“มาร์ค” เบรกถนนไร้ฝุ่น 4 หมื่นล้าน เหตุงบฯ กลางมีไม่พอ แต่หากใช้งบปกติหรือทำร่วมกับองค์กรท้องถิ่นก็จะบรรจุไว้ พร้อมเปิดแผนฟื้นฟู ศก.9 กลุ่มเป้าหมาย ชูเรียนฟรี-เบี้ยคนแก่ เพิ่มกำลังซื้อ ดูแลคนว่างงาน มั่นใจเป็นรูปธรรม-ไม่มีเงินรั่วไหล เผยยังไม่แย้มนโยบายเด็ดเป็นเหตุทีดีอาร์ไอบอกโดดเด่นสู้นโยบายไทยรักไทยไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ว่า ครม.เห็นชอบกรอบแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งหมด เพื่อจะนำไปสู่การกำหนดการรายละเอียดของมาตรการ และงบประมาณกลางปี 2552 และจะเสนอต่อที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจได้ในสัปดาห์หน้า ก่อนที่จะผ่านความเห็นชอบ ครม.ชุดใหญ่ ภายในวันที่ 20 ม.ค.นี้
สำหรับแนวทางการจัดทำแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ มีเป้าหมาย 9 ด้าน คือ 1.การรักษากำลังซื้อภายในประเทศ ของคนทุกกลุ่ม โดยแบ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มเกษตรกรชนบท จะมี 2 มาตรการ คือ 1.มาตรการ ดูแลเรื่อง ราคาพืชผลจะทำงานผ่าน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 2.กองทุนเศรษฐกิจพอเพียง จะมีการจัดงบประมาณไว้ในงบประมาณกลางปี ซึ่งจะเป็นเงินที่สามารถเข้าไปในหมู่บ้าน ทำโครงการขนาดเล็กที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจพอเพียง และสามารถที่จะเบิกจ่ายได้ค่อยข้างเร็ว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า กลุ่มภาคแรงงาน คือโครงการดูแลผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะว่างงานและผู้ว่างงาน 5 แสนคน แต่จะมีความหลากหลายในเชิงโครงการค่อนข้างมาก มีตั้งแต่การเข้าไปช่วยฝึกอบรมกลุ่มคนที่อยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการเลิกจ้าง เป้าหมายสำคัญ เพื่อเป็นการจูงใจลดการเลิกจ้างและเป็นการปรับทักษะของแรงงานไปในตัว
ในกรณีที่คนถูกเลิกจ้างแล้วจะมาฝึกอบรมในเรื่องอาชีพที่เหมาะสม และมีเป้าหมายสำคัญ คือ สามารถที่จะกลับไปท้องถิ่นเดิมทำงานในวิสาหกิจชุมชนได้ หรือไปทำอาชีพอิสระหรือไปฝึกอาชีพให้คนอื่นได้ด้วย ก็จะเป็นการแก้ปัญหาว่างงาน และการกระจายธุรกิจไปสู่ภูมิภาค
ส่วนกรณีนักศึกษาที่จบการศึกษาใหม่และยังหางานทำไม่ได้ก็จะนำมาฝึกอบรมในอีกแบบหนึ่งซึ่งจะมีเป้าหมายที่หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น อาจจะให้คนเหล่านี้ ไปช่วยทำงานธุรการในโรงเรียน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระครูและสามารถให้เวลาของครูกลับไปอยู่กับนักเรียนได้ มากขึ้น อาจจะมีโครงการไปดูแลเกี่ยวกับเรื่องของเว็บไซต์ ซึ่งก็น่าจะสอดคล้องกับคนกลุ่มนี้ อันนี้คือการดูแลปัญหาภาคแรงงาน
“ส่วนนอกงบประมาณเป็นส่วนเสริมจาก ธ.ก.ส. ซึ่งจะดำเนินโครงการในเรื่องสินเชื่อ สำหรับลูกหลานของลูกค้าของ ธ.ก.ส. ซึ่งอาจจะประสบปัญหาในเรื่องของการว่างงาน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มผู้มีรายได้ประจำ ทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งมีเงินเดือนประจำนั้น นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ กับนายกรณ์ จาติกวนิช รมว.คลัง จะไปดูว่ารูปแบบที่จะเพิ่มรายได้หรือรักษารายได้ ที่ดีที่สุดคืออะไร จะเป็นมาตรการทางด้านภาษีหรือมาตรการทางด้านงบประมาณอะไรบ้าง
นายกฯ กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุก็จะเดินหน้าในเรื่องของโครงการเบี้ยยังชีพ ถ้ามามองทางด้านของการลดภาระค่าใช้จ่าย ก็จะมีในส่วนของการเรียนฟรี 15 ปี เช่นเดียวกับเบี้ยยังชีพคือจะอยู่ในงบประมาณกลางปี และจะมีมาตรการต่อด้านการลดภาระค่าครองชีพ ที่สืบเนื่องมาจากรัฐบาลที่แล้ว คือ 6 มาตรการ 6 เดือนฝ่าวิกฤตประเทศไทย แต่จะยกเว้นกรณีของน้ำมันที่มีการยกเว้นการเก็บภาษีสรรพสามิตมาตรการนั้นจะไม่เดินต่อ แต่รัฐบาลจะเดินหน้าต่อเรื่องก๊าซหุงต้มค่าน้ำค่าไฟรถเมล์และรถไฟด้วย ในส่วนเรื่องรายละเอียดกำลังจะมีการศึกษารายละเอียดด้านตัวเลขกันอยู่
นอกจากนี้จะมีการดูแลในส่วนของกลุ่มภาคธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะเรื่องสินเชื่อให้เพียงพอในการหล่อเลี้ยงสภาพคล่องของธุรกิจให้อยู่รอด ซึ่งมาตรการนี้จะดำเนินการอยู่ในธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ และจะมีกลไกในการค้ำประกันสินเชื่อส่งออก และการค้ำประกันสินเชื่อรัฐวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม และจะเสริมด้วยมาตรการเฉพาะหน้า โดยเฉพาะมาตรการอสังหาริมทรัพย์ซึ่งขณะนี้ นายกอร์ปศักดิ์ และนายกรณ์กำลังเร่งออกมาตรการออกมา และในส่วนการท่องเที่ยงจะเน้นมาตรการการให้ความสะดวกในด้านสินเชื่อและการลดต้นทุนการท่องเที่ยว และจะมีโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะการอบรมสัมภาษณ์ของหน่วยราชการต้องจัดในประเทศ
สำหรับเห็นชอบการส่งเสริมการลงทุนที่ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม และบีโอไอ ไปดูว่าโครงการที่อนุมัติโครงการไปแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ เป็นเพราะติดขัดอย่างไรเพื่อจะได้ดำเนินการแก้ไขต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการลงทุนภาครัฐ ในสัปดาห์หน้า ตนจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น (กกถ.) เพื่อให้มีการอนุมัติงบประมาณการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ค้างอยู่ 140,000 ล้านบาท และจะนำเงินส่วนอื่นมากอีกหลายหมื่นล้านบาทที่จะมาทำบางโครงการร่วมกับรัฐบาล เพื่อจะให้เกิดการใช้จ่ายลงไปในระดับชุมชนในโครงการที่มีความรวดเร็วและเป็นโครงการขนาดเล็ก เพราะขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และรอการจัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดิน
นอกจากนี้ยังมีการเร่งรัดการการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมียอดที่เตรียมไว้สูงมาก ซึ่งจากภาพรวมที่ได้กล่าวมาก็จะได้กำลังซื้อกลับคืนมา จากภาคเอกชนร่วมทั้งการเร่งรัดบทบาทของภาครัฐเองในการกอบกู้เศรษฐกิจ และการประชาสัมพันธ์ประเทศ โดยตนขอให้กระทรวงท่องเที่ยว สำนักงานส่งเสริมการลงทุน หน่วยที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการส่งออก และกระทรวงการต่างประเทศ และบริษัทประชาสัมพันธ์ ไปดำเนินการ และหากต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมก็จะจัดงบประมาณให้ นี่คือกรอบที่ได้เห็นชอบไป ส่วนรายละเอียดจะมีการนำเสนอมา
“ส่วนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ก็จะเดินหน้าตามเดิม ส่วนการลงทุนอื่นๆ เช่น โครงการถนนไร้ฝุ่นแหล่งน้ำขนาดเล็ก ถ้าเสนอโครงการมาให้เข้าหลักเกณฑ์ที่จะนำเงินลงไปในชุมชนได้เร็วก็จะมีอยู่ในงบประมาณกลางปี แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็จะไปอยู่ในงบประมาณปกติ ส่วนโครงการอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินกู้ ก็ให้เตรียมการไว้ นี่คือภาพร่วมทั้งหมดของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ”
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะสานต่อโครงการถนนไร้ฝุ่นของกระทรวงคมนาคม หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า โครงการถนนไร้ฝุ่นมีความชัดเจน คือ เราต้องการโครงการลงทุนที่ต้องนำเงินไปให้ถึงประชาชน โดยรวดเร็วที่สุดเพื่อสร้างกำลังซื้อ ดังนั้นงบประมาณกลางปีวงเงินจะอยู่ที่ 1 แสนล้าน จะเพิ่มหรือลดคงไม่ได้ ขณะที่วงเงิน 1 แสนล้านบาทในโครงการที่มีการคำนวณชัดเจนแล้วคือโครงการเรียนฟรี 15 ปี เงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นต้น
“เพราะฉะนั้นวงเงินที่จะไปทำถนนไร้ฝุ่น 3-4 หมื่นล้าน คงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งจะพิจารณา 3 แนวทาง 1.คือถ้ากระทรวงคมนาคมเสนอแผนที่ชัดเจนสอดคล้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะบรรจุบางส่วนไว้ 2.จะใช้งบประมาณปกติและงบประมาณอื่นๆ และ 3.ที่มีความเป็นไปได้ คือการร่วมทำโครงการนี้กับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งจะเป็นการนำเงินสมทบกับ อปท. โดยต้องมีการประชุมกับคณะกรรมการกระจายอำนาจอีกครั้งในสัปดาห์หน้า ซึ่งมีผมเป็นประธาน”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล และมีโครงการมิยาซาวา ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจและในโครงการงบประมาณหลักๆ วงเงินที่เข้าไปชัดเจนตามนโยบายของรัฐบาล คือ เรียนฟรี และเบี้ยผู้สูงอายุ เพราะไม่ว่ารัฐบาลชุดใดเข้ามาก็ต้องดำเนินการ
“ยืนยันว่าจะเป็นการทำโครงการให้เป็นรูปธรรมและเชื่อมั่นว่าจะไม่มีเงินรั่วไหลในเรื่องของเบี้ยยังชีพและการศึกษาเพราะนโยบายนี้มีความชัดเจนและรักษาเศรษฐกิจได้” นายกฯ กล่าว
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีที่ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอผิดหวังกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลว่าไม่มีอะไรโดนเด่นถ้าเทียบกับนโยบายสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย มีดีแค่นโยบาย 99 วันว่า “ผมได้รับข้อเสนอมา ที่จริงนโยบายก็สอดคล้องกัน อาจจะยังไม่ได้เน้นในส่วนอื่น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างความเชื่อมั่นและแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจเฉพาะหน้า”
“ส่วนนโยบายหลังจากนี้ไป ผมขอใช้คำนี้ยังมีอีกเยอะที่จะดึงออกมา ซึ่งเป็นความแตกต่าง แต่ถ้าพูดตอนนี้จะสับสน เพราะช่วงนี้เราต้องเร่งแก้ปัญหาในเรื่องของภาวะวิกฤตเฉพาะหน้า ซึ่งถ้าทางทีดีอาร์ไอเห็นว่า นโยบาย 99 วันในช่วงเร่งด่วนไปในแนวทางเดียวกัน ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านเหล่านั้นก็เป็นเรื่องที่ดี ส่วนนโยบายระยะยาวเกรงว่าจะสับสนจึงยังไม่เน้น ถ้าเน้นตรงจุดนั้นก็จะเห็นอย่างชัดเจน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
แฉเหตุชะลอถนนไร้ฝุ่น แนะหารือสภาพัฒน์ก่อน
แหล่งข่าวที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เปิดเผยว่าโครงการถนนปลอดฝุ่น ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ มูลค่าโครงการประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท นายกรัฐมนตรีเห็นว่า แม้ว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีในการสร้างงานให้กับคนในชุมชน แต่เพดานการใช้งบกลางแสนล้านบาทมีเพดานจำกัด ดังนั้นนายกฯ จึงให้กระทรวงคมนาคม ไปปรึกษาหารือกับ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ในเรื่อง การปรับลดวงเงินงบประมาณลง เพราะนายกฯ เห็นว่า หากจะดำเนินการควรจะเป็นโครงการก่อสร้างถนนที่ต่อเนื่องจากถนนที่มีอยู่แล้ว เพื่อเชื่อมต่อสร้างความเจริญเข้าไปสู่ชุมชนและต้องเป็นโครงการขนาดเล็ก
“ในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นั้นนายกฯ ยังเห็นว่า โดยโครงสร้างของ อปท.สามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณการใช้จ่ายได้อยู่แล้ว และอาจจะมีโครงการบางโครงการที่ อปท.สามารถดำเนินการได้ เช่น ถนนปลอดฝุ่น ที่ไม่จำเป็นต้องมาใช้งบกลางตรงนี้” แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ ในการประชุมครั้งนี้ในแต่ละกระทรวงเสนอแผนและโครงการเพื่อนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ในขณะที่จากเดิมได้มีการตั้งกรอบแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไว้ 7 กลุ่มเป้าหมาย แต่นายกฯได้ขอเพิ่มขึ้นอีก 2 กลุ่มเป้าหมาย คือ การประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในต่างประเทศ และ การช่วยเหลือมนุษย์เงินเดือน
ทั้งนี้ในกลุ่มการท่องเที่ยว นายกฯ ได้มอบหมายให้ นายกษิต ภิรมย์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ ไปศึกษาและตรวจสอบการใช้งบประมาณในการโรดโชว์ หรือประชาสัมพันธ์ทั้งหมดทุกกระทรวง เช่น กระทรวงท่องเที่ยว กระทรวงพาณิชย์ หรือ กระทรวงอุตสาหกรรม เพราะนายกฯเห็นว่าการโลดโชว์สินค้าและการท่องเที่ยวควรมีการบูรณาการในการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ประเทศไทย ซึ่งอาจจะใช้สถานทูตไทยในต่างประเทศเป็นสถานโรดโชว์
“ต่อไปเวลาไปโรดโชว์ต่างประเทศ จะไม่สะเปะสะปะ มีบูรณาการมากขึ้น ทั้งกระทรวงพาณิชย์โดยกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงอุตสาหกรรม หรือ กระทรวงท่องเที่ยวฯ เวลาไปโลดโชว์ก็ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจะได้ไม่มีความซ้ำซ้อน” แหล่งข่าวเปิดเผย
สำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอแผนที่เน้นการรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตร คือ การแทรกแซงราคา เบื้องต้นขณะนี้มีเงินเหลืออีก 6 หมื่นล้านบาท จากแผนกู้เงินงบประมาณ 1.1 แสนล้านบาท เพื่อใช้ดำเนินโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรที่รัฐบาลชุดก่อนมีมติ เช่น การรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นผู้กู้เงิน ซึ่งรัฐบาลชุดนี้อาจจะนำเงินส่วนนี้ไปรับจำนำสินค้าเกษตรที่ราคาตกต่ำ เช่น ผลไม้ ยางพารา และปาล์ม สำหรับยางพารา คาดว่าน่าจะใช้งบประมาณ 5 พันล้านบาท และทางกระทรวงเกษตรฯ ยังจะมีการนำเสนอแผนการจัดสร้างแหล่งน้ำชุมชนอีกด้วย
ในที่ประชุม นายกฯ เห็นว่าในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ควรจะมีโครงการสร้างหรือซ่อมศูนย์แพทย์ชุมชน และศูนย์อนามัยชุมชนในท้องถิ่น เพราะโครงการแบบนี้ใช้เวลาในการดำเนินการน้อย และสามารถนำเม็ดเงินเข้าไปสู่รากหญ้าได้อย่างรวดเร็ว และถึงมือประชาชนโดยตรง