อาจารย์อักษรศาสตร์ จุฬาฯ จวกโฟนอิน “แม้ว” ซ้ำซาก พูดมาทุกครั้งสรุปได้ 3 ข้อ “พูดกล่าวหาและโยนชั่วให้คนอื่น-ยังคงฝืนแก้ตัว-พูดมั่วซั่ว เพื่อเรียกร้องให้สงสาร” อ้างสู้เพื่อความเป็นธรรมของสังคม ที่แท้เพื่อประโยชน์ตัวเอง ปากบอกจงรักภักดี แต่กลับหมิ่นศาล จับโกหกอ้างรวยก่อนเป็นนายกฯ ทั้งที่มีแค่ 2 หมื่นล้าน แล้วที่โดนอายัดกว่า 1 แสนล้าน งอกมาจากไหน เย้ยเปรียบตัวเองเป็น “แมนเดลลา” อยากเป็นวีรบุรุษที่ตัวเองไม่มีโอกาสเป็น
รายการ “รู้ทันประเทศไทย” ผลิตโดยบริษัท ว็อชท์ด็อก จำกัด ออกอากาศทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 18.30-20.00 น.วันที่ 26 มกราคม 2552 ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายสันติสุข มะโรงศรี ดำเนินรายการ ซึ่งในช่วงสนทนาได้เชิญ ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาให้วิเคราะห์คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ และได้โทรศัพท์เข้าไปในรายการ โทรทัศน์ (โฟนอิน) ของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา
ดร.อนันต์ กล่าวว่า ตนไม่ได้ฟังที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินด้วยตัวเอง เพราะเครื่องรับโทรทัศน์รับดีทีวีไม่ได้ และโดยส่วนตัวก็รับเนื้อหาของดีทีวีไม่ได้ด้วย และจากการที่ได้ติดตามอ่านทางสื่อ พบว่า สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูด เมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมานั้น แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรกเกี่ยวกับการเมือง ส่วนที่ 2 เกี่ยวกับเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหลายคนจะสนใจช่วงแรกมากกว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า ช่วงที่ 2 ไม่น่าสนใจ
ดร.อนันต์ กล่าวต่อว่า รู้สึกเบื่อกับสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดเต็มทน เนื่องจากไม่มีเนื้อหาแปลกๆ ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ พูดเหมือนเดิม ซ้ำๆ ซากๆ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือ “พูดกล่าวหาและโยนชั่วให้คนอื่น” ส่วนที่ 2 คือ “ยังคงฝืนแก้ตัว” และส่วนที่ 3 คือ “พูดมั่วซั่วเพื่อเรียกร้องให้สงสาร” ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะพูดกี่ครั้งๆ ก็วนเวียนอยู่ใน 3 ส่วนนี้
ประเด็นแรกที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงตุลาการรัฐธรรมนูญไปประชุมศาลโลกที่แอฟริกาใต้ และบังเอิญไปพักโรงแรมเดียวกัน โดย พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า “มาทำไมวะ” และพูดประชดว่าจะเอาเรื่องอะไรไปพูด หรือจะไปบอกวิธีให้ศาลมาแก้ปัญหาการเมืองที่โลกเขาไม่ทำกัน นั้น ดร.อนันต์ กล่าวว่า คำพูดนี้ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พูดซ้ำซาก เข้ากับส่วนที่ว่า “พูดกล่าวหาและโยนชั่วให้คนอื่น” หมายความว่า ไม่ได้มองเลยว่าตัวเองนั้นผิด ตัวเองนั้นชั่วเลวอย่างไร แม้ไม่ได้กล่าวหาศาลตรงๆ แต่ก็ยังกล่าวหาศาลอยู่
ดร.อนันต์ กล่าวว่า ที่บอกว่า โลกไม่ทำกันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ หลอกตัวเอง และพยายามที่จะหลอกคนอื่น เพราะจริงๆ แล้ว ศาลเป็น 1 ในอำนาจอธิปไตย อำนาจของประชาชนที่รวมเป็นองค์กรแห่งอำนาจนั้น ไม่ได้รวมเป็นองค์กรเดียว แต่แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ที่ต้องถ่วงดุลตรวจสอบซึ่งกันและกัน ถ้ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว จะไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย พ.ต.ท.ทักษิณ จบปริญญาเอก เคยเป็นผู้นำประเทศ น่าจะรู้หลักการประชาธิปไตยเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2544 พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่งชนะคดีซุกหุ้น ยังได้พูดผ่านรายการการ “นายกฯทักษิณพบประชาชน” เรียกร้องให้สังคมเชื่อฟังคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ให้ทุกฝ่ายยุติ เพื่อให้รัฐบาลได้แก้ปัญหาให้ประเทศ แสดงว่า คนๆ นี้ พูดกลับไปกลับมาได้ และเลือกเอาเฉพาะที่ตนเองได้ประโยชน์
ดร.อนันต์ กล่าวว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่า หมิ่นศาลรัฐธรรมนูญค่อนข้างมาก ที่พูดว่า “มาทำไมวะ” ถึง 2 หน เป็นการพูดในลักษณะที่เหยียดตัวแทนองค์กรแห่งอำนาจอีกอำนาจหนึ่งของประชาธิปไตยไทยอย่างมาก กรณีนี้ ถ้าเป็นการทำผิดครั้งแรก และสำนึกผิด ยอมชดใช้กรรมตามความผิด ก็คงพออภัยให้ได้ แต่เราให้อภัยไม่ได้ถ้ายังทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยังไม่สำนึก แล้วยังเที่ยวไปโทษ กล่าวหาคนอื่นโดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไป เพราะฉะนั้นเราให้อภัย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้
นอกจากกล่าวหาศาลแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้โยนชั่วให้คนอื่น เช่น คำพูดที่ว่า “กล้าพูดเลยว่าหากรัฐบาลชุดนี้ไม่กล้าเอาหวยใต้ดินขึ้นมาบนดิน เพราะว่าแกนนำพันธมิตรฯในหลายจังหวัดเป็นพ่อค้าหวยกันทั้งนั้น” เป็นการกล่าวหาพันธมิตรฯ ในต่างจังหวัด
ในข้อความช่วงหลังที่พูดเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ก็กล่าวหารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ถ้าทำประชานิยมอย่างนี้ประเทศจะเจ๊ง การเมืองดูเหมือนจะได้ แต่ไม่ได้ เพราะสิ่งที่ทำไม่เกิดผลระยะยาว และไม่ยั่งยืน เหมือนการเกิดวิกฤตมิยาซาวาที่ผ่านมา”
พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจที่จะป้ายสีให้กับคำว่า “มิยาซาวา” ซึ่งเป็นกองทุนที่เราใช้แก้วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 โดยเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ เอาคำว่าวิกฤตไปป้ายใส่คำว่า มิยาซาวา ทั้งที่จริงแล้ววิกฤตนั้น คือ วิกฤตต้มยำกุ้ง ที่เกิดจากปัญหาการเอาทุนสำรองของประเทศไปสู้ค่าเงิน ในรัฐบาลที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นรองนายกฯ กำกับดูแลเศรษฐกิจนั่นเอง
กรณีที่ผู้ดำเนินรายการดีทีวีได้ถามคำถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า มีคนเรียกร้องว่าถ้ามีการทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หยุดแล้วทุกอย่างจะจบ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังสู้ต่อ เพราะต้องการอะไรในการต่อสู้นั้น ดร.อนันต์ กล่าวว่า เป็นการตั้งคำถามที่ฉลาด เพื่อให้กลุ่มแฟนคลับรู้สึกสงสารเห็นอกเห็นใจ ขณะเดียวกัน ก็ถามถึงอุดมการณ์ด้วยว่าที่สู้อยู่ เพราะต้องการอะไร แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ปั้นอุดมการณ์ของตัวเองขึ้นมา โดยบอกว่า ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม แม้เขาจะกลัวตายไม่น้อย แต่เขาก็แปรกระแสที่ว่ามีคนไม่หวังดีต่อชีวิตของเขาให้กลายมาเป็นการต่อสู้ของตัวเอง ถ้าเขาตายการต่อสู้ก็ไม่หยุด เป็นการบอกว่าที่เขาทำมาทั้งหมดนั้น เพื่ออุดมการณ์คือสร้างความเป็นธรรมแก่สังคม
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ตอบคำถามก่อนหน้านั้นว่า “ต้องต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมต่อไป ผมต้องแสวงหาความเป็นธรรมให้เจอ ไม่ว่าจะเจอบนสวรรค์หรือขุมนรก ก็ต้องหาให้เจอ”
อย่างไรก็ตาม ดร.อนันต์ กล่าวว่า ต่อให้สังคมไทยมีความเป็นธรรมมากเพียงใด พ.ต.ท.ทักษิณก็จะบอกว่าไม่เป็นธรรม เพราะความเป็นธรรมในความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ หมายถึงตัวเอง คิดว่าตัวเองคือความเป็นธรรม ถ้าตัวเองได้ประโยชน์คือความเป็นธรรม แต่ถ้าเป็นผลเสียต่อตัวเองคือความไม่เป็นธรรม เขาจึงบอกว่าขณะนี้ประเทศไทยไม่เป็นธรรม ซึ่งก็ไปตอกย้ำที่เขาไปกล่าวหาอำนาจตุลาการ
ดร.อนันต์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้ย้ำว่าเขามีความจงรักภัคดี เหมือนกับมีอะไรอยู่ในจิตใต้สำนึกบางอย่าง แต่ไม่ใช่จิตใต้สำนึกที่ว่าเขาจงรักภักดี
“พ.ต.ท.ทักษิณ จะจงรักภัคดีหรือไม่ ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ตัวเองดีที่สุด ถ้าไปถามใครว่าจงรักภักดีไหม ไม่ต้องตอบหรอก ไม่จำเป็นต้องตอบว่าผมจงรักภัคดีกว่าใครๆ ผมจงรักภักดีที่สุด จงรักภักดีหรือไม่จงรักภัคดีอยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่คำพูด คนที่พร่ำพูดอยู่บ่อยๆ ในทางตรงกันข้าม เรากลับคิดได้ว่าคนๆ นั้นกำลังคิดอีกแบบหนึ่ง”
ประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดว่า “สักวันหนึ่งเมื่อผมชดใช้กรรมจากชาติที่แล้วหมด ทุกอย่างคงดีขึ้น” นั้น ดร.อนันต์ กล่าวว่า ตนไม่เชื่อเรื่องสังสารวัฏ หรือกรรมที่มาจากชาติปางก่อน แต่เชื่อว่ากรรมเกิดจากชาติปัจจุบัน เกิดจากการกระทำในชาตินี้ทั้งสิ้น การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดเช่นนี้เป็นการจงใจที่จะไม่บอกว่าชาตินี้เขาได้ทำกรรมอะไรเอาไว้
แล้วกรรมหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำไว้ คือ วจีกรรมนอกจากคำที่สบถออกมาว่า “เฮ้ย มาทำไมวะ” ยังมีวจีกรรมอื่น ที่ทำในชาตินี้และเมื่อวานนี้เอง คือ ช่วงท้ายๆ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงข้อความหนึ่งว่า “เราก็มาตั้งต้นใหม่ ถ้าไม่ตั้งต้นใหม่ประเทศไทยก็ขาดความน่าเชื่อถือ รุนแรงมาก ผมไปที่ไหนผู้คนจะรู้เรื่องประเทศไทยหมด ว่า อะไรเกิดขึ้นที่ประเทศไทย ใครอยู่เบื้องหลัง ต่างประเทศรู้เรื่องดีกว่าคนไทยอีก" ข้อความนี้จะทำให้เข้าใจสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบคำถามก่อนหน้านี้มากยิ่งขึ้น
ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวเสริมว่า ตอนต้นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงการที่ศาลรัฐธรรมนูญไปประชุมศาลโลก ว่า “มาแล้วจะเอาอะไรไปพูด หรือจะไปบอกวิธีให้ศาลมาแก้ปัญหาการเมืองที่โลกเขาไม่ทำกัน” เราจำได้ไหมว่าใครเป็นคนบอกว่าเมื่อบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ก็เหลือองค์กรเดียวคือศาลจะต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ลาออกไปเสีย
ดร.อนันต์ กล่าวว่า ผู้ชมผู้ฟังทุกคนคงจำได้ แล้วนึกได้อย่างดี แล้วโดยหลักการในขณะนั้นประเทศไทยเกิดปัญหาองค์กรแห่งอำนาจนิติบัญญัติ และบริหาร ไม่สามารถขับเคลื่อนแก้ปัญหาได้ ก็เหลือองค์กรเดียวของอธิปไตยที่จะขับเคลื่อนไปเพื่อแก้ปัญหา เพราะฉะนั้นผู้ที่พูดๆ โดยหลักการ คำถามก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณจิตประหวัดถึงอะไร
ส่วนที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ “พูดมั่วซั่วเพื่อเรียกร้องให้สงสาร” นั้น ดร.อนันต์ กล่าวว่า ก็พูดซ้ำซาก จนไม่อยากพูดถึงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณพูดในตอนต้นว่า "ตอนนี้ผมเหมือนคนร่อนเร่พเนจร ไปอยู่ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง แต่ไม่เหมือนตอนทัวร์นกขมิ้น เพราะตอนนั้นเป็นนายกฯที่มีความสุขได้ช่วยเหลือประชาชน แต่วันนี้ได้เดินทางไปพบปะเครือข่ายบนเวทีโลกแต่ก็เหงา เพราะไม่ได้อยู่กับครอบครัว และลูกๆ แต่นานๆ ลูกก็จะมาเยี่ยม เนื่องจากไม่รู้ว่าพ่ออยู่ที่ไหน เดี๋ยวไปโน่น เดี๋ยวไปนี่”
คำถามคือที่บอกว่าเดินทางไปพบปะเครือข่ายบนเวทีโลก คือเครือข่ายอะไร คำถามต่อไปคือเดินทางไปทำไม ใครบีบบังคับให้เดินทาง แล้วที่ว่าไม่ได้อยู่กับครอบครัวมีใครบีบบังคับหรือที่ไม่ได้อยู่กับครอบครัว
ที่บอกว่า “ผมถูกกล่าวหาว่า คอร์รัปชันเงินตัวเอง ผมก็ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องขอบคุณประชาชนที่เป็นห่วง เรียนว่า ผมใช้จ่ายสูงต้องเดินทาง ต้องพักโรงแรม บางทีรู้สึกว่าชีวิตเหงา ว้าเหว่ เราเคยมีบ้านอยู่” พ.ต.ท.ทักษิณ พูดราวกับว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีบ้านอยู่ แล้วบ้านที่ซื้อไว้ที่ฮ่องกงทำไมไม่ไปอยู่ ที่บอกว่าชีวิตว้าเหว่ก็ชวนลูกไปอยู่สิ หรือจะบอกว่าว้าเหว่ไม่ได้คุยกับภรรยา แล้วใครใช้ให้หย่ากับภรรยาของตัวเอง
แล้วที่อ้างว่า ถูกกล่าวหาว่า คอร์รัปชันเงินตัวเอง คำถามก็คือก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าบริหารประเทศมีเงินอยู่เท่าไหร่ แล้วเอาเงินที่ไหนไปซื้อสโมสรฟุตบอล
ทั้งนี้ มีข้อมูลว่า เมื่อเดือน พ.ย.2540 พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ว่า ตัวเองและครอบครัวมีเงินทั้งหมด 23,800 ล้านบาท แต่หลังจากที่พ้นตำแหน่งนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณถูกอายัดเงิน 76,000 ล้านบาท และล่าสุด มีข่าวว่า รัฐบาลอังกฤษอายัดไว้ 4,000 ล้านเหรียญ หรือ 140,000 ล้านบาท ทั้งหมดนี้เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาใช่หรือไม่
พ.ต.ท.ทักษิณ พูดต่อว่า “ต้องต่อสู้จนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม เพราะเงินที่ครอบครัวทำมาหากินตลอดชีวิต และประกาศว่ามีเงินมาเท่าไหร่ก่อนเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองมันก็คือเงินก้อนเดียวกัน” ซึ่งจริงๆ เมื่อบวกลบคุณหารแล้วมันไม่ใช่ก้อนเดียวกัน คำถามคือ มันงอกมาจากไหน เพราะฉะนั้นที่ว่าโดนกล่าวหาว่าคอร์รัปชันเงินตัวเองนั้น เงินที่เพิ่มขึ้นมามันงอกมาได้อย่างไร
กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เปรียบตัวเองกับ เนลสัน แมนเดลลา นั้น ดร.อนันต์ กล่าวว่า เป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ อยากเป็นวีรบุรุษ อยากเป็นบุคคลที่เขาไม่มีโอกาสได้เป็น อยากจะเทียบตัวเขาเอง คิดว่าสิ่งที่ทำมามันยิ่งใหญ่จนทำให้เขาเป็นวีรบุรุษของประเทศนี้ได้ จริงๆ เขาอาจจะเพ้อฝันไปมากกว่านั้น เพราะคนมีเงินมากเป็นแสนๆ ล้าน