xs
xsm
sm
md
lg

พธม.เตือน “มาร์ค” อย่าลำพองได้เสียงเพิ่ม-วอนสังคมใช้หัวคิดมองสาเหตุ “ยึดสนามบิน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แกนนำรุ่น 2 เตือน “รัฐบาลมาร์ค” อย่าลำพอง แม้ได้เสียงเพิ่ม ชี้ ยังมีอีกหลายภารกิจที่ท้าทายรอพิสูจน์ฝีมือ โดยเฉพาะเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ จะหาคนผิดมาลงโทษอย่างไร วอนสังคมใช้ความคิด อย่ามองพันธมิตรฯ ปิดสนามบินแค่ปลายเหตุ ชี้ รากเหง้าจริงๆ คือ ระบอบทักษิณที่โกงกินทุกระดับ “การุณ” แนะพันธมิตรฯ ร่วมกันประเมิน 193 วันการต่อสู้ คิดต้นทุนค่าใช้จ่าย-ค่าเสียเวลา เป็นเงินนับหมื่นล้านบาท กับสิ่งที่ได้มาคุ้มหรือไม่ แต่ที่ได้แน่ๆ คือ เกิดเครือข่ายพี่น้องพันธมิตรฯ ทั่วประเทศ ลงลึกในทุกระดับ

 คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" 


รายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ออกอากาศทาง “เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน” วันที่ 14 มกราคม 2552 นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ดำเนินรายการ โดยช่วงต้นรายการ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขอใช้เวลากล่าวฝากไปถึงพี่น้องพันธมิตรฯ ชลบุรี ให้ยุติความขัดแย้งส่วนตัว หันมาร่วมแรงร่วมใจจัดงานคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 1 ในวันที่ 17 ม.ค.นี้ให้ประสบความสำเร็จ หลังจากนั้น เป็นการปราศรัยของ นายสาวิทย์ แก้วหวาน แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 ตามด้วยนายการุณ ใสงาม อดีต ส.ว.บุรีรัมย์ คั่นรายการด้วยการแสดงดนตรีสดของวง “ขาวแดง-ภูเล” และปิดท้ายด้วยการสนทนากับนายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีตรองประธานวุฒิสภา ในประเด็นการแต่งตั้งคนที่เคยร่วมชุมนุมพันธมิตรฯ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี

จินดารัตน์ - สวัสดีค่ะคุณผู้ชมและพ่อแม่พี่น้องคะ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่รายการ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันนี้พุธที่ 14 มกราคม พ.ศ.2552 ก่อนที่เราจะไปพบกับสรุปข่าวที่น่าสนใจ รวมไปถึงข่าวคราวที่นำมาฝากกันวันนี้ วันนี้มีคนพิเศษที่จะมาพูดข่าวสำคัญ ซึ่งสำคัญกับพ่อแม่พี่น้อง เราอยากจะบอกพ่อแม่พี่น้อง ว่า เราจะใช้ช่วงเวลาช่วงต้นรายการนี้พบกับท่านผู้นี้ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ นะคะที่จะมาคุยกับพ่อแม่พี่น้องในวันนี้ ปรบมือต้อนรับ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล

สนธิ - สวัสดีครับท่านพ่อแม่พี่น้องชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ท่านผู้ชม ASTV วันนี้เป็นกรณีพิเศษจริงๆ ที่ผมต้องมาพูดนะ ผมอยากจะพูดคำพูดนี้ฝากไปยังพ่อแม่พี่น้องที่รักของผมทุกๆ ท่าน ที่ภาคตะวันออกจังหวัดชลบุรี ผมมีเรื่องจำเป็นต้องพูด และผมไม่สบายใจ

ผมไม่ได้มาขออะไรแต่ผมกำลังจะเล่าว่า การที่จะมาร่วมทำงานกัน พ่อแม่พี่น้องให้การสนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น พ่อแม่พี่น้องมาสนับสนุนเพราะมีอุดมการณ์ร่วมกัน เรามีความเห็นตรงกัน พ่อแม่พี่น้องได้มาชมการต่อสู้ ฟังเรื่องราวต่างๆ นั้น พ่อแม่พี่น้องเห็นด้วยว่าสิ่งที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยลุกขึ้นยืนสู้นั้นเราสู้บนความถูกต้อง สู้อยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมและศีลธรรม สู้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และราชบัลลังก์

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก่อกำเนิดมาทุกๆ จุด เหนือ ใต้ ตะวันออก อีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันตก ทั้งหมดนี้ ภาคใต้และภาคตะวันออกเป็นศูนย์ที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นหลายๆ จังหวัดทางภาคใต้ที่ต้องทิ้งไร่ ทิ้งนา ทิ้งบ้านช่องซึ่งถูกน้ำท่วม มาช่วยร่วมกันสู้ ส่วนภาคตะวันออกนั้นเป็นชนชั้นกลางส่วนใหญ่ของภาคตะวันออก ซึ่งยอมเสียสละเวลา เวลาเราเดือดร้อนขึ้นมา เราประกาศไปขอความช่วยเหลือจากต่างจังหวัด พ่อแม่พี่น้อง นอกจากรอบเขตกรุงเทพมหานครแล้วที่จะมาก่อนเพื่อนคือภาคตะวันออก ความรู้สึกผูกพันนั้นก็ผูกพันกับภาคตะวันออกเป็นพิเศษ ผมเองนั้นก็เป็นคนที่เจริญเติบโตมา เรียนหนังสืออยู่ที่ภาคตะวันออก โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา

เมื่อศึกสงครามสิ้นสุดลงแล้วพ่อแม่พี่น้องเองก็ไม่อยากให้เงียบหายไป ก่อให้เกิดการสลายตัวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เลยเป็นสาเหตุที่พ่อแม่พี่น้องพยายามจัดร่วมชุมนุมกันตามที่ต่างๆ การจัดร่วมชุมนุมกันตามที่ต่างๆ นั้น ก็มีทั้งผลดี และผลเสีย เพราะเดิมทีแล้วทาง ASTV ก็ตั้งใจจะไปจัดคอนเสิร์ตทางการเมือง ซึ่งผมเคยกราบเรียนพ่อแม่พี่น้องไปแล้ว แล้วก็ขอให้พ่อแม่พี่น้องช่วยกันสนับสนุน โดยเก็บค่าบัตรคนละ 200 บาท เพื่อที่จะมาสนับสนุน ASTV ซึ่งพ่อแม่พี่น้องตอนนั้นก็ให้การสนับสนุนกันอย่างท่วมท้น

พี่น้องครับ ASTV นั้น เป็นหัวใจของการเชื่อมโยงพ่อแม่พี่น้อง และเป็นสื่อที่สำคัญในการที่จะเอาความจริงในสังคมไทยมาตีแผ่ แต่พี่น้องก็รู้ใช่ไหมครับว่า ค่าใช้จ่าย ASTV นั้นเราไม่ได้เอามาจากไหนเลยในการต่อสู้ 193 วัน พ่อแม่พี่น้องช่วยกันมา 100 กว่าล้าน แต่ค่าใช้จ่ายเกินกว่านั้นไปหลาย 10 ล้าน ซึ่งผมเองไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย แต่ผมจำเป็นจะต้องมาพูด เพราะพ่อแม่พี่น้องจะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเนี้ย เราก็อยู่ในท่ามกลางความลำบาก ด้วยเหตุนี้ก็เลยมีพยายามหลายๆ ฝ่าย พยายามที่จะแย่งกันจัดโดยที่จัดเพื่อจะร่วมกันมาช่วย ASTV ก็ไม่ได้ว่าพ่อแม่พี่น้องกันนะครับ บางจังหวัดก็จัดกัน ก็เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง เราไม่ได้ว่ากัน บางคน บางจังหวัดจัดแล้วก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แค่เชิญคนไปพูดก็ถือว่าจัดแล้ว ส่วนเงินบริจาคนั้นก็เก็บเข้ากระเป๋าตัวเองเช่นกัน

ที่ภาคตะวันออกนั้นเป็นจุดที่มีหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญมาก ได้มีการพยายามที่จะมาจัด เคยจัดแล้วครั้งหนึ่ง มีคนเข้ามาหลายหมื่นคน คราวนี้ก็มาจัดอีกครั้งหนึ่ง การจัดครั้งนี้ก็พยายามที่จะดึงทุกฝ่าย ทุกส่วนที่มีความขัดแย้งกันในเรื่องของวิธีการจัด เข้ามาร่วมประชุมกันที่บ้านพระอาทิตย์ ถ้าพี่น้องจำได้ ผมเองเดินผ่านห้องประชุม ซึ่งคุณปานเทพเป็นประธานในที่จัด ผมเองยังขอร้องพ่อแม่พี่น้องว่า ให้ลืมความขัดแย้งส่วนตัวซะนึกถึงส่วนรวมก็แล้วกัน

ผมกราบขอบพระคุณพี่น้องครับที่อยากจะจัดงานที่ภาคตะวันออก พี่น้องคาดว่าจะจัดมีคนมา 4-5 หมื่นคน พิมพ์บัตรออกมา 5 หมื่นใบ พี่น้องทางภาคตะวันออกรับไป 4 หมื่นใบ ASTV รับมา 1 หมื่นใบ

ความขัดแย้งตรงนี้เริ่มเกิดขึ้นตรงที่ว่า ก็มีทั้งพี่น้องที่เป็นแฟนพันธุ์แท้รุ่นเก่าๆ กับคนซึ่งเข้ามาร่วมใหม่ ก็มีความรู้สึกว่าไม่ถูกชะตากัน ซึ่งผมต้องกราบเรียนพ่อแม่พี่น้องว่า ถ้าพ่อแม่พี่น้องรักผม ทิ้งความขัดแย้งไว้ข้างๆ ตัว ไม่ต้องรักผมหรอก รัก ASTV รักชาติบ้านเมือง เพราะถ้า ASTV อยู่ไม่ได้ สายใยที่จะเชื่อมโยงพวกเราก็ไม่มี

ก็มีข่าวคราวออกมาตลอดเวลา ผมก็พยายามจะแก้ข่าวตลอดเวลา จนกระทั่งครั้งหลังสุด คณะผู้จัดงานอุตส่าห์เอาแคชเชียร์เช็คมาให้ 8 ล้านบาท ล่วงหน้า ก่อนที่จะขายบัตร ซึ่งบัตร 4 หมื่นใบนั้นก็ใบละ 200 บาท เพื่อมาเป็นเครื่องโชว์ความบริสุทธิ์ใจว่าเอาเงินมาให้แล้วนะ แล้วก็เอา 4 หมื่นใบนี้ ก็คือเป็นเงินค้ำประกัน 4 หมื่นใบนั้นก็เอาไปแจกให้พ่อแม่พี่น้องที่ จ.ชลบุรี

ปรากฏว่า มีการคืนบัตรกันมาเยอะ เช่น ที่บ้านบึงรับไป 5 พัน ก็คืนมา 4 พัน เอาไป 1 พัน หลายๆ จุด เหตุผลเพราะว่าไม่ชอบขี้หน้ากัน

อันนี้พี่น้องครับ ผมจะกราบเรียนพี่น้องว่า คนที่เจ็บ คือ ผม และ ASTV นะครับ พี่น้องไม่ถูกกันไม่เป็นไร แต่ว่าเมื่อไม่ประสานให้ความรักสมานสามัคคีกัน ในฐานะที่เราร่วมต่อสู้กันมา วันนี้ใครจัดเหมือนกันเขาก็จัด เพื่อ ASTV ผม ASTV และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แกนนำนั้นให้ความสำคัญกับพ่อแม่พี่น้องทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ร่วมมาตั้งแต่ต้น ตลอดจนกระทั่งกลุ่มที่เข้ามาใหม่ ตราบใดที่อุดมการณ์ตรงกัน เราให้ความรักเท่าเทียมกันหมด เราไม่เคยแบ่งแยก เราไม่เคยลืมพ่อแม่พี่น้องที่ช่วยเรามา ตั้งแต่ยังจัดแค่ที่ภัตตาคารไต้ฮี้เล็กๆ และขยายตัวมาเราไม่เคยลืมเรื่องนี้นะครับ

แต่ว่าถ้าหากการจัดที่ชลบุรีนั้น ล่มสลายลงเพราะว่าเราตั้งใจว่าจะมีคนมาประมาณ 50,000 คน แล้วมีการคืนบัตรกัน โดยที่ไม่ช่วยกันกระจายไป แสดงว่าความสามัคคีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น จริงๆแล้วมันเป็นของปลอม จริงๆ แล้วที่เราบอกว่าเรามีกำลังอยู่ที่พร้อมที่จะลุกมาสู้พร้อมกันนั้น ไม่น่าจะเป็นความจริงอีกต่อไป

เพราะฉะนั้นแล้วพ่อแม่พี่น้องยังไงก็ตามขอให้คิดถึงส่วนรวมก่อน ส่วนรวมคือชาติ บ้านเมือง ชาติบ้านเมืองจะอยู่ได้นั้นเพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรักใคร่สามัคคีกัน แล้วเราจะรักใคร่สามัคคีกันก็ต่อเมื่อมีสื่อที่จะเข้ามาช่วยโยงใยกันให้

พี่น้องครับโทรทัศน์ทุกช่องพี่น้องก็รู้ว่า เขาไม่ใส่ใจเรื่องของพวกเราเลย มีแต่ ASTV เท่านั้น ที่ฟันฝ่าอุปสรรค์ ฝ่าความเป็นความตาย ฝ่าระเบิด ฝ่ากระสุนปืนที่สถานีโทรทัศน์ ASTV ในท่ามกลาง 193 วัน ที่สู้มา เรามีแค่ ASTV เท่านั้น ไม่ใช่ว่า ASTV เป็นสิ่งซึ่งขาดไม่ได้ ถ้ามีช่องอื่นทำหน้าที่แทนเรา ผมไม่อยากมาเหนื่อยหรอกครับพ่อแม่พี่น้อง

ทุกอย่างนั้น ทุกวันนี้ยังต้องแบกอยู่คนเดียว ศึกสงครามเสร็จสิ้นแล้ว พี่น้องฉลองกัน แต่ความเจ็บช้ำ ความขมขื่น การต้องแบกภาระนั้น ทั้งหมดนั้นอยู่บนบ่าผมแค่ 2 บ่า เท่านั้นเอง ไหนจะคดีความที่จะต้องตามมาเป็นสิบคดีๆ แล้วพ่อแม่พี่น้องมาทะเลาะกันเพียงเพราะว่าไม่ชอบขี้หน้ากันนะครับ ถ้าอย่างนั้นอีกหน่อยถ้า ASTV จะปิดไปเพราะว่าผมไม่แบกอีกต่อไปแล้ว พ่อแม่พี่น้องก็ว่าผมไม่ได้นะครับเรื่องนี้ นะครับ

ผมคิดว่าผมทำมาให้ชาติ บ้านเมือง ถึงสุดๆ แล้ว แล้วผมคิดว่าพ่อแม่พี่น้องเข้าใจผมดี เข้าใจ ASTV ดี กลายกลับว่าพ่อแม่พี่น้องเอาเรื่องส่วนตัว เอาความไม่ชอบกันมา แล้วทำให้ ASTV แล้วก็กระบวนการสื่อมวลชนที่เหลืออยู่เพียงเจ้าเดียว ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อพ่อแม่พี่น้องนั้น จะต้องสะดุดหกล้ม ล้มลุกคลุกคลานไป ผมก็ไม่ว่าอะไร ถ้าพ่อแม่พี่น้องที่ จ.ชลบุรี ต้องการเช่นนั้นจริงๆ นะครับ

ผมใคร่ขอความกรุณาพ่อแม่พี่น้องที่ จ.ชลบุรี พ่อแม่พี่น้องเลือดน้ำเค็ม แสดงความเข้มข้นในการต่อสู้มา ทุกยุค ทุกสมัย ทุกเวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือ พ่อแม่พี่น้องจะมาก่อนเพื่อน พ่อแม่พี่น้องครับ ส่วนรวมสำคัญกว่า นึกว่าเป็นการขอร้องจากผมมาถึงพี่น้องชาวชลบุรีทุกคนนะครับ ขอเถอะครับ ถ้ารัก ASTV ถ้ารักผม ถ้ารักแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันที่ 17 นี้ขอให้มากันให้เต็มที่ เพราะว่าบัตรที่ส่งไปนั้นเดิมทีจะต้องขายหมดกลับส่งคืนมา เก็บเอาไว้นิดเดียว เหมือนกับว่าขายอย่างพอไปที เพื่อที่จะให้คนจัดนั้นเสียหน้า

คนจัดนั้นไม่เสียหน้าหรอกครับ แต่คนที่จะลำบากก็คือ พวกผมและ ASTV นะครับพี่น้อง พี่น้องทำอะไรคิดถึงจุดเริ่มต้นของเราก่อนดีกว่า อย่าให้ต้องขยายความไปถึงการล่มสลาย อย่าได้รับชัยชนะแล้วในที่สุดแล้วก็ต้องล้มหายตายจากกันไป แล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าใจว่าพวกเราทำไมถึงเป็นอย่างนี้

พี่น้องครับผมขอร้องเถอะ ว่าเพื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อ ASTV อย่าได้ทะเลาะกันเลยนะครับ ผมคิดว่าเอาเรื่องของส่วนตัวทิ้งเอาไว้แล้วเอาเรื่องส่วนรวมมาก่อน ผมขอยืนยันว่า แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และตัวผมนั้น ไม่เคยหลงลืมและละลืมแกนนำที่ จ.ชลบุรี หรือภาคตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน จะเป็นกลุ่มมาก่อน กลุ่มมาหลัง กลุ่มมากลาง กลุ่มอาเจ๊ กลุ่มอาซ้อ ผมไม่เคยลืม

เพราะฉะนั้นแล้วหวังว่าวันที่ 17 นี้ ผมจะได้เห็นการรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเมืองชล ซึ่งจะเป็นแม่แบบของทั่วประเทศในการจัด พี่น้องต้องรู้นะครับ นี่คือแม่แบบที่แท้จริง เมืองชลบุรี ชลบุรีจะเป็นแม่แบบหรือว่าจะเป็นแบบที่พังทลายลงไปเจ้าแรก ขึ้นอยู่กับความรัก สามัคคี และความจริงใจที่พ่อแม่พี่น้องมีต่อผมและ ASTV ครับ ผมขอฝากเพียงแค่นี้ครับ ขอบพระคุณมากครับ


จินดารัตน์ - ขอบพระคุณคุณสนธินะคะ พ่อแม่พี่น้องคะ ฟังคุณสนธิพูดแล้วเราคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่ใครๆ เขาก็พูดกันในสุภาษิตไทยว่า เมื่อเลิกรบกันนอกบ้านแล้วก็จะกลับมารบกันเองในบ้านนะคะ ถ้าปัญหาที่มันเกิดขึ้น พ่อแม่พี่น้องให้นึกถึงวันที่เรามาลำบากด้วยกัน มาอดด้วยกัน มากินด้วยกัน มานอนอยู่บนดินบนทรายด้วยกัน อยากให้พ่อแม่พี่น้องคิดถึงวันนั้นนะคะ แล้วพ่อแม่พี่น้องจะได้รู้สึกว่าวันนี้เราจะได้ปัดความรู้สึกส่วนตัวออกไป ไม่คำนึงถึงความรู้สึกส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม ชลบุรีครั้งหนึ่งเคยจัดจำได้ไหมคะ ตอนนั้นเวทีอยู่ที่มัฆวานฯ มันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่ใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ คนมากันมืดฟ้ามัวดิน เต็มสนามกีฬาแล้วทะลุออกไปด้านนอกตรงถนน พ่อแม่พี่น้องชลบุรียังจำภาพนั้นได้ไหมคะ แอนคนหนึ่งหละถ้าได้ยินแบบนี้แล้วแอนก็ไม่สบายใจ แล้วก็เชื่อว่าพ่อแม่พี่น้องทั่วประเทศที่ฟังแล้วก็ไม่สบายใจ แม้ว่าเหตุการณ์ความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้ากันมันจะเกิดที่ไหนก็ตาม ขอพี่น้องอย่างเดียวค่ะว่า ให้พี่น้องคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ให้คิดถึงวันที่เราลำบากด้วยกัน เราต่อสู้มาด้วยกัน อุดมการณ์ที่เรามีร่วมกัน เราอย่าเป็นเหมือนที่เขาพูดว่า ไม่รบกับศัตรูแล้วเราจะฟัดกันเอง อย่าให้ได้ยินคำนั้นเลยนะคะ มันจะเป็นการทำลายกำลังใจของคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ด้วย เราอยากเห็นการพิสูจน์ตัวตนพันธมิตรฯ จริงๆ ในวันเสาร์ที่ 17 นี้อีกครั้งหนึ่ง แอนในนามของ ASTV แอนขอวิงวอนว่า ขอให้พี่น้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ดูซิว่า พันธมิตรฯ ยังรักกันเหมือนเดิม ยังเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนเหมือนเดิม มีอุดมการณ์ร่วมกันเหมือเดิม เราไปพบกันนะคะ วันที่ 17 วันเสาร์นี้ ที่สนามฟุตบอลเทศบาลเมืองชลบุรี ถ้าพ่อแม่พี่น้องไม่สะดวกใจที่จะซื้อบัตรจากตัวแทน หรืออะไรก็แล้วแต่ เรามีทีมงานที่จะกันบัตรไว้ส่วนหนึ่งไปขายให้พ่อแม่พี่น้องที่หน้างาน พี่น้องเราไปพบกันนะคะ เราพันธมิตรฯ เรารักกัน เอาละคะตอนนี้เราไปพบผู้ปราศรัยท่านแรกสำหรับวันนี้ ปรบมือต้อนรับพี่สาวิทย์ แก้วหวาน แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 2 ค่ะ สวัสดีค่ะ

สาวิทย์ - สวัสดีครับ พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่รักทั้งหลาย สวัสดีครับคุณแอน ที่ได้มาพบกันความจริงก็บ่อยที่เจอกัน ได้ทักทายกันบ้างไม่ได้ทักทายกันบ้าง รวมทั้งพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกท่านด้วย เราเจอกันหลายเวที ได้ทักทายกันบ้างไม่ได้ทักทายกันบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม อย่างที่คุณแอนได้พูดแล้วว่า เราต้องไม่ทิ้งอุดมการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรามีหัวใจเดียวกัน เรามีอุดมการณ์เดียวกัน ความรัก ความเกลียด ความชอบ ความชัง ผมเชื่อว่าทุกคนมี แต่ว่าเมื่อเรารวม เราหล่อหลอมเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้ว เรามีแต่ความรัก เรามีแต่การให้ เรามีแต่การเสียสละ เพราะฉะนั้นการก่อกำเนิดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นี่คือจุดเด่นของเราที่เป็นพลังให้เราได้ต่อสู้ แล้วทำให้เราประสบชัยชนะมาจนถึงทุกวันนี้

เพราะฉะนั้นความท้าทายของเรายังมีอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของการเมืองใหม่ ที่เราวาดหวังเป็นอย่างมากในการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การเมืองแบบประชาภิวัฒน์ ที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง ในการจะเลือกตัวแทน ในการกำหนดนโยบาย รวมทั้งร่วมขบวนการในการตรวจสอบด้วย ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่ของเรา วันนี้เรามาตกอยู่ที่การเมือง ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนขั้ว แต่ต้องยอมรับว่าเป็นการเมืองในระบบเก่า วิธีการได้มาซึ่ง ส.ส. วิธีการได้มาซึ่งรัฐมนตรี การจัดสรรแบ่งปันตำแหน่งทั้งหลาย จะดูเหมือนว่ามันไม่แตกต่าง มีภาพลักษณ์ไม่แตกต่างกับการเมืองในยุคสมัยที่ผ่านมา

แต่เราต้องยอมรับความจริงประการหนึ่งคือว่า สถานการณ์ขณะนี้ช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ผมเองพูดหลายครั้งว่าเป็นบทพิสูจน์ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลหลายๆ พรรค ว่าประสบการณ์ บทเรียนที่ผ่านมาทั้งหมด คุณจะสรุปอย่างไร คุณจะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไรท่ามกลางสถานการณ์ที่รุมเร้าทุกๆ ด้าน พวกเราเป็นกำลังใจให้กับทุกรัฐบาลถ้ารัฐบาลยืนอยู่บนทิศทาง ยืนอยู่บนครรลอง บนผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง ยืนยันเราให้การสนับสนุนทุกรัฐบาล

แต่ทุกรัฐบาลถ้าดำเนินนโยบายและบริหารผิดแผกแตกต่างไปจากเจตจำนงของพี่น้องประชาชน อันนี้ชัดเจนว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องยืนหยัดและยึดมั่นในอุดมการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะทำการตรวจสอบอย่างเข้มข้นทุกรัฐบาล อันนี้คือสิ่งที่ยืนยัน ผมคิดว่าพันธมิตรฯ ไม่ว่าจะในห้องส่ง หรือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งประเทศ และในต่างประเทศด้วย คงจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ถึงภารกิจ ถึงอุดมการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

การเลือกตั้งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้ฐานที่มั่น เสถียรภาพของรัฐบาลอาจจะดีขึ้นในสายตาของนักการเมือง รวมทั้งหลายคน รวมทั้งในต่างประเทศด้วย นั่นเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งผมคิดว่า รัฐบาลอย่าหยิ่ง อย่าลำพองใจอยู่กับคะแนนเสียงที่ได้มากขึ้น ภารกิจที่ท้าทายอีกมากมายที่ประชาชนเฝ้ามอง ภาวะวิกฤตในหลายๆ เรื่อง คงเป็นที่รัฐบาลจะต้องพิสูจน์ รวมทั้งเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม

วันนี้มีข่าวเยอะแยะมากมายออกมา เรื่องของกระบวนการในการเฟ้นหาผู้กระทำผิด กระบวนในการจะเอาคนกระทำความผิดมาลงโทษ เป็นความท้าทายของรัฐบาลประชาธิปัตย์ว่า การดำเนินการ การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้ยืนหยัดและยืนยันในเจตนารมณ์เพื่อสร้างสรรค์ประชาธิปไตย เพื่อสร้างสรรค์การเมืองใหม่ ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แล้วคนที่คิดร้าย จ้องปอง คิดร้ายประเทศไทย จ้องร้ายคนที่มาชุมนุมโดยสงบและก็ปราศจากอาวุธ แล้วก็ถูกฆ่าไป 10 กว่าศพ บาดเจ็บ 500-600 คน สิ่งเหล่านี้อยู่ในใจพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกๆ คน

และนั่นก็คือสิ่งหนึ่ง ที่อยากจะย้ำเตือนถึงจิตวิญญาณของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนของเราที่สูญเสียไป เพื่อนของเราที่บาดเจ็บ เพื่อนของเราที่พิกลพิการเหล่านั้น คนเหล่านั้นจะต้องไม่สูญเปล่า คนเหล่านั้นจะต้องไม่ตายฟรี และเมื่อเราจะกระทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็แล้วแต่ เราต้องไม่ลืมพี่น้องของเรา เราต้องไม่ลืมวีรชนของเราเหล่านั้นว่า เขาได้เสียสละ เขาได้ทุ่มเท เขาได้สูญเสียไปอย่างไร เราจะต้องไม่ลืมอุดมการณ์ของเขาเหล่านั้น เราจะต้องเดินไปข้างหน้าต่อไปอย่างมั่นคงนะครับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เรื่องของการปิดสนามบิน ที่มีข่าวเรื่องของการฟ้องร้องค่าเสียหาย การปิดทำเนียบรัฐบาลที่มีการเรียกร้องค่าเสียหายอย่างมากมายนะครับ ซึ่งในชีวิตหนึ่งในฐานะที่คนอย่างผมเองคิดว่า ในฐานะที่คนอย่างผมเองก็คงไม่สามารถที่จะใช้หนี้เหล่านั้นได้หมด แต่เราก็ยืนยัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเราก้าวสู่ถนนการต่อสู้แล้ว ทุกตารางหรือแม้แต่ความตาย เราก็ไม่ได้ประหวั่นพรั่นพรึงใดๆ อันนั้นคือจิตวิญญาณของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

เราก็จะเห็นว่าทุกครั้งที่มีการสูญเสีย พวกเราก็จะเพิ่มมากขึ้น เพื่อจะเป็นกำลังใจให้กันและกัน เพราะฉะนั้นคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก็ต่อสู้ไปตามขบวนการ แต่แน่นอนอุดมการณ์ของเราก็ยังมั่นคง มีจุดยืนที่เด็ดเดี่ยว เพราะฉะนั้นการปิดสนามบินก็ดี อยากจะกราบเรียนพี่น้องโดยทั่วไปครับ กราบเรียนพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งว่า การมาดูที่ปลายเหตุนั้นอาจไม่เห็นมูลเหตุที่แท้จริง ว่าเหตุผลอะไรที่เราไปชุมนุม 193 วัน

ทำไมต้องไปปิดถนนราชดำเนิน ทำไมต้องไปปิดทำเนียบรัฐบาล ทำไมต้องไปปิดดอนเมือง ทำไมต้องไปปิดสุวรรณภูมิ ถ้าเราดูกันแค่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงจังหวะวัน เวลา ที่ไปกระทำการนั้นเราก็จะไม่ได้เห็นความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้น

ถ้าย้อนหลังกลับไปดูเรื่องระบอบทักษิณ เราก็จะเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมประชาชนเรือนแสนเรือนล้าน ถึงลุกขึ้นมาในการที่กระทำการที่อาจหาญและก็ท้าทายต่ออาญาบ้าน อาญาเมือง ท้าทายต่อสิ่งที่สังคมจะถูกประณามในทุกมิติ แต่เหตุผลที่ทำไปเพราะว่า ปฐมเหตุจริงๆ ก็คือระบอบทักษิณ ที่ได้ทำร้ายประเทศไทย โกงกินคอร์รัปชั่น ถ้าเราไม่พูดในสิ่งเหล่านี้ ประชาชนที่มาจับต้องมาเอาแค่สถานการณ์ที่มันเกิดขึ้น ก็จะไม่เข้าใจว่าเหตุและผลอะไรที่ประชาชนได้ลุกขึ้นมา มากมายขนาดนั้น ได้ดำเนินการในจุดที่สำคัญๆ เพื่อที่จะต่อต้านระบอบทักษิณ ที่ๆ มีการโกงกิน คอร์รัปชั่น ไปในทุกรูปแบบ

สนามบินสุวรรณภูมิที่เราไปปิด ตั้งแต่ถมเม็ดทรายในหนองงูเห่า จนเป็นสนามบินเนี้ย มีการทุจริตเป็นหลายแสนล้านบาทมาก เมื่อเปรียบเทียบกับความเสียหาย ที่หลายฝ่ายบอกว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปปิด แค่สนามบินสุวรรณภูมิเพียงแห่งเดียวนะครับ ตั้งแต่ถมทรายเม็ดแรกลงไปในหนองงูเห่าจนเป็นสนามบิน วันนี้ก็ยังมีการทุจริตคอร์รัปชั่นที่กำลังสืบสาวราวเรื่องหลายแสนล้านบาทมาก ผมเองอยู่ในรัฐวิสาหกิจนะครับ โครงการในรัฐวิสาหกิจหลายแห่งนะครับ ที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น

การแปรรูป ปตท. นะครับวันนี้ก็ได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วว่า ประชาชนเสียหายอย่างไร ประชาชนเดือดร้อนอย่างไร การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต โชคดีตรงที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี'49 ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้เคลื่อนไหว ทำให้ขบวนการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตนั้น ไม่สามารถที่จะเดินหน้าต่อไปได้

ถ้าเกิดเดินหน้าต่อไปได้ พี่น้องก็คงจะเห็นภาพชัดเจนว่าจะเดือดร้อนอย่างไร นึกภาพง่ายๆ ว่าวันนี้เรามีครอบครัวเรือนทั้งหมดเนี้ย 16 ล้านครัวเรือน เราใช้ไฟสมมติว่าครอบครัวละ 1 ยูนิต ก็ 16 ล้านยูนิต แต่ว่าจริงๆ แล้วครอบครัวหนึ่งใช้ไฟเนี้ยร่วม 100 ยูนิต ลองคิดดูว่าเอา 15 ล้านครัวเรือนลองเอาไปคูณดู ถ้าปรับเพิ่มยูนิตละ 1 บาท ลองคิดดูว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ถ้าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตถูกขายไปนะครับ น้ำที่ระบอบทักษิณทำไว้แต่ก่อน หลายคนคงจะจำได้ น้ำเอื้ออาทร น้ำประชานิยม ลิตรละ 1 บาท พี่น้องคงจะจำได้ การประปานครหลวง การประปาฝ่ายผลิต น้ำ 1 หน่วย คิดราคาเพียง 5-8 บาท 1 หน่วยก็คือ 1 พันลิตรนะครับ 1 ยูนิต ถ้ารัฐบาลของระบบทักษิณคิดในขณะนั้น 1 ลิตร 1 บาท เท่ากับว่า 1 หน่วยก็เท่ากับ 1,000 บาท นี่คือสิ่งที่โกหกประชาชนมาตลอด

ประกันชีวิตเอื้ออาทรวันละ 1 บาท หลายคนที่ทำประกันชีวิตหมู่ก็คงจะเห็นว่า การทำประกันชีวิตหมู่ใช้เงินเพียงร้อยกว่าบาท ก็สามารถทำประกันชีวิตหมู่ได้แล้ว แต่เขาบอกว่าทำประกันชีวิตวันละ 1 บาท ปีหนึ่ง 365 วัน 365 บาท ซึ่งเป็นเงินที่มากมาย เป็นเรื่องที่โกหกหลอกลวงพี่น้องประชาชนทั้งสิ้น เป็นเรื่องของการมอมเมา คนที่ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็นก็จะเชื่อ และก็งมงายในสิ่งเหล่านี้ นั่นคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นอีกหลายต่อหลายเรื่อง

การทุจริตเชิงนโยบาย การเอาทรัพย์สมบัติของชาติไปให้คนต่างชาติยึดครอง ถือครอง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ ถ้าเราเท้าความไปเห็นข้างหลัง ในระบอบทักษิณเราจะเห็นว่า ทำไมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงต้องลุกขึ้นมา ณ วันนี้

เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า อยากจะกราบเรียนพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกๆ ท่านว่า เราในฐานะที่เป็นแกนนำไม่ว่าจะเป็นรุ่น 1 รุ่น 2 รวมทั้งเพื่อนผองน้องพี่ หลายๆ ท่าน หลายๆ คนด้วยกัน ไม่ได้หวั่นวิตกกับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น หวังอยู่เพียงอย่างเดียวว่าเราจะร่วมกันทำอย่างไร สร้างอุดมการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างไร ให้เป็นอุดมการณ์ที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติที่แท้จริง แล้วก็ต้องเชื่อมร้อยสัมพันธ์กันในทุกภาคส่วน ในทุกภาค เพื่อสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลทั้งวันนี้ และก็วันข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนนะครับ เราจะต้องทำหน้าที่ของเราอย่างเข้มข้นไป

ในอุดมการณ์ที่เรามีอยู่และก็ร่วมกันต่อสู้ 193 วัน หรืออาจจะไม่แน่ในวันข้างหน้า อีกไม่กี่วัน กี่เดือนข้างหน้า ถ้าหากว่ารัฐบาลยังบิดเบือน ไม่ดำเนินการไปในตามเจตนารมณ์ที่เราได้ตั้งไว้ ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะลุกขึ้นมาขับเคลื่อนนะครับ ในวันข้างหน้าต่อไปอีกก็เป็นได้นะครับ เพราะเราไม่ได้คาดหวังในตำแหน่งอะไรนะครับ นั่นคือสิ่งกระทำมาทุกรัฐบาลในการขับไล่ ในการขับเคลื่อน

แล้วก็วันนี้นะครับ ในเรื่องของภาวะทางด้านเศรษฐกิจที่ผมคิดว่า มันเป็นส่วนที่หลายฝ่าย หลายคนได้ติดตาม ได้เฝ้าดูว่ารัฐบาลนี้จะไปอย่างไร โครงการหลายๆ อย่างที่เห็นออกมาในขณะนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าจับตามอง วิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ เป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่มาก ปี พ.ศ.2540 วิกฤตภายในประเทศนะครับ ซึ่งถ้าเปรียบเหมือนเม็ดทรายโยนในมหาสมุทร ก็อาจจะกระเพื่อมน้อย แต่วันนี้เกิดวิกฤตในอเมริกา ซึ่งเป็นหัวโจกใหญ่ของทุนเสรีนิยม วันนี้ส่งผลกระเทือนไปทั่วโลก

ปี'40 เราเกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ เรายังมีตลาดในต่างประเทศที่สามารถผลิตสินค้าแล้วก็ส่งออกได้ ภาคการผลิตที่แท้จริงก็สามารถยังส่งออกได้ แต่วันนี้เศรษฐกิจในอเมริกา ยุโรป แล้วก็ส่งผลกระเทือนไปทั่วมีปัญหา แล้วเศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งพา พึ่งตลาดต่างประเทศสำคัญ ไม่ได้เน้นการเติบโตภายในประเทศ ไม่ได้เน้นเศรษฐกิจแบบยั่งยืน แบบพึ่งตนเอง เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในระบบโลก แน่นอนที่สุดย่อมส่งผลสะเทือนอย่างหนักหน่วงมากกว่าปี 2540 ถึงแม้หลายคนจะออกมาปลอบใจอย่างไรก็แล้วแต่

ภาวะเหล่านี้ไม่อาจจะหลีกหลุดรอดไปได้ มีการประเมินกันว่าอีกในปี 2552 จะมีการตกงานร่วม 2 ล้านคน นี่จากการประเมินของรัฐบาล แต่ผมเองในฐานะที่อยู่ในภาคแรงงาน สิ่งที่เป็นข้อมูลจากทางราชการถ้าออกมาแค่นี้ก็ต้องบวกเพิ่มเข้าไป ในความเป็นจริงที่มันตกสำรวจ ไม่ได้สำรวจจริงๆ จะมีมากกว่านี้ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นความท้าทายของรัฐบาลว่า จะฝ่าในสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นในส่วนของพวกเราในฐานะที่เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต้องการจัดวางเพื่อให้ประเทศไทยก้าวเดินสู่ทิศทางข้างหน้าด้วยความมั่นคง เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เราต้องทำความเข้าใจร่วมกัน ต้องตระหนักร่วมกันว่า เราจะใช้ระบบเศรษฐกิจแบบไหนในการพัฒนาประเทศ

แล้วในวันนี้ ผมคิดว่าในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะขบวนการพี่น้องผู้ใช้แรงงาน อยู่ในภาวะที่หวั่นวิตกกังวลเป็นอย่างมาก และในสถานการณ์ขณะนี้ยังมีนายจ้างหลายคนที่ใช้โอกาส ใช้จังหวะวิกฤตเศรษฐกิจ ใช้เป็นข้ออ้าง บอกว่าออร์เดอร์ไม่เข้า เกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถส่งออกได้ ก็เลิกจ้างคนงาน ลดเงินเดือน ลดสวัสดิการ ทั้งๆ ที่บริษัทเหล่านั้นอาจจะไม่ขาดทุนจริง ไม่ได้มีภาคการผลิตที่ลดลงจริง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราเฝ้าระมัดระวังกันอยู่ในขณะนี้

สิ่งที่ผนวกกันเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความท้าทายในทุกภาคส่วนของประเทศไทยทั้งนั้นในการจะเดินไปข้างหน้า แต่ผมมีความเชื่อมั่นว่า ถ้าเราสร้างระบบการเมืองที่เรานำเสนอในเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่าการเมืองใหม่ ภายใต้ระบบการเมืองใหม่ เศรษฐกิจแบบใหม่ วัฒนธรรมแบบใหม่ ที่เราร่วมกันออกแบบนั้น จะเป็นทางออกให้กับสังคมไทย

แต่วันนี้เรายังให้เวลากับรัฐบาลในการทำงานอยู่ว่า สิ่งที่เรานำเสนอสะท้อนออกไปทางสังคมนั้น ซึ่งถ้าเราดูในเนื้อหาสาระแล้ว โดยไม่มีจิตใจเอนเอียง โดยมีจิตใจใส่ร้ายป้ายสีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะเห็นว่า สิ่งเหล่านั้นถ้าทำได้แล้วจะนำพาประเทศไปสู่สังคมใหม่ที่มีความมั่นคง มีความผาสุกในทุกส่วนอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นในสิ่งเหล่านี้ ผมคิดว่าเราคงจะคาดหวังจากระบบการเมืองที่เป็นการเมืองแบบเก่าไม่ได้ การเมืองใหม่เราจะต้องร่วมสร้าง แล้วจะต้องร่วมรณรงค์

เพราะฉะนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จำเป็นจะต้องสร้างอุดมการณ์ร่วมกันให้เป็นปึกแผ่น ให้ลงรากลึกมากกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบัน 193 วัน เรานำเสนอเรื่องราวบนเวทีในการชุมนุมเยอะแยะมากมาย มาวันนี้เราต้องเข้าใจ เราต้องสร้างอุดมการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยร่วมกันว่า ณ เวลาต่อจากนี้ไปเราจะทำอะไร

อุดมการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเราจะทำอะไร ในภารกิจ เมื่อเราทราบภารกิจ เราทราบอุดมการณ์ เมื่อเราทราบอุดมการณ์แล้วเราจะมีภารกิจ เมื่อเรามีภารกิจแล้วเราจะมีกิจกรรม อุดมการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะทำอะไร เพื่อการตรวจสอบเพียงอย่างเดียว หรือจะมีกระบวนการอื่น สิ่งเหล่านี้จะต้องขบต้องคิดกันว่าเราจะแค่ไหนอย่างไร จะเอาแค่การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว หรือจะทำงานในส่วนของการเข้าสู่อำนาจรัฐเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลง

ถ้าเราหวังจากนักการเมืองไม่ได้ หรือจะเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่อำนาจรัฐในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองเสียเอง ก็จำเป็นจะต้องคิดกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องราวใหญ่ๆ โตๆ อย่างนี้คิดคนเดียวไม่ได้ คิดลำพังเพียงกลุ่มเดียวไม่ได้ จำเป็นจะต้องเชื่อมประสานกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเรามีหัวใจเดียวกันในการร่วมสร้างการเมืองใหม่ร่วมกัน

เพราะฉะนั้นภารกิจที่ท้าทายเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เป็นเรื่องที่ทำคนเดียวไม่ได้ จำเป็นต้องใช้คนเยอะ เพราะฉะนั้นจงจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม ระหว่างเพื่อน ระหว่างพวกให้ดี ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ก้าวผ่านมันไป มองถึงเป้าหมายใหญ่ว่าเรากำลังทำอะไร เราทำงานใหญ่ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราอาจจะสนใจ แต่สิ่งไหนไม่สำคัญก็ปล่อยวางไว้ก่อน ความขัดแย้งส่วนบุคคลปล่อยวางไว้ก่อน เอาปัญหาใหญ่ เรายังมีเรื่องราวที่ต้องทำ เรามีเรื่องราวที่จะต้องต่อสู้เยอะแยะมากมายหลายเรื่อง

จากความท้าทายที่ผมพยายามนำเสนอมาแล้วทั้งหมด เพราะฉะนั้นอยากจะฝากไปถึงพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกๆ ท่าน เราใช้จิตวิญญาณในการหล่อหลอม 193 วัน อย่าให้ 193 วันต้องสูญเปล่า อย่าให้พี่น้องเราที่เสียชีวิตต้องตายฟรี อย่าให้คนที่แขนขาขาดต้องพิการไปแบบไม่ได้อะไรกลับมา เพราะฉะนั้นพวกเราจะต้องร่วมกันผนึกกำลังอย่างเต็มเหนี่ยว ละทิ้งความขัดแย้งที่มีอยู่เล็กน้อยแล้วก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ด้วยความมั่นคง เพื่อร่วมกันสรรค์สร้างสังคมใหม่ เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง แล้วเป็นประชาธิปไตยของประชาชนที่แท้จริงต่อไป ขอขอบพระคุณครับ

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (14/01/52) ช่วงที่ 2

จินดารัตน์ - กลับมาช่วงนี้ก่อนที่เราจะไปพบผู้ปราศรัยท่านต่อไป ซึ่งดูเหมือนจะหล่อเหลาเอาการขึ้นทุกวัน ไม่รู้ไปทำอะไรมา เดี๋ยวคงจะต้องตอบคำถามนี้ด้วย ขออนุญาต มีข่าวเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา พ่อแม่พี่น้อง ประธานกลุ่มรักประชาธิปไตย คือ นายสุขุม วงศ์ประสิทธิ์ อายุ 40 ปี พานายประเทือง ขุนทด อายุ 38 ปี ไปที่ สน.ดุสิต แจ้งความ นายประเทือง ศีรษะและแขนขวาช้ำ ไปแจ้งความว่า ถูกคนร้ายรุมทำร้ายร่างกายโดยมีกลุ่มเสื้อแดงอยู่ประมาณ 20 คนเดินทางมาให้กำลังใจ นายสุขุมเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณตี 2 ที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มรักประชาธิปไตย ประมาณ 20 คนทั้งผู้หญิงผู้ชาย ชุมนุมกันอย่างสงบปราศจากอาวุธ คุ้นๆ นะคะคำนี้ ที่หน้าประตู 3 ทำเนียบรัฐบาล โดยไม่มีการ์ด ไม่มีเฝ้ายาม หรือไม่มีอาวุธป้องกันตัว โดยผู้ชุมนุมบางคนหลับพักผ่อนอยู่ จากนั้นมีรถยนต์ 2 คัน คันแรกเป็นรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ สีบรอนซ์ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน คันที่ 2 เป็นรถสีดำไม่ทราบยี่ห้อ เข้ามาจอดบริเวณดังกล่าว นายสุขุมเล่าต่อ จากนั้นมีชายฉกรรจ์ 3 คน ใส่แจกเก็ตสีดำ มีผ้าพันคอสีแดง เดินเข้ามาถามว่า ใครเป็นแกนนำ นายสุขุมบอกว่า นึกว่าเป็นพวกเดียวกันเห็นผ้าพันคอสีแดง เลยบอกไปว่าผมเองเป็นแกนนำ จากนั้นชายฉกรรจ์คนหนึ่งในกลุ่มนั้น ชักอาวุธปืนออกมาจี้ที่ตัวเอง แล้วตะโกนว่า พรุ่งนี้พวกมึงหยุดชุมนุมเลยนะ ไม่อย่างนั้นพวกมึงตาย จากนั้นมีชายฉกรรจ์อีก 7 คน แต่งกายลักษณะเหมือนกัน เดินเข้ามาถ่ายรูปพวกตัวเองไว้ทีละคน ขณะนั้นเองนายประเทือง เดินเข้ามาเอาน้ำมาบริจาคให้กับกลุ่มที่ว่านี้ ปรากฏว่าชายฉกรรจ์ล็อกตัวเอาไว้แล้วรุมทำร้ายร่างกายทันที กลุ่มชายฉกรรจ์ดึงป้ายห้อยคอของกลุ่มรักประชาธิปไตยออกไปหมด แล้วขู่ว่า พรุ่งนี้อย่ามาชุมนุมอีกนะ ถ้ามาตาย นายสุขุมจึงบอกว่า อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่แถวๆ นั้น เพื่อดูกลุ่มคนร้ายและขอภาพถ่ายการ์ดพันธมิตรฯ ด้วย เพราะนายสุขุมบอกว่า เนื่องจากคนที่ทำร้ายร่างกาย ชายฉกรรจ์พวกนี้หน้าตาเหมือนการ์ดพันธมิตรฯ แล้วให้เจ้าหน้าที่เร่งจับตัวดำเนินการ คือการ์ดพันธมิตรฯ ไม่ได้ทำโคลนนิ่งกันมานะคะ หน้าไม่เหมือนกัน ร้อยพ่อพันแม่มาจากไหนไม่รู้ แล้วส่วนใหญ่เป็นการ์ดอาสา คืออยากจะบอกนายสุขุมกับพรรคพวกว่า ตอนนี้การ์ดอาสาของเราทั้งหมดกลับบ้านไปทำมาหากินกันแล้ว ไม่มาเสียเวลากับกลุ่มคน 20 คนหน้าทำเนียบหรอกเสียเวลาเปล่า สุขุมเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า แล้วผ้าพันคอสีแดงมันสีแสลงหัวใจเขาไม่ใช้กันหรอก ถ้าเขาจะใช้เขาใช้สีเหลือง การ์ดพันธมิตรฯ ใช้ผ้าพันคอสีเหลืองหรือไม่ก็สีฟ้า จำเอาไว้ด้วยสุขุม ที่สำคัญที่สุด อยากจะบอกว่าการ์ดอาสาของเราทุกคนเขามีอาชีพ เขาไม่ใช่นักเลงอันธพาล เพราะฉะนั้นถ้าจะโบ้ยความผิด จะสาดสีใส่ใคร มีเหตุผลนิดนึง แล้วไม่รู้วันนี้กล้าไปชุมนุมอีกหรือเปล่า เดี๋ยวต้องส่งนักข่าวไปดูนะคะ เอาละคะพ่อแม่พี่น้องนี่คือข่าวคราวที่นำมาเล่าให้ฟัง ท่านต่อไปที่บอกว่า ไม่รู้ไปทำอะไรมา หล่อวันหล่อคืนจริงๆ ค่ะ พบกับคุณการุณ ใสงาม สวัสดีค่ะพี่การุณคะ

การุณ - สวัสดีครับ หน้าตาเหมือนผมหรือเปล่านะครับคนที่เข้าไป การ์ดพันธมิตรฯ ของเรานะคุณแอน เป็นประธานบริษัทก็มี เป็นเจ้าของโรงแรมก็มี เป็นหัวหน้าคนงานของโรงงานอุตสาหกรรมที่มีขนาดคนงานประมาณ 2-3 พันคนก็มี เป็นเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจที่มีเงินเดือน 4-5 หมื่น 7-8 หมื่นบาทก็ คือการ์ดอาสาของเรามีทุกสาขาอาชีพ เป็นการ์ดอาสาที่มีคุณภาพ มีคุณธรรม เป็นการ์ดอาสาที่มีอาชีพมั่นคง ไม่เสียเวลามาเดินขู่เล่นแบบนี้ อันนี้เรื่องการ์ดอาสา

วันนี้ดีกว่าที่ผมอยากจะมาพูดคุยกับพี่น้องที่เคารพ ห่างเหินกันไปหลายวัน เป็นเดือนหลายเดือนก็มี ผมมีโอกาสไปที่อเมริกากับคุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เมื่อหลังจากเราพักการชุมนุม ไปที่อเมริกานั้นไป 7-8 เมือง ที่ซีแอตเติล เดนเวอร์ ลาสเวกัส แอลเอ ลอสแองเจลิส ไปหลายเมือง 6-7 เมือง 8 เมือง พบปะพี่น้องพันธมิตรฯ ผู้เคารพนับถือที่อเมริกาหลายคน แต่ละแห่งก็หลายร้อยคน ไปที่นั่นแล้วก็กลับมา ทีนี้มาวันนี้ ทางรายการบอกว่าจะให้เวลาประมาณ 20-25 นาที ตอนแรกเราคิดว่าเวลาให้เรา 20 นาทีสำหรับการุณจะน้อยไป พูดเรื่องเวลาน้อยหรือมากไม่ใช่ เพราะ 20 นาทีก็ตาม หรือแม้แต่ 5 นาที 10 นาทีก็ตาม สามารถพูดให้เกิดสงครามก็ได้ สามารถให้ยุติสงครามเป็นสันติภาพก็ได้ สามารถพูดให้เกลียดก็ได้ ให้ชังก็ได้ ให้รักก็ได้ ให้สงสารเห็นใจก็ได้ เพราะฉะนั้น 20 นาที หรือเวลาประมาณเท่าไหร่ก็ไม่ใช่หลักสำคัญ อยู่ที่วันนี้เราจะพูดคุยเรื่องอะไร

ผมในฐานะว่างเว้นไปเป็นเวลานานก็อยากจะนำเสนอวันนี้ ที่จริงผมเคยพูดหลายแห่ง แม้แต่ไปที่สหรัฐอเมริกา เขาตั้งประเด็นเดียวกัน คือประเด็นว่า ประชาชน.....ชนะแล้ว? ซึ่งถือเป็นการตั้งประเด็นในการพูดคุยที่น่าสนใจและดีมาก เป็นประเด็นที่น่าตอบคำถามเพราะมีเครื่องหมาย "?" ด้วย ผมเองนำเสนอว่า ในสถานการณ์อย่างนี้ สิ่งที่ควรพูดน่าจะเป็น 2 ประเด็นใหญ่ น่าจะเป็น 2 เรื่องใหญ่ๆ

เรื่องที่ 1 ที่ควรจะพูด คือเรื่องสถานการณ์ที่ผ่านมา 193 วัน ที่พี่น้องประชาชนร่วมกันเรือนแสนเรือนล้าน หลายๆ ล้าน ทั้งอยู่ที่บ้านอยู่ที่อะไรต่าง เหตุการณ์ 193 วันเป็นเหตุการณ์ที่ควรจะสรุปบทเรียนหรือไม่ นี่เป็นประเด็นที่ 1

ประเด็นที่ 2 ที่ควรจะพูด ว่าบัดนี้รัฐบาล เป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บวกกับเนวิน ชิดชอบ ประเด็นนี้ก็น่าจะพูด ใน 2 ประเด็นนี้ควรจะวิเคราะห์ และมีเรื่องที่ควรจะวิเคราะห์เยอะมาก มีข้อที่ควรจะอภิปราย หรือถกเถียงเยอะมากในแต่ละเรื่อง ในวันนี้ด้วยเวลาจำกัด ผมคิดว่าผมควรจะนำเสนอสัก 1 เรื่องสั้นๆ โดยสรุป

193 วันที่ผ่านมาของพี่น้องประชาชนที่ร่วมกันด้วยความองอาจ กล้าหาญ เข้มแข็ง อดทน ประกอบร่วมกันทั้งหมด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราลงทุนลงแรงมาก การลงทุนลงแรงครั้งนี้ถ้าคิดเป็นตัวเงิน ส่วนใดที่สามารถคิดเป็นตัวเงินได้ก็คำนวณตัวเงิน เช่น ค่ารถ ค่าใช้จ่าย ค่าเสียหาย ค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าสึกหรอ ค่าเสียเวลา ค่าล่วงเวลา ซึ่งวันที่มาร่วมการชุมนุมเราไม่สามารถทำงานได้ ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ค่าใช้จ่ายค่าเสียหายต่างๆ เหล่านี้สามารถตีราคาเป็นเงินได้

หลายคนอาจค่าแรงแตกต่างกันที่มาร่วมชุมนุม เราบอกแล้วเรามีทุกสาขาอาชีพ มีทุกระดับชั้น ไม่ว่ากรรมกร ไม่ว่าชาวนา ไม่ว่าพ่อค้าแม่ขาย ข้าราชการ นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ทุกประเภท บางคนรายได้วันหนึ่ง 200 บาท 300 บาท 500 บาทต่อวัน บางคนรายได้วันๆ หนึ่ง 3-4 หมื่น 5-6 หมื่น หรือวันละแสน เพื่อให้เขาหยุดงานเขาก็ไม่หยุดแต่เขามาร่วมชุมนุม เราตีรวมกัน บางวันจำนวนธรรมดาก็ 2 หมื่นคน 3 หมื่นคน ถ้าวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ อาจจะ 5 หมื่น 7 หมื่น 8 หมื่นคน ถ้าเป่านกหวีดก็ 4-5 แสนคน 5-6 แสนคน แม้ไม่เป่านกหวีดก็ตามถ้าเห็นสถานการณ์สำคัญ ก็ 4, 5, 6 แสนคน เต็มท้องถนนเต็มสะพานมัฆวานฯ เลยมาถึงเวทีราชดำเนิน หน้ากองทัพบก ออกไปทางนู้นไปถึงหน้าลานพระรูป ล้อมรอบด้วยทำเนียบรัฐบาลและในทำเนียบเต็มแน่นขนัด หาที่เดินที่ยืน หาที่เยี่ยวที่ขี้กันไม่ได้ แน่นกันไปหมดครับ

ค่าเสียหาย ค่าใช้จ่ายที่เราคิดเป็นตัวเงินได้ คิดเป็นเงินแล้วหลายหมื่นล้านบาท ผมลองคำนวณย่อๆ คร่าวๆ เพียงแค่ค่ารถเฉลี่ยแล้วคนละ 300 500 คนละพันต่อวัน 193 วัน ทั้งวันที่มีจำนวนมากและวันที่มีจำนวนพอเหมาะพอน้อย หมายหมื่นล้านบาท ค่าใช้จ่ายที่สามารถคำนวณเป็นตัวเงินได้ แล้วค่าเสียหาย ค่าเสียเวลาที่พี่น้องเรือนแสน หลาย ๆ แสน เรือนล้าน หลายๆ ล้าน ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ในอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ยุโรป ทั่วโลก ที่อดตาหลับขับตานอนนั่งอยู่หน้าจอทีวีดูทีวี กินข้าวหน้าจอทีวี นอนหน้าจอทีวี ไปเข้าห้องน้ำยังแง้มประตูดูทีวี กลัวจะหลุดข่าวกลัวจะตกประเด็น

เวลาเกิดสถานการณ์ร้องห่มร้องไห้ บาดเจ็บ เห็นเลือดของพี่น้องพันธมิตรฯ ของเราถูกตำรวจยิง ถูกเสื้อแดงรังแก ถูกอะไรต่างๆ พี่น้องเราโทรศัพท์กันจ้าละหวั่น แต่ละมุมเมือง แต่ละมุมโลก เป็นยังไงดูไหม เป็นยังไงเห็นไหม แต่ละคนนั่งร้องห่มร้องไห้ อันนี้คิดคำนวณเป็นเงินไม่ได้ แต่มีมูลค่าสูงมาก ความรู้สึก จิตใจ ความเครียด เหงื่อไคล ความยากลำบาก อดตาหลับขับตานอน คำนวณเป็นเงินไม่ได้เลย มันมหาศาลจริงๆ ไหนจะค่าที่พี่น้องเราร่วมทำ ร่วมต่อสู้ 193 วัน ที่บาดเจ็บ บาดเจ็บ 500-600 กว่าคน บาดเจ็บธรรมดา บาดเจ็บรักษา 2 วัน 7 วัน 15 วัน บาดเจ็บทั่วไป 500-600 คน พิการ 20-30 คน ที่แขนขาดขาขาดตลอดชีวิต ตาบอด 1 ข้าง ตาบอด 2 ข้าง สมองยังพิการอยู่ ทั้งหมดเบ็ดเสร็จ พิการทั้งหมด 20-30 คน พิการทั้งชีวิต ที่จะต้องดูแลกันตลอดชีวิตจนวันตายของเขา ตายและเผาไปแล้วทั้งหมด 10 ศพ 7 ตุลาที่เกิดเหตุมาถึงวันนี้ครบ 100 วันพอดี หลายส่วนหลายที่จัดพิธีทำบุญ 100 วัน

ท่านครับต้นทุนที่ลงนี้มากเกินกำลังที่จะรับ เกินกำลังที่จะนับ เกินกำลังที่จะคำนวณจริงๆ 193 วันนี้ ผลผลิตของ 193 วัน จากการร่วมแรงร่วมใจ ร่วมทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งหมด 193 วัน ของพี่น้องประชาชนเรือนแสน เรือนล้าน หลายๆ ล้าน ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่ว่ามานี้ท่าน เกิดผลผลิตอะไรบ้างใน 193 วัน

ผมลองทำผัง ทำชาร์ต ทำแผนภูมิ แผนภาพมาดูอย่างย่อๆ แน่นอนอาจจะแผ่นกระดาษแผ่นเดียว เขียนได้ไม่ละเอียด เขียนได้ไม่ชัด เขียนได้ไม่ครบ แต่ผมเอาหลักใหญ่ๆ มาลองดู เป็นแผนภาพที่กำหนด ที่ควรดู ผมขอนำเสนอแผนภาพนะครับ ที่ผมลองเขียนมาดูคร่าวๆ ท่านครับถ้าจับภาพให้นิ่ง นิ่งได้หรือยังครับ นิ่งได้นะ

เอาละครับ เราลองมาดูแผนภาพที่ว่านี้ด้วยกัน ประมาณวันที่ 25 มกราคม ปี'51 ผมทำลูกศรชี้ในแนวนอนลิ่วเข้ามา ทำให้ท่านดูขวามือเลยครับ เป้าหมายของการต่อสู้เรียกร้องของเรานั้น ดูเหมือนจะมีอยู่ 4 ประการหลักๆ บางประการนั้นเกิดขึ้นช่วงแรก ช่วงเริ่มต้นของ 25 พฤษภาฯ ปี'51 แต่บางข้ออาจเกิดขึ้นท่างกลางการต่อสู้ ข้อ 1 คือการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นี่คือเป้าหมายหลัก เพราะเราเห็นว่าการจะแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 237 กรณียุบพรรคให้กรรมการบริหารพรรค เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี ก็ตาม แก้เพื่อให้พ้นผิดไม่ว่าพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนที่กำลังอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ พรรคชาติไทย อีกพรรคมัชฌิมาธิปไตยก็ตาม หรือแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 309 กรณีที่จะให้ คตส. ไม่มีสภาพของความเป็น คตส. คตส.ทำหน้าที่และสอบสวน สำนวนของการสอบสวน คตส. นั้นเป็นโมฆะและใช้ไม่ได้ก็ตาม เพื่อให้การฟ้องคดีของระบอบทักษิณ ของกลุ่มทักษิณ รัฐมนตรีในระบอบทักษิณที่ทำการทุจริตโกง คดโกงทั้งหมด 13-14 สำนวนคดีก็ตาม มูลค่าเป็นหลายแสนล้านก็ตาม ให้พ้นผิดไป เราคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี'50 ในมาตราสำคัญๆ ดังต่อไปนี้

และแม้แต่ท่ามกลางการต่อสู้ มีกรณีเรื่องพระวิหาร ในกรณีมติคณะรัฐมนตรีที่ยกดินแดน สูญเสียดินแดน สูญเสียอธิปไตยพระวิหารไปให้กับกัมพูชาก็ตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 190 ในการที่รัฐบาลฝ่ายบริหารจะทำ มีมติ หรือจะทำสัญญา สนธิสัญญาใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตย เกี่ยวข้องกับดินแดน เกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมาย เกี่ยวข้องกับการสูญเสียอำนาจอธิปไตย เกี่ยวข้องกับประการใดก็ตาม ที่สำคัญในเรื่องเหล่านี้ จะต้องขอมติของรัฐสภา คือ ผู้แทนราษฎรบวกด้วยสมาชิกวุฒิสภา พร้อมกันด้วยก็ตาม ซึ่งนี่เป็นประเด็นต่อมาที่เกิดขึ้นในท่ามกลางการต่อสู้ของรัฐบาลสมัคร ท่านเห็นไหมครับการพัฒนาต่างๆ เหล่านี้คือการต่อสู้เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นี่คือข้อที่ 1 ต้องดูฝั่งขวามือเช่นเดียวกันนะครับ

ข้อที่ 2 คือเราต้องการที่จะโค่นระบอบทักษิณ นี่คือประเด็นข้อที่ 2 เพราะเราได้ต่อสู้ตั้งแต่ปี 2549 เรื่อยมา '48 '49 เรื่อยมา กรณีโค่นระบอบทักษิณที่สร้างระบอบขึ้นมา ใช้เครื่องมือที่เรียกว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ ใช้เครื่องมือที่เรียกว่าอำนาจบริหาร ใช้เครื่องมือที่เรียกว่าอำนาจนิติบัญญัติทั้งผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ใช้เครื่องมือที่เรียกว่ากฎหมายระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ข้าราชการทั้งปวง ทุกหมู่ ทุกเหล่า มาเป็นเครื่องมือทั้งหมดของระบอบทักษิณ แล้วทำการทุจริตโดยการคด โดยการโกง โดยในเครื่องมือทั้งหมด ทำการทุจริต ทุจริตแล้วก็ปกป้องการทุจริตของตัวเอง ให้ตัวเองพ้นผิดไป เป็นระบอบที่ชั่วร้าย เราต้องการโค่นระบอบทักษิณและขับไล่ระบอบทักษิณ จนกระทั่งเกิด คมช. และ คมช. ตั้ง คตส. และ คตส. ส่งให้อัยการสูงสุด ส่งสำนวนไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญา จนกระทั่งเกิดคำพิพากษาคดีที่ดินรัชดา จำคุกทักษิณ 2 ปีก็ตาม เห็นไหมครับ เราต้องการโค่นระบอบทักษิณต่อจากนั้นมาการเลือกตั้ง ปรากฏว่าไทยรักไทยแปรรูปมาเป็นพลังประชาชน พลังประชาชนมาสร้างการเลือกตั้งขึ้นมา ซึ่งเป็นการทุจริตเกือบทั่วประเทศ แล้วสุดท้ายได้เสียงข้างมาก รวบรวมเสียงข้างมากมาจัดตั้งรัฐบาล โดยมีคุณสมัคร เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น นั่นก็คือเราโค่นระบอบทักษิณ

ก็เกิดข้อที่ 3 คือ ขับไล่รัฐบาลที่เป็นนอมินี เป็นทรราช ที่เป็นสมุนทรราช สมุนทรราชขอบระบอบทักษิณ ที่ทำการรับใช้ระบอบทักษิณ และใช้เครื่องมือทั้งหมดเพื่อปกป้องและรักษาระบอบทักษิณเอาไว้ เราก็ขับไล่ไป นี่คือเป้าหมายข้อที่ 3 ท่ามกลางการต่อสู้ข้อที่ 3 ในการขับไล่รัฐบาลนอมินีนั้น ตั้งแต่รัฐบาลสมัคร จนกระทั่งต่อมามาเกิดรัฐบาลสมชายก็ตาม และเราก็ไล่ไปทั้งสมัครทั้งสมชาย

ข้อที่ 4 แม้จะเป็นข้อที่เป็นข้อเรียกร้องระหว่างการทำงานของเรา ระหว่างการเคลื่อนไหวของเรา 193 วันก็ตาม นั่นคือการต่อสู้ครั้งนี้เราเรียกว่าการสู้ครั้งสุดท้าย และเป็นการสู้อย่างถึงที่สุด ก็ว่าอย่างนั้นนะครับ เป็นการขุดราก ถอนโค่น และเราก็จะสถาปนาหรือพยายามจะสร้างการเมืองใหม่ขึ้นมาให้ได้ นี่คือข้อที่ 4 ท่านครับ ท่านดูผังรูปแบบทั้งหมด ตั้งแต่ 25 เพื่อเดินเข้ามาสู่เป้าหมายของ 4 ข้อที่ว่านั้น ท่ามกลางการเดินทาง 193 วัน จากซ้ายมือไปขวามือ

เริ่มต้นนะครับ ฝั่งบนนั่นคือการขับไล่นายกสมัคร สุนทรเวช ผลการขับไล่นายกสมัคร สุนทรเวช สมัครมันก็พูดไปเรื่อยนะครับ ผับๆๆ นะครับ ไม่มีอะไรๆ มีอะไรกันนักหนาๆ ผับๆๆ กันไป พวกคุณก็ว่ากันไป ผับๆๆๆ มันก็ว่าของมันไป

ถามจริงๆ ครับ กรณีนายกสมัคร สุนทรเวช ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้วินิจฉัยกรณีเรื่องชิมไป บ่นไป ที่คุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เป็นผู้ร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ จากการวินิจฉัยคดีชิมไป บ่นไป ทำให้คุณสมัคร เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรี และต้องพ้นจากความเป็นนายกรัฐมนตรี และท่ามกลางเวลา ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น ก็ได้มีการพิพากษาของศาลอุทธรณ์ พิพากษาในคดีที่คุณสามารถ ราชพลสิทธิ์ ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทคุณสมัคร และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้วก่อนนู้นว่า การกระทำของคุณสมัครนั้นผิด เป็นการหมิ่นประมาทคุณสามารถ ราชพลสิทธิ์ ศาลชั้นต้นสั่งจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา แล้วศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นคือ 2 ปี ไม่รอลงอาญา

ถามถ้าไม่มี 2 คำวินิจฉัย 2 คำพิพากษานี้ ในกรณีโดยเฉพาะในคำวินิจฉัยชิมไป บ่นไปที่ให้คุณสมัคร พ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น บัดนี้อาจจะมีนายกรัฐมนตรียังชื่อสมัคร สุนทรเวช ที่อยู่ในอาการเป็นโรคมะเร็งหามไปนั่งที่ทำเนียบ แล้วก็ผับๆๆ พวกคุณก็ผับๆๆ พวกคุณก็พูดไปหมับๆๆ ก็บ่นไป มีอะไรกันนักหนาๆๆๆ อาจจะยังอยู่อย่างอาการนี้ก็ได้ เพราะไม่ออก เพราะมันบอกแล้ว ไม่ออก ไม่ยุบ ไม่ออก ไม่ยุบ ไม่ออก ไม่ยุบ ไม่ออก ไม่ยุบ ประเด็นนี้น่าตั้งคำถามมาก

ถามว่าจะสรุปได้ไหมว่าการเคลื่อนไหวของเราทำให้สมัครต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ไป ถ้ากล้อมแกล้มพอพูดพอตอบอย่างนั้นก็พอได้ เพียงแต่ว่าก็พอได้ แต่ถามใช่หรือไม่ ถ้าเป็นผมผมตอบไม่เต็มคำนัก ไม่กล้าตอบเต็มคำนัก เพราะผมเกรงใจคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และเกรงใจคุณสามารถ ราชพลสิทธิ์ เหลือเกินในเรื่องนี้ ต่อจากนั้นมา เอาละสมัครพ้นไปสุดท้ายก็ไปเป็นมะเร็งอยู่ฮุสตัน รัฐเท็กซัส อเมริกา รักษาตัวตอนนี้พะงาบๆ อยู่หรือไม่ ผมไปอเมริกาก็ไม่มีโอกาสได้ไปถามเขา

ต่อจากนั้นมาว่าด้วยเรื่องการตั้งรัฐบาลสมชายนอมินี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่นอมินีเต็มรูปแบบ เราก็ไล่รัฐบาลสมชายเต็มที่ แล้วเกิดเหตุการณ์ 7 ตุลา รัฐบาลสมชายจึงกลายเป็นรัฐบาลฆาตกรเปื้อนเลือด มือเปื้อนเลือด เดินลุย ฝ่าทั้งความบาดเจ็บ เลือด และน้ำตา และศพวีรชน 7 ตุลา ของพี่น้องพันธมิตรฯ เรา เข้าไปในสภาเพื่อแถลงนโยบาย จนบัดนี้เรายังไม่สามารถจับฆาตกรมาลงโทษได้ แม้เกิดรัฐบาลใหม่แล้วก็ตาม ไม่รู้ว่าเขาจะจับฆาตกรมาลงโทษหรือไม่ ทั้งๆ ที่เห็นเต็มตา จะๆ อยู่กลางกรุงเทพฯ มีภาพ มีเสียง มีทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ออกเฉพาะประเทศไทย ออกทั่วโลก

7 ตุลา ใครก็ดู ใครก็รู้ ใครก็เห็น นายกฯ อภิสิทธิ์ทุกวันนี้ก็ดูก็รู้ก็เห็น คนในพรรคประชาธิปัตย์เห็นหมดและพูดหมด พูดเรื่องนี้หมดเหมือนกัน เหมือนกับพวกเราพูด แต่วันนี้จะจับฆาตกรกันไหม เอาละอย่าพูดเรื่องนั้น เรามาพูดเรื่องนายกฯ สมชาย รัฐบาลฆาตกร นายกฯ สมัครนั้นเป็นนายกฯ ทรราช รัฐบาลสมชายก็เป็นรัฐบาลทรราชเช่นกัน เพราะมือเปื้อนเลือดฆ่าพี่น้องประชาชน ก็เป็นทรราชได้ สมัครเป็นทรราชเพราะรับใช้นอมินี และสมัครเป็นทรราชเพราะขายชาติ เพราะอะไร เพราะเขาพระวิหารต้องสูญเสียไปให้กับกัมพูชา สมชายพ้นจากตำแหน่งไปเพราะอะไร เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน

ท่านดูผังด้านล่าง นายกฯ สมชาย ฆาตกร 7 ตุลาคม 2551 พรรคพลังประชาชนถูกยุบ ถูกยุบด้วยเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีที่ คุณยงยุทธ ติยะไพรัช ซื้อเสียงที่เชียงราย สมชายจึงพ้นจากการเป็นกรรมการบริหารพรรค พรรคพลังประชาชนถูกยุบ จึงพ้นจากความเป็นผู้แทนราษฎรระบบสัดส่วน และพ้นจากความเป็นนายกรัฐมนตรี

สมชายพ้นไปเนื่องจากพวกเราไล่หรือเปล่า ก็ตอบไม่เต็มคำเพราะเกรงใจศาลรัฐธรรมนูญอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ที่ทำการยุบพรรคเหล่านี้ ท่านเห็นไหมครับ แล้วพรรคพลังประชาชนยุบกรณีนี้ คุณยงยุทธทำเหตุการณ์นั้น เอาละรัฐบาลสมชายพ้นไป ในเรื่องรัฐบาลสมชายมีเรื่องน่าตั้งคำถามเยอะ ไม่ว่าฆาตกร ไม่ว่าอะไรก็ตาม

ต่อมา มาดูเป้า 4 ข้อด้านขวามือ คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนวันนี้ ไม่ว่ารัฐบาลก็ตาม ไม่ว่าผู้แทนราษฎรก็ตาม วุฒิสภาก็ตาม ที่มีสิทธิ์ร่วมเซ็นชื่อในการเสนอร่างแก้ไข หรือแม้แต่ร่างของพี่น้องประชาชนเสื้อแดง กรณีหมอเหวงก็ตาม ยังไม่ได้รับการพิจารณา เป็นผลจากการคัดค้านของเรา ข้อ 1 ดูเหมือนจะตอบได้เต็มคำไม่น้อยทีเดียวว่า เป็นเหตุมาจากพี่น้องพันธมิตรฯ ร่วมไม้ร่วมมือกัน มาดูข้อ 2 โค่นล้มระบอบทักษิณ จนวันนี้เรายังทำได้ไม่หมด ระบอบทักษิณยังคาราคาซังอยู่เต็มประเทศ และรัฐบาลก็กลายเป็นรัฐบาลที่เกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์โดยอภิสิทธิ์บวกเนวิน ปัญหาการขับไล่รัฐบาลนอมินีสมัครและสมชายดังที่เรียนแล้วเบื้องต้นเป็นลำดับมาอย่างย่อๆ

มาเรื่องสู้ครั้งสุดท้าย เป็นการต่อสู้อย่างถึงที่สุดที่เรียกว่า ขุดรากถอนโคน แล้วสถาปนาการเมืองใหม่ เรื่องนี้ตอบลำบาก ถามว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างไหมท่ามกลางการต่อสู้ 193 วัน ก็น่าจะมีผลไม่น้อยทีเดียว 193 วัน ส่วนหนึ่งของการสถาปนาการเมืองใหม่ น่าจะตอบได้เต็มคำที่สุด คือ ได้เกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มวลหมู่พี่น้อง ตื่น รู้ และร่วมกันอย่างเข้มแข็ง มันเป็นความมหัศจรรย์ มันเป็นการเกิดขึ้นมาในประวัติศาสตร์ชาติไทย ตั้งแต่มีประเทศมา เป็นครั้งแรกที่มีสิ่งเหล่านี้ สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้เกิดขึ้น มันเป็นความยิ่งใหญ่จริงๆ คือ พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีทั้งระดับภายในประเทศ ระดับภายในประเทศมีทุกระดับชั้นลงไป จนถึงจังหวัดจนถึงอำเภอ จนถึงตำบลจนถึงหมู่บ้าน มีแกนมีอะไรต่างๆ มีผู้เข้ามาร่วมอย่างจริงจังเข้มแข็งเอาเป็นเอาตาย พร้อมเห็นแก่ประโยชน์เพื่อชาติ เพื่อส่วนรวม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน

มันเป็นการเกิดขึ้น และเป็นการสถาปนาขึ้นในประเทศไทยครั้งแรกจริงๆ ยิ่งใหญ่มาก และต่างประเทศอีก ไม่ว่าอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ในยุโรป แม้แต่ฮ่องกงก็เกิดขึ้น พี่น้องคนไทย เกิดพันธมิตรฯ ที่เข้มแข็งมาก มหัศจรรย์มาก นี่แหละคือการเมืองใหม่อันหนึ่ง หนึ่งในการเมืองใหม่มีหลายเรื่อง หนึ่งในการเมืองใหม่มีหลายอย่าง หนึ่งในการเมืองใหม่มีหลายระดับ และหนึ่งในการเมืองใหม่มีหลายประเภท เพราะฉะนั้นเราอาจจะกล่าวได้ว่า หนึ่งในการเมืองใหม่ที่เกิดขึ้นที่แน่ๆ และใครทำลายไม่ได้อีกแล้ว นั่นคือพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อันนี้ขอก้มกราบ ก้มคำนับโค้งคำนับได้เต็มปากเต็มคำอย่างสง่าผ่าเผย

แต่เรื่องอื่นๆ แม้ไม่เต็มปากไม่เต็มคำนัก แต่เป็นส่วนเป็นกำลังของพี่น้องพันธมิตรฯ จึงก่อให้เกิดการขับไล่ระบอบทักษิณได้พอสมควรในส่วนหนึ่ง เป็นชัยชนะระดับหนึ่งที่สามารถไล่นายกรัฐมนตรีที่ชื่อว่า ทักษิณ ที่ชื่อว่า สมัคร สุนทรเวชนอมินี ที่ชื่อว่า สมชาย วงศ์สวัสดิ์นอมินี ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่แม้ไม่เต็มคำนัก และวันนี้ก็เกิดรัฐบาลขึ้นมาเรียกว่ารัฐบาลของประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์เป็นผู้นำรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรี กอดกันกลมกับเนวินก็ตาม เรื่องนี้น่าวิเคราะห์มาก น่าพูดคุยกันมากว่าเกิดอะไรขึ้น และผลต่อไปจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ควรพิเคราะห์กันอย่างยิ่ง

แต่เอาละบทสรุปในตอนท้ายของวันนี้ที่ผมจะพูด จากต้นทุนที่ผมลำดับมา ไม่ว่าต้นทุนนั้นจะเรียกว่าต้นทุนที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ กับต้นทุนที่ไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้และมีคุณค่ามหาศาล นั่นคือความบาดเจ็บล้มตายของพี่น้องประชาชน รวมทั้งเหงื่อไคลหยาดเหงื่อ จิตใจที่พี่น้องลงแรง ลงเบี้ยไป ความเครียดต่างๆ ความเสียสละต่างๆ การร้องห่มร้องไห้ของพี่น้องประชาชนก็ตาม เป็นต้นทุนทั้งสิ้น ต้นทุนที่คำนวณเป็นเงินได้ และต้นทุนที่ไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ มูลค่ามหาศาลนี้

ผลผลิตที่ออกมาตามแผนภาพที่ว่า ที่ให้ท่านผู้ชมนี่ดู ทั้งหมดจากต้นจนปลาย เกิดเหตุอะไรขึ้นบ้าง อย่างย่อๆโดยหลักใหญ่ๆ ท่านครับ ด้วยต้นทุนและผลผลิตที่เกิดมานั้น ที่มีมานั้น น่าจะสรุปกันไหม ควรจะถึงเวลาที่เราจะมาตั้งหลัก ตั้งสติกันดีๆ แล้วใช้จิตใจของวีรชนที่เสียชีวิต ที่บาดเจ็บ ที่ล้มตายไป เอาจิตใจของวีรชนนั้นมาใส่จิตใจของพวกเรา เราไม่ต้องตายไม่ต้องเจ็บหรอกครับ แต่ขอให้กล้าสรุปอย่างจริงจัง สรุปบทเรียนทั้งหมด ทั้งกระบวนการ ทั้งระบบ ทั้งดูต้นทุน ทั้งดูผลผลิตที่ออกมา ทั้งกระบวนทั้งหมด การนำเข้าต้นทุนทั้งหมดที่มีอยู่ ผลออกมาเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นมาเป็นรัฐบาลอภิสิทธิ์และเนวิน ชิดชอบ กอดกันกลมนั้น มันเป็นผลผลิตที่คุ้มไหม มีข้อดี มีข้อเสียอย่างไร มีข้อแข็ง มีข้ออ่อนอย่างไร มีข้อบกพร่อง มีข้อควรส่งเสริมอย่างไร ควรจะทำต่อ ถ้าทำต่อควรทำอย่างไรให้ดียิ่งขึ้น

เอาบทเรียนที่ผิดพลาดบกพร่องทั้งหลายเหล่านั้น ท่ามกลางการต่อสู้ ท่างกลางการเคลื่อนไหว 193 วันนั้น เก็บรับมาทั้งหมด แล้วปรุงแต่งแล้วปรับปรุง แล้วก็เคลื่อนไหวกันต่อไป สร้างให้เกิดการเมืองใหม่ที่เราเฝ้าฝันหาให้ได้

ถามว่าเราควรจะสรุปได้ไหม จากการลงทุนมากขนาดนี้ กับผลผลิตที่ได้มาขนาดนี้ ต้นทุนที่มากขนาดนี้ทำเสร็จแล้วจบกัน แล้วมาบอกเราชนะแล้ว ฉลองๆ เอาๆ ดนตรีขึ้นๆ เอาเต้นกัน ผมว่าไม่พอกระมัง ประชาชนชนะแล้วๆ เฮ้ๆๆ เอ้ยๆ ใช่หรือเปล่า มันแค่ไหนเรียกว่าชนะ เอ้ยๆ จริงหรือเปล่าที่เรียกว่าชนะ หรือชนะบางส่วน หรือยังไม่ชนะบางส่วน หรือชนะบ้าง แพ้บ้าง หรือต้นทุนมากเกินไป แม้จะชนะก็ตาม แต่มันเป็นต้นทุนที่มากเกินเหตุ แล้วถ้าปรุงแต่งใหม่ ปรับใหม่ ปรับกลยุทธ์ใหม่ มันอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ต้นทุนที่มากอย่างนี้ ก็ได้ไหม

พวกนี้ญาติผมก็ตายไป 1 คน สารวัตรจ๊าบไง น้องเขยผมนะครับ ตอนนี้หลานๆ ก็เป็นกำพร้าอยู่ แล้วก็อายุไม่มากด้วยเพียงแค่ 7 ขวบ กับ 2 ขวบ 3 ขวบ กว่าจะเขาเลี้ยงหลานของผมเนี้ยนะครับ น้องสาวผมจะเลี้ยงหลานไป ก็น่าจะ 15 - 20 ปีข้างหน้า นี่พูดในนามเขา ญาติคนตายคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นพูดในนามตัวเองก็ได้ ในฐานะที่ร่วมเคลื่อนไหวก็ถูกยิงบาดเจ็บ อาจจะถูกลูกหนังสติ๊กหัวแตกคว่ำลงไป หรืออาจจะถูกลูกปืนแก๊สน้ำตา หลังฉีกไป เป็นแผลเป็นยาวขนาดนี้ที่หลัง หรืออาจจะถูกตีถูกอะไรบ้างก็ได้

ต้นทุนทั้งหมดที่ว่านี้ควรสรุปไหม ควรเก็บรับบทเรียนไหม และสรุปอย่างยุติธรรมอย่างซื่อสัตย์ อย่างจริงจัง อย่างองอาจกล้าหาญ อย่างรับคำวิจารณ์ กล้าวิจารณ์ตัวเองกล้ารับฟังคำวิจารณ์ แม้แต่เป็นคำวิพากษ์ น่าสนใจ

ผมมาวันนี้ นี่ก็จะสิ้นเดือนมกราคมกลางเดือนมกราคมแล้ว ยังไม่เห็นว่าจะเริ่มต้นกันที่ไหน เริ่มต้นที่ใคร ถ้าหากผมพูดวันนี้ สถาบันการศึกษาใด นักวิชาการกลุ่มใด หรือหน่วยงานใด หรือองค์กรใด ไม่ว่าองค์กรเอกชน องค์กรอิสระ หรือการรวมกลุ่มผู้คน ระดมสรรพปัญญา ระดมสรรพความรู้ ระดมสรรพมันสมอง สติ ทุกสิ่งทุกอย่างมา แล้วมาช่วยกันสรุปบทเรียน 193 วันนี้ จะดีไหมครับ ถ้าดีบอกผมด้วยผมจะได้ไปร่วม วันนี้คงมีเพียงเท่านี้ครับ ขอขอบคุณครับ สวัสดีครับ











กำลังโหลดความคิดเห็น