“อภิสิทธิ์” ยอมรับวิกฤตชาติสาหัสทั้งเศรษฐกิจ-การเมือง ภารกิจแรกต้องฟื้นความเชื่อมั่น นำบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ หยุดเติมเชื้อไฟ หยวนแก๊งปาไข่จัดชุมนุมกีดขวางจราจร-ใช้เครื่องขยายเสียง แต่ห้ามทำร้ายร่างกายเด็ดขาด พร้อมเผยยอดต่างชาติเข้าไทย ธ.ค.เพิ่ม สะท้อนชัดปิดสนามบินไม่ส่งผลกระทบ ย้ำให้ตำแหน่งคนพันธมิตรฯ ดูที่งาน และต้องทำตามกฎหมาย
เวลา 20.40 น.วันที่ 15 ม.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษตอนหนึ่งในหัวข้อ “ผ่าแผนปฏิบัติการ งานฟื้นเศรษฐกิจไทย ในงานโพสต์ฟอรัม 2009 “พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย” ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ว่า หัวข้อวันนี้ก็สะท้อนให้เห็นความกังวลของประชาชนว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจหนักหนาและจะหาทางกอบกู้กันอย่างไร ตนไม่พูดเกินความจริงว่าตัวเลขที่สะท้อนมาตั้งแต่เดือน พ.ย.-ธ.ค. ยืนยันว่าเศรษฐกิจน่าเป็นห่วงจริง ไม่ว่าตัวชี้วัดด้านใดก็ตาม ที่ล้วนบ่งบอกว่าเศรษฐกิจเราเข้าสู่ภาวะที่เป็นวิกฤต
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ย้อนกลับไปที่ปี 40 ที่เราจำได้ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแตกต่างกันมาก ปี 40 ปัญหาเกิดจากสภาวะการเงินในประเทศ นโยบายในความผิดพลาดเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนและความตื่นตระหนกต่อสถาบันการเงินเป็นปัญหาและลุกลามไปประเทศอื่นและถูกลากเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อปีแล้วที่เกิดจากข้างนอก จากระบบการเงินของมหาอำนาจ แต่ไทยยังถือว่ารองรับวิกฤตการเงินได้ดีที่สุด จึงได้รับผลกระทบน้อย เพราะความเข้มแข็งของระบบการเงินมีมาก แต่ทว่าเมื่อเศรษฐกิจคู่ค้ามีปัญหา กำลังซื้อหายไป ตัวเลขการส่งออก การใช้กำลังการผลิตก็ได้รับกระทบอย่างรุนแรง
“แต่ว่าประเทศไทยเองกลับมีปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองตลอดปีที่แล้ว และนำไปสู่เหตุการณ์ความขัดแย้งทางสังคมมาก ซึ่งคนต่างประเทศที่ติดตามข่าวสารก็คงจะคิดว่าบ้านเมืองของเรามีปัญหาที่ยากจะเยียวยาได้ โดยเฉพาะในช่วงปลายปีเหมือนเราไม่สามารถควบคุมได้แล้ว ฉะนั้น สภาพในวันนี้ก็ซับซ้อนทั้งเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากกว่าปี 2540” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในภาวะความวุ่นวายจนนำไปสู่การเปลี่ยนขั้วทางการเมือง เมื่อตนมาดำรงตำแหน่งนายกฯ ตนทราบดีว่าภาระการกอบกู้เศรษฐกิจเป็นเรื่องยาก คิดว่าไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ถ้าเราเรียกความเชื่อมั่นไม่ได้ ถ้าเราไม่ทำให้บ้านเมืองสงบ ดังนั้นนับตั้งแต่วันที่สภาเลือกตนเป็นนายกฯ ถึงวันนี้เป็นเวลา 1 เดือน ตนและรัฐบาลต้องการนำพาบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติเร็วที่สุด ซึ่งช่วงว่างก่อนจัดตั้งรัฐบาลตนเดินสายพบประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อรับฟังปัญหาและแสดงอย่างชัดเจนว่าการทำงานของรัฐบาลจะเป็นหุ้นส่วนกับเอกชนและประชาชน เพราะมองสภาพการแล้วว่ารัฐบาลคงทำเองไม่ได้ จึงขอบคุณทุกฝ่าย
นายกฯ กล่าวถึงการแก้ปัญหาทางการเมืองว่า สิ่งที่ตนได้แสดงออกทางการเมืองคือมุ่งมั่นลดความขัดแย้ง หลีกเลี่ยงการเติมเชื้อทางการเมืองเข้าไป เพราะต้องการแก้ปัญหาให้คนทุกกลุ่มโดยไม่เลือกปฏิบัติ และมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องดำเนินการต่อไป
“กรณีปาไข่ ผมก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น แต่แนวทางเรียนชัดเจนว่าการชุมนุมทางการเมืองทำได้ แต่ถ้าผิดกฎเล็กๆ น้อย เช่น กีดขวางการจราจร ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ยอมกันได้ แต่การทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สินทำไม่ได้ เพราะไม่ใช่วิถีทางการเมือง และเราจะกลับเข้าสู่กับการทำกฎหมายเป็นกฎหมายที่มีความศักดิ์สิทธิ์ อันนี้เป็นการปูทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วย” นายกฯ กล่าว
ตัวเลขโชว์ปิดสนามบินไม่กระทบจำนวนผู้โดยสาร
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวหลังการปิดสนามบินว่า ตั้งแต่ครึ่งเดือนหลังของเดือน ธ.ค.จนถึงช่วงปีใหม่ พบว่า ผู้โดยสารที่เดินทางเข้ามามากกว่าปีก่อน ฉะนั้นผลกระทบตรงนั้นมันผ่านพ้นไปแล้ว แต่ตนไม่ประมาท ก็ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมดูแลเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยของสนามบิน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอบคำถามที่ว่าโอบามาร์คจะได้พบกับโอบามาเมื่อไร คุยเรื่องอะไรว่า ถ้าตนมีโอกาสพบปะชาติมหาอำนาจก็จะเป็นเรื่องที่ดี ส่วนจะคุยเรื่องอะไรก็ต้องดูสถานการณ์ขณะนั้นอีกที
ย้ำตั้งคนพันธมิตรฯ ดูที่การทำงาน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการตั้งคนที่เคยร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเข้ามามีตำแหน่งในรัฐบาลว่า อย่างเช่นรัฐบาลที่แล้วก็มีแกนนำ นปก.ที่บุกบ้านประธานองคมนตรี เช่น พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา แต่ตนก็ไม่เคยพูด เพราะถ้าท่านทำหน้าที่ได้ดี ผมก็ชื่นชม ดังนั้น พันธมิตรฯ หรือใครมาอยู่ในรัฐบาลต้องทำตามนโยบายให้ดีที่สุด หากทำงานไม่มีปัญหาก็ทำงานต่อไปถ้า ไม่ดีก็เปลี่ยนแปลง ถ้าการชุมนุมของท่านบอกว่าท่านผิดก็ต้องดำเนินคดี ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ซึ่งรัฐบาลก็ต้องการเห็นการดำเนินการตามข้อเท็จจริง ยืนยันกับ ผบ.ตร.แล้วก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายถ้าใครทำผิด