เพื่อไทย อัด สตช.แจกใบปลิวเตือน ม็อบเสื้อแดงชุมนุม ผิดกม.ยัดข้อหากบฎ ถือเป็นการข่มขู่ปชช.เหน็บเปลี่ยนสีรวดเร็ว ฝาก"มาร์ค"จัดการ "กษิต-ชวรัตน์-บุญจง" ใช้อำนาจมิชอบ พร้อมเรียกร้องกกต.อย่าปฎิบัติสองมาตรฐาน กรณี"ศักดิ์สยาม -วีระศักดิ์" ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารมต.ขณะเดียวกันหากรบ.เลื่อนแถลงนโยบาย พรุ่งนี้พร้อมตั้งเวทีนอกสภา แจงปชช. ปชป.ปล้นปชต.ด้าน"มานิตย์" ซัด"ป๋า" ยุ่งการเมือง หลังอวยพร "มาร์ค"
วันนี้(28 ธ.ค.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าพรรคมอบหมายฝ่ายกฎหมายและกองโฆษกพรรค ไปแจ้งความนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา135(2) ระบุถึงการกระทำความเสียหายร้ายแรง ถือเป็นความผิดฐานก่อการร้าย ที่สถานีภูธรราชาเทวะ พร้อมฝากไปยังนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ใช้ดำเนินการตามกฎหมายกับนายกษิตอย่างตรงไปตรงมาตามที่เคยให้สัญญากับประชาชน รวมทั้งกรณีของรัฐมนตรีคนอื่นเช่นนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า กรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติแจกใบปลิวจำนวน 4 หมื่นแผ่น ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่าการชุมนุมขัดขวางการแถลงนโยบายของรัฐถือเป็นข้อหากบฎนั้น เรื่องดังกล่าวถือเป็นการประกาศในรูปแบบของการข่มขู่ประชาชน แสดงว่าตำรวจบางคนกำลังเปลี่ยนสีอย่างเร็วมาก บางส่วนก็กำลังเอี้ยวตัวปรับเข้าอีกฝ่าย ดังนั้นขอยืนยันว่าการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธถือเป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญที่ประชาชนทำได้ เพราะขณะนี้ถือว่าประชาชนทั่วทุกภาคกำลังมาทวงสิทธิ์และอำนาจประชาธิปไตยคืนจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปล้นทรัพย์ รับของโจร จนได้เป็นรัฐบาล
ดังนั้นการชุมนุมของประชาชนในวันแถลงนโยบายสามารถที่จะทำได้ เพราะต้องการเรียกร้องให้พรรคประชาธิปปัตย์คืนสิทธิ์ให้กับเขาโดยการยุบสภา สำหรับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง พรรคเพื่อไทยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน แต่เป็นวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนที่รู้สึกว่าโดนโกงมาเรียกร้องทวงทรัพย์ที่โดนปล้นมา และคนที่มามาด้วยใจ
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า สำหรับการเลือกตั้งซ่อมจำนวน 26 เขต 29 คน ที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่11ม.ค. ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้ส่งผู้สมัครจำนวน 19 คน 17 เขตเลือกตั้งนั้น หลังเทศกาลปีใหม่พรรคได้วางกำหนดการเบื้องต้น ในการเดินสายปราศรัยเพื่อช่วยผู้สมัครหาเสียง โดยมีร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ในฐานะผู้อำนายการการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เป็นแกนนำทีมปราศรัยชุดใหญ่ โดยได้วางกรอบเวลาและรูปแบบคือ ทีมปราศรัยชุดใหญ่จะเริ่มเดินทางออกจากกทม.ตั้งแต่ประมาณวันที่ 4หรือ5 มกราคม 52 ไปจนถึงวันที่ 10 มค.52 อาจเริ่มที่จังหวัดสิงห์บุรี ต่อด้วยพื้นที่อีสานใต้เช่นจ.บุรีรัมย์ จากนั้นเดินทางไปยังจ.อุบลราชธานี จ.ร้อยเอ็ด จ.มหาสารคาม จ.นครพนม และ จ.อุดรราชธานี ต่อจากนั้นจะเดินทางเข้าสู่ภาคเหนือที่จ.ลำปาง จ.ลำพูน และจะกลับมาปิดท้ายการปราศรัยที่กทม. สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้เบื้องต้นแกนนำพรรคได้ตั้งเป้าว่าจะได้ส.ส.เดิมจำนวน 13 เก้าอี้ ส่วนที่เหลือพรรคก็จะสู้เต็มที่
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ทางพรรคยังเรียกร้องให้กกต.อย่าปฏิบัติ2มาตราฐาน เพราะก่อนหน้านี้กกต.ได้ระบุว่า อดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ห้ามยุ่งเกี่ยวการเมือง ห้ามทำกิจกรรมการเมืองต่าง เพราะขัดกับรัฐธรรมนูญ แต่กรณีที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรคไทยรักไทย น้องชายเนวิน ชิดชอบ ได้รับการแต่งตั้ง เป็นประธานคณะทำงานรมว.มหาดไทย ตรงนี้ถือว่าเป็นความผิดเช่นเดียวกันกรณี นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตกรรมการบริหารพรรคชาติไทย ที่ได้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว อยากถามว่า 2 คนนี้มีความผิดหรือไม่ หากไม่มีความผิด ทางพรรคก็มีแนวคิดจะให้อดีตกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิมาช่วยผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมในนามพรรคเพื่อไทยหาเสียงเช่นกัน
ด้านนายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้านและส.ส.อยุธยา แถลงข่าวภายหลังจากประชุมวางกรอบเตรียมการซักฟอกนโยบายรัฐบาลว่า ที่ประชุมมีมติเบื้องต้นจะรอดูท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากทราบว่าขณะนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้เรียกประชุมส.ส.ในวันที่ 29 ธ.ค.เวลา 07.00 น.ที่พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อประเมิณสถานการณ์ในช่วงเช้าก่อนการประชุม กรณีผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงมาปิดล้อมที่รัฐสภา
โดยในส่วนของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นฝ่ายค้าน จะขอรอดูสถานการณ์เพื่อหารือในช่วง 8.00 น.ที่พรรคเพื่อไทยอีกครั้ง แต่หากพรรคประชาธิปัตย์มีมติไม่เข้าแถลงนโยบายพรรคก็เตรียมที่จะจัดเวทีที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่29 ธค. ทันที เพื่อปราศรัยความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยใช้หัวข้อว่า”การปล้นประชาธิปไตยครั้งใหญ่ที่สุดในโลก” โดยจะให้ทีมอภิปรายนำเนื้อหาที่ได้เตรียมไว้อภิปรายนโยบายรัฐบาลนำมาพูดบนเวทีปราศรัยให้ประชาชนรับทราบ
ด้านนายวิทยากล่าวว่า หากมีการประชุมแถลงนโยบาย พรรคได้เตรียมทีมอภิปรายโดยจะใช้แกนนำหลัก 10 คน คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม นายชัยวัฒน์ ทรัพย์รวงทอง ส.ส.ชัยนาท นายมานิตย์ จิตจันทร์กลับ ส.ส.สัดส่วน และตน เป็นผู้อภิปรายซักฟอกนโยบายรัฐในด้านต่างๆ โดยจะเน้นที่จริยธรรมการเมือง และความชอบธรรมทางด้านกฎหมายและการบริหารบ้านเมืองที่สำคัญในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะเห็นว่าในเรื่องนี้ไม่ได้ระบุเรื่องมาตราการในการปราบปรามยาเสพติดที่ถือเป็นนโยบายของทุกรัฐบาล ซึ่งเป็นที่น่าผิดสังเกต ส่วนส.ส.จำนวน 80 คน ที่เข้าร่วมอภิปรายก็ได้มีการแบ่งลำดับและเวลาในการพูดตามความเหมาะสม
ขณะที่ นายมานิต จิตตจันทร์กลับ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อดีตประธานนปช. กล่าวถึง กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำครม.บางส่วน เข้าพบ พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ ประธานองคมนตรีที่บ้านสี่เสาเทเวศน์เมื่อช่วงเช้าวันที่28 ธค.ว่า เข้าใจว่าพล.อ.เปรมเป็นบุคคลที่พรรคประชาธิปัตย์เคารพ จึงได้เดินทางไปหา ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่อยากออกความเห็นมาก แต่การที่พล.อ.เปรมมาบอกว่า ประเทศไทยโชคดีที่ได้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี การพูดอย่างนี้หมายความว่าพล.อ.เปรมยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ และประธานองคมนตรีควรพูดเช่นนี้หรือไม่
นายมานิตย์กล่าวว่า หากมติที่ประชุมของพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่29 ธค.ไม่เข้าไปแถลงนโยบายในรัฐสภา คงเป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ แม้ในทางกฎหมายสามารถทำได้ แต่ถ้าพยายามจะอ้างว่าเป็นประเด็นการเมืองเป็นเพราะกลุ่มเสื้อเอง คงไม่ได้เพราะคนเสื้อแดงเป็นผู้เสียหายที่ถูกปล้นประชาธิปไตยไปตั้งแต่ 19 กันยาน และนายอภิสิทธิ์ ถือว่าเป็นนอมินีของคมช. ดังนั้นคนเสื้อแดงจึงมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องประชาธิปไตยคืนมา อย่างไรก็ตามประเด็นที่ตนจะอภิปรายในสภาฯนั้นได้เตรียมพร้อมในประเด็นรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย