xs
xsm
sm
md
lg

“เพื่อแม้ว” ซ้อมถล่มนโยบายรัฐอ้างพิลึกถอด “3 เกลอ” แทรกแซงสื่อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
“เพื่อแม้ว” ประชุมซักซ้อมถล่มนโยบายรัฐบาลเต็มที่ “เหลิม” นำทีม ข้องใจไม่พูดถึงโครงการเมกะโปรเจกต์ โวยถอด “ความเท็จวันนี้” อ้างเฉยเป็นการแทรกแซงสื่อ

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ให้สัมภาษณ์ 

วันนี้ (28 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ทำการพรรคเพื่อไทย มีการประชุมเตรียมความพร้อมการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน รวมทั้งเตรียมการอภิปรายนโยบายรัฐบาลในวันที่ 29-30 ธ.ค. โดยมีแกนนำพรรคเดินทางมาประชุมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ในฐานะหัวหน้าทีมอภิปราย นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน และส.ส.อยุธยา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา ว่าที่ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ส.ส.ขอนแก่น เป็นต้น

ร.ต.อ.เฉลิม ให้สัมภาษณ์ว่า เท่าที่ได้อ่านนโยบายรัฐบาลพบว่ามีการลอกเลียนแบบโครงการประชานิยมมาจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างชัดเจนถึง 99% ในส่วนของนโยบายเร่งด่วนไม่มีการกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน แถมยังนำเรื่องจัดตั้งองค์กรพิเศษแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มาเป็นวาระเร่งด่วนภายใน 1 ปี ซึ่งทำไม่ทันแน่นอน เพราะในการจัดตั้งองค์กรพิเศษนั้นจำเป็นต้องหาบุคลากร อาวุธยุทโธปกรณ์มาเพิ่มเติม ซึ่งทำให้เสียงบประมาณอีก ความจริงก็มีกฎหมาย กอ.รมน. ที่ให้นายกรัฐมนตรีเป็น ผอ.กอ.รมน.อยู่แล้ว ยังคิดในเรื่องที่ไร้ประโยชน์อีก นอกจากนี้ยังบอกว่าจะแก้ปัญหาแหล่งน้ำ พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ ภายในเดือน ม.ค.52 แต่ขณะนี้จะสิ้นเดือนแล้ว มีเวลาแค่เดือนเดียวจะไปทำทันได้อย่างไร แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้อ่านนโยบายก่อนส่งรัฐสภาเลย ถ้าจะไปแก้ไขใหม่ก็ยังทัน ทั้งนี้ในการอภิปรายนโยบายครั้งนี้ ตนจะวิเคราะห์เอกสารที่รัฐบาลแถลงให้ฟังทีละหน้าจนครบ จะไม่ทำเหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน ที่ให้อาจารย์มหาวิทยาลัยเขียนมา 4-5 แผ่นแล้วด่าอย่างเดียวในเรื่องที่เขาไม่ได้แถลง ซึ่งหลังการอภิปรายแล้วคงไม่ทำให้รัฐบาลถึงกับสั่นคลอน เพราะรัฐบาลโวหารดี

“จะอภิปรายให้เห็นว่าที่พรรครัฐบาลเคยด่า พ.ต.ท.ทักษิณ เอาไว้ว่าขายประเทศ จะเอาคูเวตมาซื้อแผ่นดินไทย วันนี้เตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะต่อไปข้าวไทยจะขายไม่ได้ เพราะรัฐบาลคูเวตไปเจรจากับประเทศลาวแล้วขอเช่าที่ 4 พันไร่ผลิตข้าว มีการเตรียมเซ็นเอ็มโอยูแล้ว และที่น่าอับอายที่สุดในนโยบายรัฐบาล คือ ไม่มีนโยบายเรื่องการปราบปรามยาเสพติด ไม่มีเมกะโปรเจกต์ ไม่มีการสร้างงาน แล้วคนจะไปมีงานทำได้อย่างไร ไหนว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ผมไม่ได้จบเศรษฐศาสตร์แบบนายกฯ ผมจบกฎหมาย แต่ก็เรียนมินิเอ็มบีเอจาก ม.เกษตรฯ” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

หัวหน้าทีมอภิปรายพรรคเพื่อไทย กล่าวอีกว่า เท่าที่ดูนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ ได้รู้ชัดว่าอาจจะเก่งตอนเรียน แต่เอาจริงไม่ใช่ เพราะตั้งแต่โปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีก็สะเปะสะปะไปหมด บอกว่าจะเอางบประมาณ 1 แสนล้านบาท ที่พวกเราเคยทำไว้เป็นงบกลางปีไปกระตุ้นเศรษฐกิจ และเอางบจากธนาคารมาอีกแสนล้าน แล้วพลาดเผลอไปพูดใน 72 ชั่วโมงที่ผ่านมาว่าจะเอางบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อีก 1 แสนล้านมา แล้วก็มาแก้ตัวตอนสายเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ว่าไม่ได้เอาเงินมา แต่จะกระตุ้นให้ใช้เงินเร็ว ทั้งที่ความจริงเงินของอปท.เป็นเงินที่รัฐต้องจัดสรรให้ตามรัฐธรรมนูญ และต้องมีการกำหนดงานว่าโครงการไหน มีการประกวดราคา ทำสัญญาว่าจ้างตามระเบียบเขาถึงจะจ่ายเงินให้ จะไปกระตุ้นให้ใช้เร็วหรือช้านั้น จะไปทำให้เขาติดคุกหรืออย่างไร ส่วนรัฐมนตรีก็ขยันกันจัง สั่งงานกันไฟแลบหมด ทั้งที่รัฐธรรมนูญมาตรา 176 บอกชัดว่า ครม.จะบริหารราชการได้ต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อน

การที่นายกรัฐมนตรีออกกฎ 9 ข้อนั้นก็ทำเหมือนไม่ให้เกียรติและไม่ไว้วางใจ ครม. โดยเฉพาะในข้อ 9 ที่ห้ามรัฐมนตรีทำตัวเหนือประชาชนโดยทั่วไปนั้นก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะความเชยของนายกรัฐมนตรีหรือไม่ แสดงว่าไม่ได้อ่านมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าประชาชนมีสิทธิเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์

ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวโจมตีนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศว่า เป็นคนที่เลอะเทอะ ครั้งแรกบอกว่าไม่ได้ให้สัมภาษณ์ ต่อมาก็บอกให้สัมภาษณ์เรื่องอาหารดี ดนตรีไพเราะ เป็นนวัตกรมใหม่ยากต่อการลืมเลือน และตอนที่ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ก็อวดรู้ทำให้เป็นฉลาดบอกว่ารัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ยกประสาทพระวิหารให้กัมพูชา ทั้งที่ไม่จริง วันนี้เอียงไปเอียงมา พฤติกรรมคนเหล่านี้เวลาเป็นฝ่ายค้านทำตัวอย่างหนึ่ง เป็นรัฐบาลก็ทำอีกอย่าง

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีระบุอาจจะเลื่อนวันแถลงนโยบายออกไปหากสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงรุนแรง ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่คิดว่าจะมีอะไรรุนแรง ที่มีคนมาประท้วงเป็นเพราะเรื่องการได้ตำแหน่งและตั้งรัฐบาลมาแบบไม่สง่างาม ตอนเลือกตั้งได้คะแนนนิดเดียว จึงเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาอะไร ตนก็จะเดินทางไปรัฐสภาแต่เช้า จะไม่ทำเหมือนนายอภิสิทธิ์ที่หนีไปตั้งหลักที่พรรค และยืนยันว่าจะไปอภิปรายแน่นอน

“ขอให้นายอภิสิทธิ์เตรียมตอบให้ดี อย่ามีอารมณ์ ขออย่าได้ประท้วง ผมจะไม่มีการอภิปรายนอกกรอบ และจะไม่เริ่มอภิปรายทันทีหลังจากนายอภิสิทธิ์พูดจบ แต่จะรอเวลาที่เหมาะสม ซึ่งส.ส.เพื่อไทยได้มอบเวลาให้ตนอภิปรายได้เต็มที่ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านจึงไม่มีปัญหาเรื่องเวลา ส่วนที่มี ส.ส.เพื่อไทยบางคนขอใช้เอกสิทธิ์ไม่เข้าร่วมอภิปรายในครั้งนี้ ก็เป็นสิทธิ์ ส่วนเรื่องที่พรรคเพื่อไทยจะหยิบยกเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลมาอภิปรายโจมตีนั้น ก็เชื่อว่าหมากกระดานนี้ พรรคประชาธิปัตย์ชี้แจงไม่ได้แน่ เหตุผลก็รู้ๆ กันอยู่” หัวหน้าทีมอภิปรายพรรคเพื่อไทยซักซ้อมก่อนวันจริง

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะแบ่งกลุ่มอภิปรายตามนโยบายรัฐบาล โดยการอภิปรายจะเน้นเรื่องจริงมีข้อมูลพยานหลักฐาน จะไม่ใช้โวหารเอาน้ำลายทำร้ายผู้อื่น แต่จะท้วงติงด้วยข้อเท็จจริง โดยเฉพาะเรื่องการแทรกแซงสื่อของนายสาทิต วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ถอดรายการความจริงวันนี้ ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และรัฐมนตรีหน้าลูกรังที่สั่งย้ายข้าราชการก่อนที่จะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นการกระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 75-76 และกรณีที่ดิน ส.ป.ก. ที่มีการสร้างหลักฐานเท็จและชี้แจงข้อมูลที่เป็นเท็จ

“กรณี ส.ป.ก.4-01 ท่านเนวิน เอากระจงไปปล่อย กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ผมไม่ทราบ แต่ฝ่ายเราจะไม่ทำอย่างนั้น จะอภิปรายด้วยท่าทีที่เป็นสุภาพบุรุษ เน้นหลักฐานเป็นสำคัญ ขอเรียกร้อง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก อย่า 2 มาตรฐาน ควรนำทหารให้อยู่ในที่ตั้ง เพราะทหารมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือสนับสนุนประชาชน อย่านำทหารมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ เพราะทหารไม่ได้เป็นใหญ่ อย่ามาทำพฤติกรรมที่เป็นการข่มขู่เสื้อแดงทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำกับเสื้อเหลือง” นายสุรพงษ์ กล่าว

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลนี้อยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ แบบเดียวกับวันที่ 7 ต.ค.ที่พวกตนกระโดดหนีข้ามกำแพง เชื่อว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงก็จะสนองให้นายอภิสิทธิ์จะเป็นรัฐบาลกระโดดกำแพงรุ่นสอง นอกจากนี้ ในส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดุสิต ระวังพฤติกรรมจะโดนข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 เพราะก่อนหน้าที่ตนได้ไปยื่นหลักฐานแจ้งความกับนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า นอกจากนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้จัดรายการให้พี่น้องประชาชนจากทั่วประเทศโหวตว่า ครม.นายอภิสิทธิ์ จะใช้ฉายาว่าอะไร ปรากฏว่าประชาชนร้อยละ 80 ที่ส่งข้อความมา เห็นว่ารัฐบาลควรใช้ชื่อว่า “รัฐบาลไอ้ห้อยไอ้โหน”

พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ระยะเวลา 11 ชั่วโมง ที่รัฐบาลจัดสรรให้ฝ่ายค้านอภิปรายไม่เพียงพอ เพราะระยะเวลาสองวันต้องทอนเวลาให้กับ ส.ว.8 ชั่วโมง คณะรัฐมนตรี 4 ชั่วโมง รัฐบาล 5 ชั่วโมง ซึ่ง 11 ชั่วโมง ที่ให้ฝ่ายค้านนั้นไม่พอเพราะพรรคเรามีบุคลากรเป็นจำวนมาก และลงชื่อยื่นความประสงค์ เพื่อขออภิปรายกว่า 80 คน เมื่อแบ่งเวลาแล้วสมาชิกจะได้อภิปรายไม่ถึง 10 นาที ซึ่งระยะเวลาเพียงเท่านี้ไม่เพียงพอต่อการแนะรัฐบาล ไม่ได้สาระอะไรแม้แต่น้อย และประชาชนที่รับฟังก็จะไม่ได้ประโยชน์

พ.ต.ท.สมชาย กล่าวว่า ผู้ชุมนุมเสื้อแดงเชื่อว่าชุมนุมอย่างสงบไม่กระทำพฤติกรรมเหมือนเสื้อเหลืองแต่ที่แปลกไปคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดทำอะไร แต่พอคนเสื้อแดงจะมาฟังการแถลงนโยบาย ตำรวจกลับขยันขันแข็ง ซ้อมเตรียมการับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยเฉพาะซ้อมเตรียมการนำนายอภิสิทธิ์ออกจากรัฐสภา หากปิดล้อม ขอเรียกร้อง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูแลผู้ชุมนุมเสื้อแดงเหมือนกับดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ และอย่านำตำรวจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองวางตัวให้เป็นตำรวจที่คอยปกปักรักษาประชาชน ส่วนทหารต้องมีวินัย อย่ากระสันเลียนายสนับสนุนรัฐบาล และขอให้ตำรวจที่กำลังกระทำพฤติกรรม ที่เป็นการกีดกันหรือสกัดประชาชนที่จะเดินทางเข้ามาร่วมฟังกันแถลงนโยบาย ซึ่งตรงนี้ถือเป็นสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และต้องอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเดินทางได้อย่างปลอดภัย ไม่มีการตั้งด่านตรวจบัตรประชาชน เพราะประชาชนต้องการทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อถามว่าจะมีการต่อรองระยะเวลาอภิปรายให้เป็น 3 วันหรือไม่ พ.ต.ท.สมชาย กล่าวว่า ในวันที่ 29 ธ.ค. ก่อนการอภิปรายฝ่ายค้านจะหารือเพื่อต่อรองขอขยายเวลาอภิปราย เพื่อตรวจสอบนโยบาย ออกไปอีก 3 วัน เพราะเมื่อครั้งที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลยังเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายถึงสามวัน จำนวน 13 ชั่วโมง อภิปรายคนละ 20 นาที

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมเตรียมอภิปรายนโยบายรัฐบาลว่า ไม่รู้สึกหนักใจ ในการอภิปราย เพราะนโยบายรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ส่วนใหญ่เหมือนกับอดีตรัฐบาลไทยรักไทยและพลังประชาชน แต่เป็นห่วงเรื่องระยะเวลาที่อาจจะไม่เพียงพอต่อส.ส.ที่ได้ร่วมลงชื่อขออภิปรายเป็นจำนวนมาก ดังนั้น อาจพิจารณาให้ ส.ส.ที่มีประเด็นอภิปรายคล้ายกัน ส่วนเนื้อหาในการอภิปรายนั้นจะชี้ให้เห็นว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้านเคยอภิปราย นโยบายของพรรคพลังประชาชน แต่เมื่อกลับมาเป็นรัฐบาลได้นำนโยบายทั้งหมดมาเป็นของตนเอง ซึ่งเราจะสอบถามถึงที่มาที่ไป

ส่วนกรณีที่มีผู้ชุมนุมมาปิดล้อมรัฐสภา นายวิชาญ เชื่อว่าจะไม่มีความรุนแรง และการชุมนุมดังกล่าวไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย แต่เชื่อว่าบุคคล ที่มาชุมนุมจะมาชุมนุมอย่างสงบตามแนวทางในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น รัฐบาลต้องเข้าไปดูแล ความสงบของผู้ชุมนุมอย่างเรียบร้อยและถูกต้อง
กำลังโหลดความคิดเห็น