ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเมืองไทยจาก ม.ปักกิ่ง วิเคราะห์ “รัฐบาลสมชาย” อยู่ได้ไม่นาน เหตุไร้แรงหนุนจาก “ทหาร-สถาบัน” ชี้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปก็บ้อท่าเพราะกองทัพไม่เอาด้วย ส่วนยุบสภาเลือกตั้งใหม่ก็แก้ปัญหาระยะยาวไม่ได้ ระบุอาจต้องอาศัยรัฐบาลชั่วคราวเพื่อปฏิรูปการเมือง-แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มตัวแทนของชนชั้นกลาง
หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศเคลื่อนไหวครั้งสุดท้าย โดยในช่วงวันอังคาร (25) ที่ผ่านมา ได้เคลื่อนพลเข้าไปยึดสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้การขนส่งทางอากาศต้องหยุดชะงัก และสร้างความปั่นป่วนแก่รัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง
วานนี้ (27 พ.ย.) หนังสือพิมพ์ซินจิงเป้า หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของกรุงปักกิ่ง ได้ตีพิมพ์ความเห็นของนายจางซีเจิ้น ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเมืองไทยระบุว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นการสุ่มเสี่ยงอย่างถึงที่สุดแล้ว ขณะที่กองทัพไทยก็กำหนดท่าทีต่อการเคลื่อนไหวดังกล่าวชัดเจน ส่งผลให้การดื้อดึงอยู่ในอำนาจต่อไปของรัฐบาลนายสมชายเป็นไปได้ยาก
ศ.จาง วิเคราะห์ต่อว่า จุดประสงค์ในการการปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้นชัดเจนอย่างยิ่งว่า คือ ต้องการให้ชาวโลกรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ยากจะประเมินค่าได้ เพื่อสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลและบีบนายสมชายให้ลงจากเก้าอี้ ขณะเดียวกัน ทางกองทัพก็ออกมาแสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการให้มีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ โดยขณะนี้ต้องดูว่านายสมชายจะอดทนไปได้นานแค่ไหน แต่เขาเชื่อว่าไม่น่าจะอยู่ได้นานนัก
นักวิชาการจีนผู้เชี่ยวชาญเรื่องเมืองไทยชี้ให้เห็นด้วยว่า ต่อให้นายสมชายประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน และเรียกร้องให้ทหารขยับออกจากกรมกอง แต่ทางกองทัพก็แสดงท่าทีออกมาชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องการใช้ความรุนแรงและไม่สนับสนุนรัฐบาล ดังนั้น การแก้ไขสถานการณ์การประท้วงย่อมเป็นไปได้ยาก และสุดท้ายรัฐบาลก็ต้องยอมลงจากอำนาจในที่สุด
ในส่วนของท่าทีต่อสถานการณ์ในประเทศไทย จากสถาบันเบื้องสูงที่เป็นที่เคารพนับถือของสังคมไทย ศ.จางให้ความเห็นว่า ท่าทีของกองทัพสามารถบ่งบอกได้ถึงท่าทีของสถาบันฯ ดังนั้นเขาอาจกล่าวได้ว่า สถาบันฯ ก็ไม่สนับสนุนรัฐบาลของนายสมชายเช่นกัน และนี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์อีกประการหนึ่งว่ารัฐบาลสมชายไม่อาจจะกุมอำนาจอยู่ได้ในระยะยาว
“ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่น่าจับตาต่อไปก็คือ แต่ละฝ่ายจะใช้วิธีใดในการเจรจาและหาทางออก ซึ่งอาจจะเป็นการเลือกตั้งใหม่ หรืออาจจะเป็นการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ยอมรับได้” ศ.จางกล่าว พร้อมให้ความเห็นด้วยว่า ถ้าหากทางออกคือการยุบสภาก็เป็นไปได้สูงที่กลุ่มการเมืองฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจะกลับมาครองอำนาจอีกซึ่งก็แน่นอนว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ย่อมจะต้องออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้งและวงจรอุบาทว์ของความขัดแย้งก็จะกลับมาอีกครั้ง
สำหรับทางออกอีกทางที่ นักวิชาการจาก ม.ปักกิ่ง มองเห็นก็คือ การจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวเพื่อมาปฏิรูปการเมืองตามที่กลุ่มพันธมิตรฯ เรียกร้อง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้งแบบหนึ่งคนหนึ่งเสียงเสีย เพื่อเพิ่มจำนวนผู้แทนของชนชั้นกลางให้มาก ซึ่งวิธีนี้น่าจะทำให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ปกติได้ ทั้งนี้ ในส่วนของปัญหาทางการเมืองในเชิงลึกของไทยนั้นเขามองว่า ประชาธิปไตยของไทยนั้นยังไม่เข้มแข็งเพียงพอ และประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและใช้มันอย่างถูกต้อง