ผู้จัดการออนไลน์ – “พิภพ” เชิญชวนร่วมส่งเสด็จพระพี่นางฯ ด้วยการรักษาความสะอาดให้ต้องตามพระราชอัธยาศัย ช่วงวันพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ รับอาสาสมัครใส่เสื้อ “มนุษย์สะอาด” พร้อมเตรียมพูดเรื่อง “การเมืองสะอาด” บนเวที ช่วงศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ มั่นใจ “แม้ว” ไม่มีทางตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ เหตุนานาประเทศไม่ยอมรับ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
เวลา 20.55 น. วันที่ 13 พ.ย.นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาลโดยบอกว่า ที่ตนใส่เสื้อสีดำและมีตัวหนังสือคำว่า “มนุษย์สะอาด” นั้น เนื่องมาจากข้าราชบริพารรับใช้สมเด็จพระพี่นางฯ ได้มาพูดคุยกับทีมงานและแกนนำพันธมิตรฯ เมื่อวันก่อน ว่า อยากให้พี่น้องประชาชน รวมทั้งพันธมิตรฯ ได้ร่วมกันส่งเสด็จโดยต้องตามพระราชอัธยาศัยของสมเด็จพระพี่นางฯ นั่นคือ การรักความสะอาดและความเป็นระเบียบ จึงมาคุยกันว่าเราจะทำในส่วนของเรา คือ ในช่วงวันพระราชพิธีนั้น จะมีการรณรงค์รักษาความสะอาดไม่ทิ้งขยะสักชิ้นเดียวในวันดังกล่าว ไม่ว่าจะที่ไหน ไม่ว่าจะอยู่ต่างจังหวัด สนามหลวง หรือถนนราชดำเนิน และในทำเนียบรัฐบาล โดยจะใช้คำว่า “มนุษย์สะอาด” ในการณรงค์ และจะหาอาสาสมัครใส่เสื้อตัวนี้จำนวนประมาณ 200 ตัว ซึ่งตอนนี้รู้สึกชอบคำนี้ อยากเอามาใช้แทนการเมืองใหม่ว่า การเมืองสะอาด
นายพิภพ กล่าวต่อว่า มี 3-4 เรื่องที่อยากรณรงค์ ในช่วงการส่งเสด็จวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์นี้ คือ 1.ได้ขอความร่วมมือกับกรุงเทพมหานครทำอุปกรณ์ ถุงมือ ที่ผ่องถ่ายขยะ ขณะพันธมิตรฯจะทำป้ายผ้ารณรงค์เรื่องนี้ 2.ทำเสื้อหรือทำกล่องเก็บขยะ พิมพ์จุดมุ่งหมายการเก็บขยะถวายเป็นพระราชกุศลส่งเสด็จ 3.ทำถังขยะเคลื่อนที่บริเวณริ้วขบวน รวมทั้งที่ท้องสนามหลวงเพื่อความสะอาดของงาน และ 4.รับสมัครมนุษย์สะอาด 100-200 คน ซึ่งความคิดเหล่านี้มาจากข้าราชบริพารของสมเด็จพระพี่นางฯ ให้พันธมิตรฯ เราช่วยกระตุ้นให้คนรักความสะอาดมากขึ้น
นายพิภพ ได้ตอกย้ำสิ่งที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้พูดไปก่อนว่า ช่วงงานพระราชพิธี วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ จะไม่พูดถึงการเมืองที่ดุเดือดเลือดพล่าน แต่จะพูดเรื่องอนาคต เรื่องการเมืองใหม่ โดยส่วนตัวเตรียมจะพูดเรื่องการเมืองสะอาด เพื่อเป็นการส่งเสด็จสมเด็จพระพี่นางฯ ถ้าการเมืองสะอาด การเมืองเสียสละก็จะทำให้บ้านเมืองสงบ สถาบันต่างๆ ก็จากอยู่ได้มั่นคง ทุกวันนี้ที่บ้านเมืองมีปัญหามาจากความสะอาดทางจิตใจของนักการเมืองที่ไม่ถึง และเราจะรณรงค์ช่วง 2-3 วัน แต่จะให้ดี ก็จะรณรงค์ตลอดไป
ต่อมา นายพิภพ กล่าวถึงเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะไปจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในต่างประเทศ นายพิภพ กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะไม่มีประเทศใดในโลกที่จะให้อำนาจอดีตผู้นำตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น เพราะในช่วงที่ คมช.ทำการปฏิวัติตอนนั้น จะมีโอกาสมากกว่า นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นหนึ่งเดียวมีพระมหากษัตริย์องค์เดียว จึงยากที่กลุ่มคนใดๆ จะแยกประเทศ หรือตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น แล้วนานาประเทศจะให้การรับรอง โดยเฉพาะอังกฤษที่ยกเลิกวีซ่าจะไม่รับรองแน่นอน แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็ไม่มีทาง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยเข้าประเทศสหรัฐฯ แม้การไปประชุมสหประชาชาติก็อยู่ในเขตแดนของสหประชาชาติเท่านั้น แสดงว่ามีอะไรที่สหรัฐฯไม่ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศ
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว เรื่องการปราบยาบ้าที่มีการสนับสนุน หรือชี้ให้ตำรวจใช้วิธีการวิสามัญฆาตกรรมได้ ซึ่งมีผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าด้วย ถือว่าไม่ได้ใช้กระบวนการแก้ไขปัญหาเรื่องยาเสพติดเหมือนอารยะประเทศทำกัน แต่กลับสั่งตำรวจไปฆ่าแทน โดยสมัยที่คุยกับนางประทีป อึ๊งทรงธรรม ว่าเป็นอย่างไรผลการปราบยาบ้าของคุณทักษิณ ว่าดีขึ้นเล็กน้อย แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ปราบรายใหญ่ ซึ่งยืนอยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ เวลาแถลงข่าวนั่นเอง
นอกจากนี้ ทางยุโรปและสหรัฐฯ กล่าวหาว่า ในรัฐบาลทักษิณ มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด โดยเฉพาะปัญหาใน 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งมีการฆ่ากันตายโดยไม่ผ่ายกระบวนการยุติธรรม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนนานาชาติ เคยมาถามว่า ปัญหาการละเมิดสุทธิมนุษยชนในภาคใต้นั้นรุนแรงแค่ไหน ซึ่งได้ตอบไปว่าเป็นเพราะพ.ต.ท.ทักษิณเกิดและโตมาจากตำรวจ เคยชินแต่การใช้อำนาจเกินขอบเขต จึงไม่ค่อยเข้าใจในสิทธิมนุษยชน นอกจากเคยชินกับการใช้อำนาจแล้ว ยังถูกฝึกให้ทำธุรกิจ อย่างผิดกฎหมาย ไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม ซึ่งแต่เดิมก่อนเป็นนายกฯ มุ่งแต่ทำธุรกิจสร้างแสวงหากำไร โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด ดังนั้น เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ต่างประเทศเขารู้
สุดท้ายกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบเปรียบตัวเองกับบุคคลสำคัญโดยไม่ดูความจริงว่าตัวเองเป็นเช่นไร โดยเปรียบเทียบตัวเองกับเนลสัน แมนเดล่า ของแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะแมนเดลาสู้เพื่อเอกราชของชาวแอฟริกาใต้ และต่อสู้เพื่อสิทธิของคนผิวดำ โดยที่เขาไม่ได้ทำธุรกิจการเมือง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อสู้เพื่อตัวเองมาโดยตลอด ไม่ได้ดูว่าคุณค่าของตัวเองเทียบเท่าบุคคลเหล่านั้นได้หรือไม่ ช่างเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะเหมือนไม่รู้ตัวเองว่ามีคุณค่าแค่ไหน ถึงไปยกตัวเองว่าเก่งขนาดนั้น