต่ครั้งเดียว จนในที่สุด นายประสพสุข ได้สั่งพักการประชุม 10 นาที เพื่อให้สมาชิกไปสงบสติอารมณ์ก่อน จากนั้นก็มีการเรียกประชุมอีกครั้ง โดยมี นายชัย ทำหน้าที่ประธาน และได้มีการตรวจสอบองค์ประชุม ด้วยการเสียบบัตร ซึ่งปรากฏว่า มีสมาชิกอยู่ในห้องประชุมจำนวน 345 คน ถือว่าครบองค์ประชุมจึงได้ประชุมต่อไป
อย่างไรก็ตามนายวิรัช กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอให้นำกรอบทั้งหมดมาพิจารณาพร้อมๆ กันไปเลย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมก็เห็นด้วย จนเมื่อสมาชิกได้อภิปรายจนครบ ที่ประชุม ได้มีมติให้ความเห็นชอบในเอกสาร อีก 19 กรอบ โดยในส่วนของร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงแรงงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ ที่ประชุมมีมติให้ใช้คณะกรรมาธิการวิสามัญในชุดเดียวกันพิจารณา จากนั้นนายชัย ได้สั่งปิด ประชุมเมื่อเวลา 19.20 น.