“กองทัพ” โต้ “สื่อนอก” แจงชัดกรณี “โรฮิงยา” กระทบความมั่นคงแน่นอน เหตุเพราะหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ยันปฏิบัติตามกรอบโดยใช้ความถูกต้อง-ตามหลักมนุษยธรรม ด้าน “ประวิตร” ลั่นทหารเอาอยู่-ไร้ความจำเป็นในการจัดตั้ง “หน่วยงานพิเศษ” ดูแลปัญหาชายแดนโดยเฉพาะ
วานนี้ (23 ม.ค.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาโรฮิงยาว่า กระทรวงการต่างประเทศรับดำเนินการทั้งหมด ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีขบวนการค้ามนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ในรายละเอียดให้ถามจากกระทรวงการต่างประเทศ แต่ในส่วนที่กระทบต่อความมั่นคงย่อมมีแน่ เพราะเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่า ปัญหาในพื้นที่ชายแดนมีความจำเป็นที่จะต้องตั้งหน่วยงานเข้าไปดูแลปัญหาโดยเฉพาะหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า งานทางด้านความมั่นคงภายในนั้น ทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในดูแลอยู่แล้ว แต่ถ้าเกี่ยวกับทางด้านชายแดน กองกำลังชายแดนก็ดูแล ส่วนใหญ่กองทัพเราทำได้คลอบคลุมทุกเรื่อง จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมา ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเป็นพิเศษ แต่ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะดำเนินการในแต่ละพื้นที่ๆ ไป
“ผมคิดว่าสื่อต่างชาติคงไม่ได้ตั้งใจโจมตีกองทัพ แต่อาจเป็นความเข้าใจผิดในเรื่องของสิทธิมนุษยชน เพราะเราไม่ได้ไปละเมิด และขอยืนยันว่ากองทัพทำอยู่ในกรอบของการปฏิบัติการ” รมว.กลาโหม กล่าว
ด้าน พล.ต.วิศณุ ศรียะพันธ์ โฆษกกองทัพไทย กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า เรายืนยันตัวเลขจำนวนชาวโรฮิงญาแน่นอนไม่ได้ ส่วนขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองนั้น เป็นหน้าที่ที่ตำรวจดูแลอยู่ ทั้งนี้ แม้เขาเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย แต่เราก็ส่งกลับอย่างมีมนุษยธรรม ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการส่งกลับเป็นเฉพาะจุด คือ จ.ระนอง โดยมีการรวบรวมแล้วเอาไปส่งประเทศพม่า บริเวณด้านเหนือของ จ.ตราด ซึ่งบริเวณนั้นมีชาวมุสลิมพม่าอยู่ด้วย รวมทั้งมีการดำเนินการเป็นขั้นตอนตลอด ฉะนั้นตนขอยืนยันว่า เราทำถูกต้อง มีหลักการ และมีมนุษยธรรม ไม่ใช่ไล่ตะเพิดไป
ขณะที่ น.อ.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2551 กองทัพเรือโดยกองทัพเรือภาคที่ 3 ซึ่งมี พล.ร.ท.ณรงค์ เทศวิศาล ผู้บัญชาการกองทัพเรือภาคที่ 3 ได้ดำเนินการจับกุมเรือต้องสงสัยซึ่งนำผู้หลบหนีเข้าราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตบริเวณเกาะพะยาม จ.ระนอง เกาะสุรินทร์ จ.พังงา และดำเนินการส่งมอบผู้ต้องหาให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนแยก บริเวณเกาะตาวัวดำ จ.ระนอง เพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ชาวโรฮิงญาเป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมจากรัฐอาระกัน ของประเทศพม่า ซึ่งอาศัยอยู่ชายฝั่งทะเลตอนเหนือของพม่า ติดกับพรมแดนตอนใต้ของบังกลาเทศ ทั้งนี้ เมื่อมาถึงประเทศไทย เราได้เข้าควบคุมตัว โดยได้ดูแล และช่วยเหลือ จากนั้นจึงส่งตัวกลับไป
“กรอบการปฏิบัติการจับกุมมีหลายกรอบ โดยกองทัพเรือเป็นเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย เมื่อมีผู้อพยพลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ภาคปฏิบัติจึงเป็นภาคการควบคุมคนจำนวนมาก ซึ่งภาพที่ปรากฏเป็นชายฉกรรจ์ถึง 200 คน แต่เจ้าหน้าที่มีเพียง 10 กว่าคน ดังนั้นจึงมีการปฏิบัติตามปกติที่ต้องให้ผู้ต้องสงสัยอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ก่อน ไม่ว่าประเทศใดก็ต้องทำกับผู้อพยพเช่นนี้ จนกว่าจะแน่ชัดว่าไม่มีผู้อพยพ” น.อ.ประชาชาติ กล่าว
น.อ.ประชาชาติ กล่าวอีกว่า ภายจากหลังควบคุมตัว เราได้พาไปทานข้าว แล้วให้อยู่ในที่ร่ม ซึ่งภาพที่ปรากฏออกมาในสื่อต่างชาตินั้น ขัดแย้งการปฏิบัติค่อนข้างมาก เพราะแสดงไม่หมด โดยนำเฉพาะตอนจับกุมไปลงสื่อเท่านั้น แต่กลับไม่ปรากฏภาพการดูแล และจัดส่งคนกลับเข้าเมือง จึงขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ทำตามกรอบปกติในการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งไม่เฉพาะแต่ผู้ที่อพยพเท่านั้น เพราะถ้าหากเกิดเหตุในทะเล เราก็จะให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งถือเป็นสิทธิของทหารเรือทั่วโลก
วานนี้ (23 ม.ค.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาโรฮิงยาว่า กระทรวงการต่างประเทศรับดำเนินการทั้งหมด ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีขบวนการค้ามนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ในรายละเอียดให้ถามจากกระทรวงการต่างประเทศ แต่ในส่วนที่กระทบต่อความมั่นคงย่อมมีแน่ เพราะเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่า ปัญหาในพื้นที่ชายแดนมีความจำเป็นที่จะต้องตั้งหน่วยงานเข้าไปดูแลปัญหาโดยเฉพาะหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า งานทางด้านความมั่นคงภายในนั้น ทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในดูแลอยู่แล้ว แต่ถ้าเกี่ยวกับทางด้านชายแดน กองกำลังชายแดนก็ดูแล ส่วนใหญ่กองทัพเราทำได้คลอบคลุมทุกเรื่อง จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมา ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเป็นพิเศษ แต่ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะดำเนินการในแต่ละพื้นที่ๆ ไป
“ผมคิดว่าสื่อต่างชาติคงไม่ได้ตั้งใจโจมตีกองทัพ แต่อาจเป็นความเข้าใจผิดในเรื่องของสิทธิมนุษยชน เพราะเราไม่ได้ไปละเมิด และขอยืนยันว่ากองทัพทำอยู่ในกรอบของการปฏิบัติการ” รมว.กลาโหม กล่าว
ด้าน พล.ต.วิศณุ ศรียะพันธ์ โฆษกกองทัพไทย กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า เรายืนยันตัวเลขจำนวนชาวโรฮิงญาแน่นอนไม่ได้ ส่วนขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองนั้น เป็นหน้าที่ที่ตำรวจดูแลอยู่ ทั้งนี้ แม้เขาเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย แต่เราก็ส่งกลับอย่างมีมนุษยธรรม ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการส่งกลับเป็นเฉพาะจุด คือ จ.ระนอง โดยมีการรวบรวมแล้วเอาไปส่งประเทศพม่า บริเวณด้านเหนือของ จ.ตราด ซึ่งบริเวณนั้นมีชาวมุสลิมพม่าอยู่ด้วย รวมทั้งมีการดำเนินการเป็นขั้นตอนตลอด ฉะนั้นตนขอยืนยันว่า เราทำถูกต้อง มีหลักการ และมีมนุษยธรรม ไม่ใช่ไล่ตะเพิดไป
ขณะที่ น.อ.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2551 กองทัพเรือโดยกองทัพเรือภาคที่ 3 ซึ่งมี พล.ร.ท.ณรงค์ เทศวิศาล ผู้บัญชาการกองทัพเรือภาคที่ 3 ได้ดำเนินการจับกุมเรือต้องสงสัยซึ่งนำผู้หลบหนีเข้าราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตบริเวณเกาะพะยาม จ.ระนอง เกาะสุรินทร์ จ.พังงา และดำเนินการส่งมอบผู้ต้องหาให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนแยก บริเวณเกาะตาวัวดำ จ.ระนอง เพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ชาวโรฮิงญาเป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมจากรัฐอาระกัน ของประเทศพม่า ซึ่งอาศัยอยู่ชายฝั่งทะเลตอนเหนือของพม่า ติดกับพรมแดนตอนใต้ของบังกลาเทศ ทั้งนี้ เมื่อมาถึงประเทศไทย เราได้เข้าควบคุมตัว โดยได้ดูแล และช่วยเหลือ จากนั้นจึงส่งตัวกลับไป
“กรอบการปฏิบัติการจับกุมมีหลายกรอบ โดยกองทัพเรือเป็นเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย เมื่อมีผู้อพยพลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ภาคปฏิบัติจึงเป็นภาคการควบคุมคนจำนวนมาก ซึ่งภาพที่ปรากฏเป็นชายฉกรรจ์ถึง 200 คน แต่เจ้าหน้าที่มีเพียง 10 กว่าคน ดังนั้นจึงมีการปฏิบัติตามปกติที่ต้องให้ผู้ต้องสงสัยอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ก่อน ไม่ว่าประเทศใดก็ต้องทำกับผู้อพยพเช่นนี้ จนกว่าจะแน่ชัดว่าไม่มีผู้อพยพ” น.อ.ประชาชาติ กล่าว
น.อ.ประชาชาติ กล่าวอีกว่า ภายจากหลังควบคุมตัว เราได้พาไปทานข้าว แล้วให้อยู่ในที่ร่ม ซึ่งภาพที่ปรากฏออกมาในสื่อต่างชาตินั้น ขัดแย้งการปฏิบัติค่อนข้างมาก เพราะแสดงไม่หมด โดยนำเฉพาะตอนจับกุมไปลงสื่อเท่านั้น แต่กลับไม่ปรากฏภาพการดูแล และจัดส่งคนกลับเข้าเมือง จึงขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ทำตามกรอบปกติในการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งไม่เฉพาะแต่ผู้ที่อพยพเท่านั้น เพราะถ้าหากเกิดเหตุในทะเล เราก็จะให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งถือเป็นสิทธิของทหารเรือทั่วโลก