“แกนนำพันธมิตรฯ” ย้ำสงครามครั้งสุดท้าย 23 พ.ย. ตอบโต้-กดดันทุกรูปแบบม้วนเดียวจบ! ประณามรัฐใช้อำนาจป่าเถื่อนยิ่งกว่าภาวะสงคราม ชี้บ้านเมืองพึ่งทหาร-ตำรวจไม่ได้ ผู้บริสุทธิ์ถูกเข่นฆ่าด้วยอาวุธสงคราม
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง แกนนำพันธมิตรฯ ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (20 พ.ย.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ผู้ชุมนุมถูกคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงเข้าใส่กลางเวทีพันธมิตรฯ ว่าถือเป็นพฤติกรรมป่าเถื่อน การที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อาวุธทำร้ายประชาชนเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า วันนี้ทหารและตำรวจดูแลความมั่นคงไม่ได้ ดังนั้น ประชาชนต้องออกมาปกป้องชีวิตตัวเอง และต้องขับไล่รัฐบาลทรราชออกไป
พล.ต.จำลอง ระบุว่า แม้ในภาวะสงครามข้าศึกที่ปราศจากอาวุธ ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ยิงเลย อย่างดีก็จับเป็นเชลยศึก แต่นี่กับประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ออกมาชุมนุมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ถูกยิงด้วยอาวุธสงครามจนเสียชีวิต และได้บาดเจ็บ ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่รัฐบาลไม่รับผิดชอบ การชุมนุม 180 วันนับจากนี้ถือว่าถึงจุดสิ้นสุดแล้ว พันธมิตรฯ จะต้องออกมาจากที่ตั้งเพื่อตอบโต้รัฐบาลทุกรูปแบบประเภทม้วนเดียวจบแต่อย่างไรก็ตามการเผด็จศึกของเราก็ไม่ได้หมายถึงต้องใช้ความรุนแรงเข้าฟาดฟัน แต่รายละเอียดนั้นคงยังตอบไม่ได้ แต่ก็รับรองว่าพันธมิตรฯ จะไม่เป็นฝ่ายใช้ความรุนแรงอย่างเด็ดขาด
“ไม่มีต่อไปแล้วครับ วันนี้เป็นวันที่ 180 แล้ว วิธีการในรายละเอียดจะแจ้งให้ทราบภายหลัง แต่วิธีการนี่คือ ไม่ใช่ว่าเราจะไปถืออาวุธสู้กับเขานะ ไม่ใช่ว่าเค้าเตรียมปืนมาแล้วไปยิงกับเขา อย่างนั้นไม่ใช่”
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเรียกชุมนุมใหญ่ในครั้งนี้เกรงหรือไม่ว่าอาจจะทำให้ประชาชนที่มาร่วมชุมนุมได้รับบาดเจ็บอีก พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ไม่มีทางที่จะเกิดเหตุการณ์ การสูญเสียเลือดเนื้ออีก เพราะเมื่อประชาชนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก พลังของประชาชนก็มากพอที่รัฐบาลจะไม่สามารถสร้างความรุนแรงได้อีก และตนก็เชื่อว่าการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้จะมีผู้มาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ คนทั้งประเทศจะนิ่งดูดายปล่อยให้เกิดความรุนแรงขึ้นกับบ้านเมือง และหากรัฐบาลกระทำการรุนแรงขนาดนี้แล้ว ประชาชนยังจะนิ่งเฉยปล่อยให้รัฐบาลกระทำการที่ป่าเถื่อนเช่นนี้อีก โดยที่ไม่ได้ออกมาสู้ พันธมิตรฯ เองก็คงต้องขนของกลับบ้าน แล้วก็ปล่อยให้บ้านเมืองนี้เป็นของทรราชไป
พล.ต.จำลอง กล่าวด้วยว่า เรื่องของการรักษาความปลอดภัยนั้นถือเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ที่ต้องมีการป้องกันความปลอดภัยแก่ผู้ชุมนุมให้มากที่สุด โดยมาตรการป้องกันความปลอดภัยในระยะแรกที่พอจะเปิดเผยได้นั่นคือ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (21 พ.ย.) เป็นต้นไป พันธมิตรฯ จะยุติการปราศรัยและถ่ายทอดสดทางเอเอสทีวี ในเวลา 24.00 น. เพื่อให้ผู้ชุมนุมได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และเพื่อให้หน่วยรักษาความปลอดภัยดูแลความปลอดภัยได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ทางพันธมิตรฯ ก็ได้ทำการส่งหนังสือไปยังหน่วยงานด้านความมั่นคงแล้วตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมในครั้งที่แล้วว่าให้ช่วยออกมาดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนผู้มาร่วมชุมนุม แต่เมื่อมาเกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้อีก ตนจึงอยากถามว่าทหารยอมได้อย่างไรให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเช่นนี้ขึ้นใกล้สถานที่สำคัญอย่างกองบัญชาการกองทัพบก และกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 เหตุใดทหารจึงปล่อยให้เกิดเหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธสงครามมาเข่นฆ่าประชาชนในเมืองหลวงได้ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าทำให้ภาพลักษณ์ของทหารเสียหายไปมาก ดังนั้นในเรื่องนี้ตนคงไม่เรียกร้องให้ทหารออกมาทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่อยากบอกทหารว่าพึงสำนึกไว้ว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของทหารที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ด้าน นายสมเกียรติ กล่าวว่า ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ทั้ง 5 ครั้งที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการวุฒิสภา และคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน ได้สรุปออกมาแล้วว่า รัฐบาลเป็นฝ่ายกระทำความรุนแรงต่อประชาชน ดังนั้น ในครั้งนี้ตนเชื่อว่าประชาชนคงจะทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ส่วนกรณีที่สื่อมวลชนจะมาตั้งคำถามกับพันธมิตรฯ ว่า หากเรียกคนมาชุมนุมใหญ่แล้วจะมีการป้องกันความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุมอย่างไรนั้น นายสมเกียรติ กล่าวว่า สื่อมวลชนควรจะเอาคำถามนี้ไปถามตำรวจหรือรัฐบาลจะดีกว่า ว่าเมื่อใดจะเลิกกระทำรุนแรง โหดร้ายป่าเถื่อนกับประชาชน เพราะเรื่องนี้ต้องให้ฝ่ายผู้กระทำเป็นคนตอบว่าเมื่อไหร่จะหยุด ไม่ใช่มาถามฝ่ายที่ถูกกระทำย่ำยี มานั่งตอบคำถามว่า จะป้องกันอันตรายได้อย่างไร
“ประชาชนไม่มีวันที่จะปล่อยให้รัฐทรราช และฆาตกร ครองอำนาจอีกต่อไป แถลงการณ์ฉบับนี้จึงเป็นการหยุดยั้งทรราชฆาตกรหุ่นเชิด และสภาระบอบทักษิณ ดังนั้นสื่อมวลชนควรจะไปถามอำนาจรัฐเถื่อนว่าคุณจะเผด็จศึกประชาชนอย่างไรมากกว่า”
นายสมเกียรติ กล่าวด้วยว่า พันธมิตรฯ อยากจะขอร้องไปยังสื่อมวลชนว่า อยากให้สื่อมวลชนทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายโดยไม่บิดเบือน และสื่อมวลชนเองก็ควรที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบกันเองด้วยว่า การเสนอข่าวของแต่ละสื่อ หรือแต่ละสมาคมว่าเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ อย่าให้เหมือนกับเหตุการณ์ที่ว่า เมื่อพันธมิตรฯ บุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ที่กรุงเทพฯ ก็ออกแถลงการณ์ประณามว่าพันธมิตรฯ เป็นพวกรุนแรงป่าเถื่อน แต่เมื่อ นปก.บุกสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ทีวีสาธารณะที่ จ.เชียงใหม่ กลับออกแถลงการณ์ขอเรียกร้องให้ยุติการกระทำ
“สื่อมวลชนบางฉบับใส่ร้ายป้ายสีประชาชน ถึงขนาดออกแถลงการณ์ในนามสมาคมของพวกเขาในการบุกยึดเอ็นบีที ของพันธมิตรฯ เค้าออกแถลงการณ์ประณาม พอการบุกยึดสถานีโทรทัศน์ของ นปก.ที่เชียงใหม่เค้าออกแถลงการณ์ขอเรียกร้อง ของเราขอประณามนะครับ พี่น้องสื่อมวลชน พี่น้องประชาชน ต้องตรวจสอบสื่อของประเทศเราด้วยนำครับ แล้วก็สื่อบางสื่อก็มองว่า เมื่อรัฐตำรวจมาเข่นฆ่าประชาชนมองว่าเป็นการปะทะกัน ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ปะทะเลย สมองของพวกเขาและอคติของพวกเขาเนี๊ยะ ประชาชนต้องจดจำไว้นะครับ เราไม่มีวันประนีประนอมพวกอธรรม ไม่ว่าจะอยู่วงการไหนก็ตาม ถ้ามีกลุ่มอธรรมอยู่ประชาชนจะต้องไม่ปล่อยให้ลอยนวลต่อไป”
ขณะที่ นายพิภพ ธงไชย กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลทำกระทำการรุนแรงกับประชาชนมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะออกมาชุมนุมโดยปราศจากอาวุธเพื่อหยุดรัฐบาล ไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับประชาชนได้อีกต่อไป ซึ่งตนเชื่อว่าจากนี้รัฐบาลจะไม่สามารถก่อความรุนแรงได้อีกหากประชาชน ออกมารวมตัวกันหยุดยั้งรัฐบาล แต่หากประชาชนไม่ออกมารวมตัวกันรัฐบาลก็จะได้ใจ และกระทำความรุนแรงเช่นนี้กับประชาชนทุกกลุ่ม ที่ออกมาคัดค้านการกระทำอันไม่ชอบธรรมของรัฐบาล
ด้าน นายสาวิตย์ แก้วหวาน เลขาธิการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในฐานะแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ สมาพันธ์จะนัดประชุมแกนนำทั่วประเทศที่ห้องประชุมสมาพันธ์ในเวลา 09.00 น. เพื่อกำหนดมาตรการตอบโต้ โดยเบื้องต้นจะกำหนดให้พนักงานรัฐวิสาหกิจทั่วประเทศพร้อมใจกันหยุดงานเพื่อเข้าร่วมการชุมนุม
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า แกนนำพันธมิตรฯ ได้มีมติว่า ตั้งแต่คืนวันที่ 20 พ.ย.เป็นต้นไปจะให้มีการปราศรัยบนเวทีในทำเนียบรัฐบาลถึงเที่ยงคืนเท่านั้น หลังจากนั้นจะหยุดการปราศรัยเพื่อให้ผู้ร่วมชุมนุมได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และจะจัดการ์ดอาสาจำนวน 500 คน ทำการลาดตระเวนพื้นที่โดยรอบทำเนียบรัฐบาลในรัศมี 500 เมตรจนถึงเช้า