“ทหาร” ย้ำชัดพร้อมปกป้อง “บุคคลสำคัญ” ของรัฐบาลในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ก่อนยกย่อง “ชวน” ยอมให้อภัย “ม็อบเสื้อแดง” แม้โดนไข่ขาใส่หน้า ยันไม่ได้นิ่งนอนใจข่าวลอบปองร้าย “มาร์ค” พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ “ศรภ.” อารักขาอย่างเต็มที่แล้ว จี้ใช้กฎหมายลงดาบ “ไอ้โม่ง” ดักฟังโทรศัพท์ “นายกฯ”
วานนี้ (7 ม.ค.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวกรณีที่นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ถูกกลุ่มเสื้อแดงปาไข่ไก่ใส่หน้าระหว่างลงไปหาเสียงที่ จ.ลำปาง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ปกติเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าของพื้นที่ แต่ทหารก็พร้อมที่จะออกไปช่วยเหลือในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงาน เมื่อถามอีกว่า มีความเป็นห่วงหรือไม่ต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการประชุมอาเซียน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า การประชุมอาเซียนเป็นวาระของชาติ ถ้าทำสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ก็จะเป็นผลดีแก่ประเทศชาติ
ส่วนแนวทางการสร้างความสมานฉันท์ และการสลายสีเสื้อนั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า หากกองทัพบกมีส่วนช่วยได้ คงต้องมีแนวคิดว่าจะต้องไม่เป็นศัตรูกับใคร และทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยความคิดต่างกัน ไม่ว่าจะใช้กลไกอะไรก็ตาม ถ้าหากเป็นวิกฤตของชาติ สื่อก็ต้องช่วย มวลชนต่างๆ ที่มีโอกาสช่วยได้ต้องช่วย ส่วนกองทัพบกหากช่วยได้ ก็จะช่วยให้ผ่านวิกฤติไปให้ได้ ประเทศชาติขณะนี้เป็นช่วงที่ทุกคนต้องช่วยกันโดยเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะเรื่องความสามัคคีที่ต้องอยู่ร่วมกันบนความคิดที่แตกต่างกัน เราจะต้องฝ่าฟันตรงนี้ไปให้ได้ ส่วนคนที่มีความเห็นต่างกันควรแสดงออกแค่ไหน นั่นเป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณาต่อไป
“แกนนำกลุ่มเสื้อแดงอาจจะมีความรักในคนใดคนหนึ่งเฉพาะ ซึ่งเขาทำได้ จะไปบอกว่าเขาผิดก็คงไม่ได้ ต้องค่อยๆ โดยชาติเป็นที่ตั้ง เมื่อชาติเป็นที่ตั้งก็จะไม่เกิดความแตกแยก ถ้าไม่แตกแยกก็จะไม่มีการใช้มาตรการที่รุนแรง หากไม่เห็นชอบ เช่น ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หรืออยากแสดงออกอย่างอื่นก็สามารถทำได้ ชอบหรือไม่ชอบใคร เป็นสิทธิที่ทำได้ แต่หากจะเป็นฝ่ายตรงข้ามแล้วพยายามทำทุกอย่าง แสดงว่าต้องการจะแตกหัก แต่ถ้าเอาชาติเป็นที่ตั้ง ทุกคนต้องลืมหมด ผมพยายามอย่างนี้มานานแล้ว แต่โดนด่าจากทุกฝ่าย ผมพยายามอยู่ แต่คนไปเขียนเป็นนิยาย ผมก็ทนเอา” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
ด้าน พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ว่า ตนอยากฝากนโยบายไปถึงรัฐบาลเรื่องการสร้างความสมานฉันท์ เพราะเป็นหน้าที่เราทุกคน และในฐานะเป็นข้าราชการประจำจะต้องช่วยกันดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ ในส่วนของความคิด สามารถคิดต่างกันได้ แต่ในความแตกแยกที่แสดงออก อยากขอร้องถ้าเป็นไปได้ขอให้ลดละการคิดต่างกัน เพราะจะทำให้เกิดประโยชน์ และจะทำให้การดำเนินการของรัฐบาลพัฒนาไปในแง่ดี แต่ความแตกแยกที่เกิดขึ้นเราไม่สบายใจ และไม่อยากให้เกิดขึ้น
“ความจริงได้ร้องขอมาตลอดว่า เราไม่อยากเห็นความขัดแย้งเกิดขึ้น ดังนั้นในปีใหม่นี้จึงถือเป็นโอกาสดี ที่จะเริ่มต้นคิดกันใหม่ว่า สิ่งที่ทำมา หากเราให้อภัยไม่ถือโทษโกรธกันในเรื่องความแตกแยกทางความคิด ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้ปี 2552 นี้ ทุกคนจะมีความสุขอย่างแท้จริง” พล.อ.อภิชาต กล่าว
ส่วนกรณีที่นายชวนถูกม็อบเสื้อแดงนำไข่ไก่ปาหน้าในระหว่างช่วยลูกพรรคหาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่ จ.ลำปาง นั้น พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า นายชวนออกมาให้สัมภาษณ์ว่าท่านให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคืองกับกลุ่มไหนก็ตามที่ทำกับท่าน ซึ่งความจริงท่านก็โดนเยอะ แต่ท่านพร้อมให้อภัย ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของการเสริมสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้อีกฝ่ายได้คิดว่าขนาดอดีตนายกรัฐมนตรีโดนอย่างนี้ ท่านยังให้อภัย น่าจะกลับไปคิดได้ว่าสิ่งเหล่านี้หากเราไม่ทำก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะชื่อเสียงของประเทศชาติน่าจะได้รับการยอมรับจากนานาประเทศมากกว่า
เมื่อถามถึงนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมาใน 1 สัปดาห์นั้น น้อยไปหรือไม่ที่จะให้คนไทยรู้รักสามัคคี พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า ต้องช่วยกัน ระยะเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์คงทำอะไรได้ไม่มาก โดยในส่วนกองทัพก็พร้อมที่จะสนองนโยบายรัฐบาล ซึ่ง ผบ.เหล่าทัพ ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยจะจัดทำแผนเร่งด่วนที่ตอบสนองนโยบายรัฐบาล ซึ่งเราคุยกันอยู่ว่าจะดำเนินการอย่างไรให้ประชาชนมีความรักความสามัคคีเกิดขึ้นให้เร็วที่สุด
ส่วนความคิดที่ว่า ในเมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยใช้ม็อบกดดันได้ กลุ่มเสื้อแดงก็ทำได้เช่นกันนั้น พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลใจเย็น ไม่ถือโทษโกรธเคืองก็จะเป็นกรณีตัวอย่างที่รัฐบาลยึดถือปฏิบัติเรื่องความให้อภัยซึ่งกันและกัน และจะทำให้ฝ่ายเสื้อแดงต้องคิดได้ แม้จะมีบทเรียนว่าทำไมเสื้อเหลืองทำได้ แล้วเสื้อแดงทำไมทำไม่ได้ คิดว่าคงอย่างที่ท่านนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยพูดตลอดว่าต้องใช้หลักนิติธรรม และหลักนิติรัฐในการบริหารจัดการให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี เพราะถ้าหากเห็นว่ากลุ่มเสื้อเหลืองทำไม่ถูกต้อง กลุ่มเสื้อแดงก็ไม่ควรปฏิบัติตาม
ส่วนรัฐบาลได้มีการร้องขอทหารให้ไปดูแลบุคคลสำคัญทางการเมืองหรือไม่ พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของกองทัพอยู่แล้วที่จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญทั้งหมด หากร้องขอมาก็ไม่ขัดข้อง ฉะนั้น เหตุที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลวีไอพีทั้งหมด เรายอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ ส่วนข่าวที่นายกฯ ถูกข่มขู่ปองร้ายเอาชีวิตนั้น เป็นหน้าที่ของฝ่ายรักษาความปลอดภัยของกองทัพอยู่แล้วที่จะดูแลเรื่องนี้ คงไม่ได้มีอะไรสั่งการเพิ่มเติม เพราะเป็นหน้าที่ของศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) ที่จะจัดเจ้าหน้าที่ไปดูแล แต่เราไม่ได้พูดถึงรายละเอียดว่า ข่าวดังกล่าวมีมูลความจริงมากน้อยเพียงใด
เมื่อถามถึงกรณีที่นายกฯ ถูกดักฟังโทรศัพท์ กองทัพจะมีมาตรการดูแลความปลอดภัยในเรื่องดังกล่าวอย่างไร พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมายนัก แต่ที่ทำได้คือเปลี่ยนโทรศัพท์ ซึ่งจริงๆ แล้ว ทุกบริษัทก็สามารถล้วงข้อมูลไปได้ทั้งหมด แต่เราก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะใช้โทรศัพท์พูดกันในเรื่องที่ไม่จำเป็น ที่สำคัญควรจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด เพราะการใช้โทรศัพท์เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่เมื่อถูกดักฟังก็เป็นเรื่องที่ไม่ดี ดังนั้นต้องให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย