“สุริยะใส” เตือนรัฐบาลหยุดหูทวนลม ใช้กฎหมายคุมสถานการณ์แก๊งเสื้อแดงก่อนบานปลาย ขณะเดียวกัน พันธมิตรฯไม่หวั่นกระแสเสื้อแดง พร้อมเดินหน้าเปิดเวทีปราศรัยทั่วประเทศ รณรงค์สร้างการเมืองใหม่ พร้อมอัด “ทักษิณ” จอมลวงโลก ปลิ้นปล้อนไม่เลิก ตัดตอนความจริง
วันนี้ (25 ม.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาหนีอาญาแผ่นดิน โดยโฟนอินผ่านดีทีวี และให้สัมภาษณ์ผ่านหนังสือพิมพ์อาซาฮีนั้น จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริงของวิกฤตการณ์บ้านเมือง โดยพยายามตัดตอนความจริง และสรุปสถานการณ์แบบเอาดีใส่ตัวโยนความชั่วร้ายให้คนอื่น เช่น การพูดถึงบทบาทของศาล หรือตุลาการภิวัฒน์ และบทบาทของกองทัพ นั้น ก็พูดถึงตอนปลายสถานการณ์ คือ หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แต่ไม่ยอมพูดถึงที่มาของเหตุการณ์รัฐประหารที่เกิดจากการเผด็จอำนาจ หรือพยายามกินรวบประเทศของระบอบทักษิณ ที่สยายปีกจากการยึดอำนาจบริหาร เข้าควบคุมเหนืออำนาจนิติบัญญัติ องค์กรอิสระ และแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและอำนาจตุลาการ และยังแปรสภาพกองทัพเป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยส่งเครือญาติและเพื่อนร่วมรุ่นมานั่งในตำแหน่งบังคับบัญชาหลายระดับ
“นี่ต่างหากเป็นที่มา และเป็นต้นเหตุของวิกฤตประเทศที่ยืดเยื้อเรื้อรังมาจนถึงปัจจุบัน แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไม่ยอมรับความจริง และไม่ยอมรับผลของคำพิพากษา แต่เคลื่อนไหวล็อบบี้สารพัดวิธี เพื่อหลอกลวงประชาคมโลก ว่า ตัวเองถูกรังแก หรือเป็นแพะทางการเมือง ซึ่งเป็นพฤติกรรมลวงโลกอย่างชัดเจน”
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า แม้การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่มีพลังเหมือนเดิม แต่รัฐบาลจะนิ่งดูดาย หรือหูทวนลมไม่ได้ เพราะเครือข่ายทักษิณจะเหิมเกริม ท้าทายกฎหมายบ้านเมือง จนอาจเกิดม็อบ หรือการจลาจลไปเรื่อยๆ หากปล่อยให้เคลื่อนไหวได้อิสระแบบนี้ ระยะยาวจะควบคุมสถานการณ์ลำบาก ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะตีความว่าเป็นสิทธิคงไม่ได้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ มีสถานภาพเป็นผู้ต้องหาไปแล้ว เพราะถ้าบริสุทธิ์จริง ต้องมาพิสูจน์ตัวเองในชั้นศาล รัฐบาลจะต้องเร่งหาช่องทางนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด หรือแม้แต่กลุ่มเสื้อแดงที่มีพฤติกรรมละเมิดกฎหมาย และพาดพิงสถาบันก็ต้องดำเนินการทันทีไม่ใช่ตั้งรับแบบนี้
ส่วนการเคลื่อนไหวของเครือข่ายเสื้อแดง คงไม่มีพลัง เป็นเพียงงานใหม่ของบรรดา ส.ส.ที่ตกงาน เพราะพรรคถูกยุบ และเปลี่ยนขั้วอำนาจมาเป็นฝ่ายค้าน ทำให้ช่องทางทำมาหากินหดหาย จึงว่าจ้างมวลชนในเครือข่ายออกมาต่อต้านรัฐบาลและพันธมิตรฯ เพื่อวางบิลเท่านั้นเอง ซึ่งเหตุการณ์ที่ร้อยเอ็ดไม่ได้ทำให้พันธมิตรฯ หวั่นไหว ยังจะเดินหน้าจัดเวทีอีกหลายจังหวัด
โดยเวทีปราศรัยใหญ่วันที่ 31 ม.ค.ที่สระบุรี 11 ก.พ. ที่ชุมพร 12 ก.พ. ที่ระนอง 13 ก.พ. ที่หัวหิน 14 ก.พ. ที่อุดรฯ 15 ก.พ.ที่ขอนแก่น 28 ก.พ.ที่พิษณุโลก ฯลฯ และยังมีเวทีปราศรัยย่อยอีกหลายจังหวัด เพื่อรณรงค์สร้างการเมืองใหม่และให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชน