ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญแก่ปวงชนชาวไทยไปอีกนานแสนนาน
ด้วยพระองค์ทรงเป็น “พ่อของแผ่นดิน” เราพี่น้องคนไทย จะคิดต่างกัน จะชอบไม่ชอบต่างกัน เราก็ยังภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย และมี “พ่อแห่งแผ่นดิน” ผู้ทรงรักและห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ ดังลูกๆของพระองค์จริงๆ ได้คำสอนดีๆสำหรับเรามากมาย
ในบรรยากาศวันพ่อแห่งชาติ ไทยทนขอเสนอให้คนไทย เลิกคิดอย่างน้อยชั่วคราวว่า ใครอยู่พวกใคร ใครกำลังเกลียดใคร ใครใส่เสื้อสีอะไร แล้วหาบทเรียนจาก “คำสอนของพ่อ” และ บทเรียนอื่นๆ เป็นของขวัญวันพ่อ ไม่โทษว่า “ใครถูก” หรือ “ใครผิด” แต่หาว่า “อะไรถูก” หรือ “อะไรผิด” และเชื่อว่า จะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องคนไทยทุกๆคน ไม่ว่าจะถูกทำให้เชื่อว่าเป็นพวกใคร
คำสอนแต่ไหนแต่ไร ที่ยังก้องในสมองคนไทย เป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยจริงๆ เช่น
คำสอน “เศรษฐกิจพอเพียง” พาชาติพ้นวิกฤตทั้ง “ต้มยำกุ้ง” และ “แฮมเบอร์เกอร์” ขณะที่ต่างประเทศสรุปว่า ปัญหาครั้งนี้ เกิดจาก “เศรษฐกิจลูกโป่งแตก” อีกรอบ ด้วย กู้เกินตัว ลงทุนเกินตัว ใช้จ่ายเกินตัว และมีปัญหากว้าง เพราะเป็นหนี้รากหญ้า (แม้หญ้าอเมริกันจะต้นใหญ่หน่อย”) ที่เรียกกันว่า ปัญหาหนี้ซับไพรม์เมืองไทยเรายึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ พอประมาณ สมเหตุสมผล และมีภูมิคุ้มกันความเสี่ยง โดยประกอบด้วยความรอบคอบ รอบรู้ และหลักคุณธรรม เราได้ยินข่าวสถาบันการเงินมีปัญหาใหญ่ทั่วโลกแทบทุกสัปดาห์ แต่ไม่มีปัญหาในเมืองไทย เป็นพระมหากรุณาธิคุณจากคำสอนของพ่อจริงๆ
คำสอน “รู้รักสามัคคี” ช่วยทำให้เมืองไทยยังเป็น “สยามเมืองยิ้ม” เมืองแห่งความรักและน้ำใจ เป็นที่เลื่องลือทั่วโลก ไม่เป็นเมืองเถื่อน ไร้ความสงบ ดังที่เริ่มปรากฏในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คำสอน “รู้รักสามัคคี” ทำให้เราผ่านเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” และความขัดแย้งต่อๆมา โดยเฉพาะ คำเตือนที่ว่า “ตามประวัติศาสตร์ ประเทศก็อาจเป็นดังเรือไททานิค ที่ล่มลงได้ด้วยความแตกแยกในบ้านเมือง”
คำสอน “ความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นเรื่องธรรมดา” ทำให้คนดีมีกำลังใจไม่ท้อใจ คนอยากจะไม่ซื่อ อยากจะทุจริตก็มีโอกาสกลับตัวกลับใจ เพราะในขณะที่ สังคมเริ่มถูกพยายามให้เชื่อว่า “การโกงเป็นเรื่องธรรมดา” เวลาถกความผิดกัน เริ่มไม่แก้หลักฐานการโกงกันแล้วว่า “ไม่จริง ฉันไม่ได้โกง หลักฐานผิด” กลับกลบเกลื่อนให้เชื่อว่า “การโกงเป็นเรื่องธรรมดา” หากเชื่อกันเช่นนั้น ยุคลูกหลานของเราจะต้องลำบากเดือดร้อนกันกว่านี้อีกเท่าใด
กับสถานการณ์ความสับสนในบ้านเมือง ไทยทนเขียนได้เป็นสมการ
พันธมิตร vs ระบอบทักษิณ = M79 + สนามบิน
อาจจะคล้ายๆ กับสมการ
พี่น้อง 3 จังหวัดภาคใต้ vs ระบอบทักษิณ = ทนายสมชาย + ตากใบ + กรือเซะ + ความไม่สงบในชาติ
ซึ่งหากคนไทยเราไม่เก็บบทเรียนกันให้ดี แสวงหาความถูกต้องชอบธรรม เราก็อาจจะพบกับปัญหาที่บานปลายไปมากกว่านี้ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นมากมาย เป็นดังต้นทุนแพงของบทเรียน สิ่งที่สำคัญคือ เราคนไทย จะได้บทเรียนอะไรที่จะคุ้มค่าที่สุด (แม้อาจจะดูไม่คุ้ม แต่ก็ขอให้คุ้มที่สุด) ไทยทนเสนอว่า มีบทเรียนที่ค่ามาก ดังนี้
1. คนไทยพึงรักกัน เห็นคุณค่ากัน ให้เกียรติกัน และให้ความเป็นธรรมต่อกัน เมื่อมีปัญหาในภาคใต้ ทนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายมุสลิม ผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน เป็นผู้พิทักษ์ความเป็นธรรมให้ลูกความมุสลิมใน 3 จังหวัดภาคใต้ ก็ถูกการใช้อำนาจรัฐบิดเบือนป้ายสีว่า เป็น “ทนายโจรใต้” และตามมาด้วยการ “อุ้ม” หายตัวไปในวันที่ 12 มีนาคม 2547 ก็นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเหตุการณ์น่าสลดใจ กรือเซะ ในวันที่ 12 มี.ค. 2547 และ ตากใบ ในวันที่ 25 ต.ค. 2547 หากการจัดการ ยังเป็นลักษณะ สื่อความข้างเดียว กดดันเป็นคนส่วนน้อย เป็นพลเมืองชั้น 2-3 ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม สังคมก็ยากที่จะได้รับความสงบสุข 3-4 จังหวัดภาคใต้ ก็สงบสุขมาหลายปี กลับลุกเป็นไฟ กลายเป็นปัญหาบานปลายให้กับสังคมโดยรวม
2. แดงเกลียดเหลือง เหลืองเกลียดแดง คนตรงกลางเกลียดทั้งคู่ มารชนะ คนที่อยากให้เรื่องวุ่น ผู้คนเลิกสนใจคคดีชนะ ประเทศไทยแพ้ เราคนไทยแพ้
แดง เหลือง คนตรงกลาง รักกัน สามัคคีกัน มีสติ พิจารณาทุกเรื่อง ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ความรักชนะ หลักการ “ความรู้รักสามัคคี” ของพระเจ้าอยู่หัวผู้ชนะ ประเทศไทยชนะ
3. บทเรียนการใช้สื่อด้วย “ความจริงครบด้าน และเป็นธรรม” คล้ายกรณี 3 จังหวัดภาคใต้ ในกรณีพันธมิตร เรียกร้องความถูกต้อง ปฏิเสธการตั้งรัฐบาลโนมินีเพื่อปกป้องความผิด กลับถูกสื่อให้เป็นพวกไม่ยอมรับประชาธิปไตย แม้รัฐบาลมีชนัก จึงไม่อยากใช้มาตรการเด็ดขาด เพราะอำนาจตนก็จะจบลงด้วย แต่ทำให้หลายครั้งปัญหาที่เกิดขึ้น จึงอาจมีส่วนที่ รัฐบาลก็ถือโอกาสขยายความเสียหาย เช่นเมื่อครั้งการเข้าทำเนียบช่วงกันยายน รัฐบาลก็ถือโอกาสประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และโทษพันธมิตรฝ่ายเดียว ทำให้ต่างชาติก็ไม่อยากมา ทั้งที่ก็ดูไม่ฉุกเฉินอะไร ยกเลิกไปก็ไม่มีอะไร มีการใช้สื่อข้างเดียว ใส่ความว่ากบฏ ทำเนียบเสียหาย ของมีค่าสูญหายมากมาย แต่ความจริงก็ไม่ใช่
สื่อของรัฐถ่ายทอดอย่างไม่เป็นธรรม ให้รู้สึกว่าพันธมิตรก้าวร้าว ใช้ความรุนแรงทำร้ายผู้อื่น ทั้งๆที่ ส่วนใหญ่ก็แสดงความเห็นอย่างสงบในที่ตั้ง จึงเป็นการสร้างความกดดันหัวใจที่มาเพื่อชาติอย่างต่อเนื่อง
ตำรวจจับคนที่อ้างว่าเป็นการ์ดพันธมิตรได้ พกระเบิดติดตัว เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ แต่ตำรวจกลับไม่สามารถสกัด หรือจับคนที่ยิงระเบิด M79 เข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งที่พื้นที่ก็นิ่ง และเป็นบริเวณเป้าหมายชัดเจน และรัฐบาล รวมทั้งสื่อของรัฐกลับไม่มองว่า เรื่องที่มีพี่น้องคนไทยใจบริสุทธิ์ต้องตายไป วันละคนๆ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
บทเรียนที่ดีนี้ นำไปสู่การให้สื่อของรัฐ สื่อข้อมูลด้วย “ความจริง” “ครบด้าน” อย่าง “โปร่งใส” ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อันเป็นพื้นฐานสิทธิมนุษยชนที่สำคัญจริงๆ มิเช่นนั้นก็อาจคล้าย ฮิตเลอร์ ซึ่งก็เป็นนักเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย หรือเผด็จการในเขมรหรือพม่าก็พอๆกัน ทำให้เกิดความลำบาก ความกดดันและบ้านเมืองเสียหายย่อยยับในที่สุด
4. บทเรียนการ “รักษาความดีรอบคอบ” ไทยทนยังทนไม่เท่าพี่น้องพันธมิตร ที่ชุมนุมกันกว่า 190 วัน ตากแดด ตากฝน ตากหนาว ตากแอร์กันอย่างเหลือเชื่อ โดยหลักการไทยทนไม่เห็นด้วยกับการเข้ายึดครอง และโดยเฉพาะสนามบิน ด้วยมีผู้คนจำนวนมากต้องเดือดร้อน โดยในฐานะผู้ที่เห็นคุณค่าของจุดยืนและอุดมการณ์ อย่างสูงด้วยความเคารพ การเข้าสนามบินนั้น กลับดูจะมีความเสี่ยงสูงที่กลุ่มคนที่อยากเห็นเรื่องจบก็โทษว่าแต่พันธมิตร เพราะเขาเดือดร้อน พันธมิตรอาจจะคิดว่า ถ้ารัฐบาลชอบธรรมพอ เมื่อตอบคำถามให้ตนเองชอบธรรมไม่ได้ มีสำนึกลาออกไป เรื่องก็ยุติเช่นกัน แต่พันธมิตรคงไปคาดหวังขนาดนั้นไม่ได้ ในที่สุด รัฐบาลก็ยอมปล่อยให้บ้านเมืองเสียหาย และแม้บางส่วนที่อาจจะดำเนินไปได้ เช่น คาร์โก รัฐบาลก็ไม่ทำเลย ปล่อยให้ความเสียหายมากขึ้น และให้สังคมกดดันพันธมิตรมากขึ้น
บทเรียนของพี่น้องคนไทยก็คือ “ความผิดของคนอื่น ไม่เป็นเหตุให้เราทำผิดเอง” อันทำให้คนอื่นๆเดือดร้อน จะอ้างว่า ถ้าเขาชอบธรรม เรื่องก็จบ เราก็ออกเหมือนกัน สำหรับคนทั่วไปแล้วก็เข้าใจยากทีเดียว
5. บทเรียนการ “ปัญหาของสังคม” ก็จะยังเป็น “ปัญหาของสังคม” ความกดดันอย่างไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มพันธมิตร การยิงระเบิด M79 เข้าใส่ผู้ที่ไม่ได้ต่อสู้ จนพี่น้องร่วมชาติต้องเสียชีวิตหลายคน รวมๆตั้งแต่ 7 ตุลาคม บาดเจ็บหลายร้อยคน แต่รัฐบาลและสื่อมวลชน สื่อเหมือนไม่เป็นปัญหาของฉัน กระตุ้นความเบื่อจนผู้คนก็คล้อยตาม
ท้ายที่สุดแล้ว ความไม่เป็นธรรม และความปกปิด จะทำให้เกิดความไม่ชอบธรรมที่มากขึ้น
ลองนึกภาพความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากเกิดกับพื้นที่อื่นๆจะเป็นอย่างไร เริ่มเห็นการที่กลุ่มคนไทยทำร้ายกัน กระชากกันลงมาจากรถ ข่มเหงกัน และตำรวจเพิกเฉย หาทางจับภาพเพื่อจับผิด แล้วใส่ร้าย สร้างความชอบธรรมให้รัฐ บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟได้ และคนไทยก็จะขาดความสงบสุข การท่องเที่ยวก็จะยิ่งเลวร้ายกันไปใหญ่ สังคมจึงควรตื่นตัว เรียกร้องให้รัฐบาลมีการใช้สื่อที่เป็นธรรมต่อประชาชนผู้เห็นต่างด้วย
ในที่สุด หากจะเห็นคุณค่าบ้างจากการมาสนามบินให้ชาวโลก และชาวไทยเห็นประจักษ์ก็คือ พันธมิตร เป็นกลุ่มคนใสๆ บริสุทธิ์ ไม่ได้อยากจะเบียดเบียนใคร ไม่ได้หวังอะไรส่วนตัว มีเจตนาบริสุทธิ์ต่อประเทศ มาด้วยใจรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และรักหวงแหนสมบัติของชาติ ทั้งทำเนียบรัฐบาล สนามบินทั้ง 2 แห่ง ซึ่งก็ดูจะได้คืนรัฐในสภาพที่ดีกว่าที่ถูกทำให้กลัวก่อนหน้านี้
บทเรียนนี้มีต้นทุนสูงมาก ไทยทนเห็นว่า จะ “คุ้มค่ามากขึ้น” ถ้าช่วยทำให้หลายคน กลับมาสนใจบ้านเมืองมากขึ้น ตระหนักว่า สังคมของคนหมู่มาก ต้องให้ความเป็นธรรม และความเสมอภาค ต้องทำให้ความซื่อสัตย์สุจริตไม่เบียดเบียนกัน เป็นเรื่องธรรมดา แม้อาจจะเสียต้นทุนไปบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาบานปลายในสังคมได้
6. บทเรียน “ศักดิ์ศรีตำรวจไทย” สมัยเด็กๆ ไทยทนก็รู้สึกว่า ตำรวจ คือผู้ปกป้องประชาชน “พิทักษ์สันติราษฎร์” มีศักดิ์ศรีน่ายกย่อง ก็ไม่อยากให้ตำรวจไทย ต้องรับใช้ตำรวจที่หนีอาญา จนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สังคมไม่เป็นธรรม และราษฎรขาดสันติภาพ
ด้วยบทเรียนเหล่านี้ ก็จะเป็นวิธีที่พี่น้องไทย ก้าวเดินก้าวใหม่ ด้วยใจรักกัน และทำให้กันและกันเป็นสุขครับ เป็นของขวัญวันพ่อ สุขสันต์วันพ่อครับ
ด้วยพระองค์ทรงเป็น “พ่อของแผ่นดิน” เราพี่น้องคนไทย จะคิดต่างกัน จะชอบไม่ชอบต่างกัน เราก็ยังภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย และมี “พ่อแห่งแผ่นดิน” ผู้ทรงรักและห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ ดังลูกๆของพระองค์จริงๆ ได้คำสอนดีๆสำหรับเรามากมาย
ในบรรยากาศวันพ่อแห่งชาติ ไทยทนขอเสนอให้คนไทย เลิกคิดอย่างน้อยชั่วคราวว่า ใครอยู่พวกใคร ใครกำลังเกลียดใคร ใครใส่เสื้อสีอะไร แล้วหาบทเรียนจาก “คำสอนของพ่อ” และ บทเรียนอื่นๆ เป็นของขวัญวันพ่อ ไม่โทษว่า “ใครถูก” หรือ “ใครผิด” แต่หาว่า “อะไรถูก” หรือ “อะไรผิด” และเชื่อว่า จะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องคนไทยทุกๆคน ไม่ว่าจะถูกทำให้เชื่อว่าเป็นพวกใคร
คำสอนแต่ไหนแต่ไร ที่ยังก้องในสมองคนไทย เป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยจริงๆ เช่น
คำสอน “เศรษฐกิจพอเพียง” พาชาติพ้นวิกฤตทั้ง “ต้มยำกุ้ง” และ “แฮมเบอร์เกอร์” ขณะที่ต่างประเทศสรุปว่า ปัญหาครั้งนี้ เกิดจาก “เศรษฐกิจลูกโป่งแตก” อีกรอบ ด้วย กู้เกินตัว ลงทุนเกินตัว ใช้จ่ายเกินตัว และมีปัญหากว้าง เพราะเป็นหนี้รากหญ้า (แม้หญ้าอเมริกันจะต้นใหญ่หน่อย”) ที่เรียกกันว่า ปัญหาหนี้ซับไพรม์เมืองไทยเรายึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ พอประมาณ สมเหตุสมผล และมีภูมิคุ้มกันความเสี่ยง โดยประกอบด้วยความรอบคอบ รอบรู้ และหลักคุณธรรม เราได้ยินข่าวสถาบันการเงินมีปัญหาใหญ่ทั่วโลกแทบทุกสัปดาห์ แต่ไม่มีปัญหาในเมืองไทย เป็นพระมหากรุณาธิคุณจากคำสอนของพ่อจริงๆ
คำสอน “รู้รักสามัคคี” ช่วยทำให้เมืองไทยยังเป็น “สยามเมืองยิ้ม” เมืองแห่งความรักและน้ำใจ เป็นที่เลื่องลือทั่วโลก ไม่เป็นเมืองเถื่อน ไร้ความสงบ ดังที่เริ่มปรากฏในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คำสอน “รู้รักสามัคคี” ทำให้เราผ่านเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” และความขัดแย้งต่อๆมา โดยเฉพาะ คำเตือนที่ว่า “ตามประวัติศาสตร์ ประเทศก็อาจเป็นดังเรือไททานิค ที่ล่มลงได้ด้วยความแตกแยกในบ้านเมือง”
คำสอน “ความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นเรื่องธรรมดา” ทำให้คนดีมีกำลังใจไม่ท้อใจ คนอยากจะไม่ซื่อ อยากจะทุจริตก็มีโอกาสกลับตัวกลับใจ เพราะในขณะที่ สังคมเริ่มถูกพยายามให้เชื่อว่า “การโกงเป็นเรื่องธรรมดา” เวลาถกความผิดกัน เริ่มไม่แก้หลักฐานการโกงกันแล้วว่า “ไม่จริง ฉันไม่ได้โกง หลักฐานผิด” กลับกลบเกลื่อนให้เชื่อว่า “การโกงเป็นเรื่องธรรมดา” หากเชื่อกันเช่นนั้น ยุคลูกหลานของเราจะต้องลำบากเดือดร้อนกันกว่านี้อีกเท่าใด
กับสถานการณ์ความสับสนในบ้านเมือง ไทยทนเขียนได้เป็นสมการ
พันธมิตร vs ระบอบทักษิณ = M79 + สนามบิน
อาจจะคล้ายๆ กับสมการ
พี่น้อง 3 จังหวัดภาคใต้ vs ระบอบทักษิณ = ทนายสมชาย + ตากใบ + กรือเซะ + ความไม่สงบในชาติ
ซึ่งหากคนไทยเราไม่เก็บบทเรียนกันให้ดี แสวงหาความถูกต้องชอบธรรม เราก็อาจจะพบกับปัญหาที่บานปลายไปมากกว่านี้ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นมากมาย เป็นดังต้นทุนแพงของบทเรียน สิ่งที่สำคัญคือ เราคนไทย จะได้บทเรียนอะไรที่จะคุ้มค่าที่สุด (แม้อาจจะดูไม่คุ้ม แต่ก็ขอให้คุ้มที่สุด) ไทยทนเสนอว่า มีบทเรียนที่ค่ามาก ดังนี้
1. คนไทยพึงรักกัน เห็นคุณค่ากัน ให้เกียรติกัน และให้ความเป็นธรรมต่อกัน เมื่อมีปัญหาในภาคใต้ ทนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายมุสลิม ผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน เป็นผู้พิทักษ์ความเป็นธรรมให้ลูกความมุสลิมใน 3 จังหวัดภาคใต้ ก็ถูกการใช้อำนาจรัฐบิดเบือนป้ายสีว่า เป็น “ทนายโจรใต้” และตามมาด้วยการ “อุ้ม” หายตัวไปในวันที่ 12 มีนาคม 2547 ก็นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเหตุการณ์น่าสลดใจ กรือเซะ ในวันที่ 12 มี.ค. 2547 และ ตากใบ ในวันที่ 25 ต.ค. 2547 หากการจัดการ ยังเป็นลักษณะ สื่อความข้างเดียว กดดันเป็นคนส่วนน้อย เป็นพลเมืองชั้น 2-3 ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม สังคมก็ยากที่จะได้รับความสงบสุข 3-4 จังหวัดภาคใต้ ก็สงบสุขมาหลายปี กลับลุกเป็นไฟ กลายเป็นปัญหาบานปลายให้กับสังคมโดยรวม
2. แดงเกลียดเหลือง เหลืองเกลียดแดง คนตรงกลางเกลียดทั้งคู่ มารชนะ คนที่อยากให้เรื่องวุ่น ผู้คนเลิกสนใจคคดีชนะ ประเทศไทยแพ้ เราคนไทยแพ้
แดง เหลือง คนตรงกลาง รักกัน สามัคคีกัน มีสติ พิจารณาทุกเรื่อง ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ความรักชนะ หลักการ “ความรู้รักสามัคคี” ของพระเจ้าอยู่หัวผู้ชนะ ประเทศไทยชนะ
3. บทเรียนการใช้สื่อด้วย “ความจริงครบด้าน และเป็นธรรม” คล้ายกรณี 3 จังหวัดภาคใต้ ในกรณีพันธมิตร เรียกร้องความถูกต้อง ปฏิเสธการตั้งรัฐบาลโนมินีเพื่อปกป้องความผิด กลับถูกสื่อให้เป็นพวกไม่ยอมรับประชาธิปไตย แม้รัฐบาลมีชนัก จึงไม่อยากใช้มาตรการเด็ดขาด เพราะอำนาจตนก็จะจบลงด้วย แต่ทำให้หลายครั้งปัญหาที่เกิดขึ้น จึงอาจมีส่วนที่ รัฐบาลก็ถือโอกาสขยายความเสียหาย เช่นเมื่อครั้งการเข้าทำเนียบช่วงกันยายน รัฐบาลก็ถือโอกาสประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และโทษพันธมิตรฝ่ายเดียว ทำให้ต่างชาติก็ไม่อยากมา ทั้งที่ก็ดูไม่ฉุกเฉินอะไร ยกเลิกไปก็ไม่มีอะไร มีการใช้สื่อข้างเดียว ใส่ความว่ากบฏ ทำเนียบเสียหาย ของมีค่าสูญหายมากมาย แต่ความจริงก็ไม่ใช่
สื่อของรัฐถ่ายทอดอย่างไม่เป็นธรรม ให้รู้สึกว่าพันธมิตรก้าวร้าว ใช้ความรุนแรงทำร้ายผู้อื่น ทั้งๆที่ ส่วนใหญ่ก็แสดงความเห็นอย่างสงบในที่ตั้ง จึงเป็นการสร้างความกดดันหัวใจที่มาเพื่อชาติอย่างต่อเนื่อง
ตำรวจจับคนที่อ้างว่าเป็นการ์ดพันธมิตรได้ พกระเบิดติดตัว เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ แต่ตำรวจกลับไม่สามารถสกัด หรือจับคนที่ยิงระเบิด M79 เข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งที่พื้นที่ก็นิ่ง และเป็นบริเวณเป้าหมายชัดเจน และรัฐบาล รวมทั้งสื่อของรัฐกลับไม่มองว่า เรื่องที่มีพี่น้องคนไทยใจบริสุทธิ์ต้องตายไป วันละคนๆ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
บทเรียนที่ดีนี้ นำไปสู่การให้สื่อของรัฐ สื่อข้อมูลด้วย “ความจริง” “ครบด้าน” อย่าง “โปร่งใส” ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อันเป็นพื้นฐานสิทธิมนุษยชนที่สำคัญจริงๆ มิเช่นนั้นก็อาจคล้าย ฮิตเลอร์ ซึ่งก็เป็นนักเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย หรือเผด็จการในเขมรหรือพม่าก็พอๆกัน ทำให้เกิดความลำบาก ความกดดันและบ้านเมืองเสียหายย่อยยับในที่สุด
4. บทเรียนการ “รักษาความดีรอบคอบ” ไทยทนยังทนไม่เท่าพี่น้องพันธมิตร ที่ชุมนุมกันกว่า 190 วัน ตากแดด ตากฝน ตากหนาว ตากแอร์กันอย่างเหลือเชื่อ โดยหลักการไทยทนไม่เห็นด้วยกับการเข้ายึดครอง และโดยเฉพาะสนามบิน ด้วยมีผู้คนจำนวนมากต้องเดือดร้อน โดยในฐานะผู้ที่เห็นคุณค่าของจุดยืนและอุดมการณ์ อย่างสูงด้วยความเคารพ การเข้าสนามบินนั้น กลับดูจะมีความเสี่ยงสูงที่กลุ่มคนที่อยากเห็นเรื่องจบก็โทษว่าแต่พันธมิตร เพราะเขาเดือดร้อน พันธมิตรอาจจะคิดว่า ถ้ารัฐบาลชอบธรรมพอ เมื่อตอบคำถามให้ตนเองชอบธรรมไม่ได้ มีสำนึกลาออกไป เรื่องก็ยุติเช่นกัน แต่พันธมิตรคงไปคาดหวังขนาดนั้นไม่ได้ ในที่สุด รัฐบาลก็ยอมปล่อยให้บ้านเมืองเสียหาย และแม้บางส่วนที่อาจจะดำเนินไปได้ เช่น คาร์โก รัฐบาลก็ไม่ทำเลย ปล่อยให้ความเสียหายมากขึ้น และให้สังคมกดดันพันธมิตรมากขึ้น
บทเรียนของพี่น้องคนไทยก็คือ “ความผิดของคนอื่น ไม่เป็นเหตุให้เราทำผิดเอง” อันทำให้คนอื่นๆเดือดร้อน จะอ้างว่า ถ้าเขาชอบธรรม เรื่องก็จบ เราก็ออกเหมือนกัน สำหรับคนทั่วไปแล้วก็เข้าใจยากทีเดียว
5. บทเรียนการ “ปัญหาของสังคม” ก็จะยังเป็น “ปัญหาของสังคม” ความกดดันอย่างไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มพันธมิตร การยิงระเบิด M79 เข้าใส่ผู้ที่ไม่ได้ต่อสู้ จนพี่น้องร่วมชาติต้องเสียชีวิตหลายคน รวมๆตั้งแต่ 7 ตุลาคม บาดเจ็บหลายร้อยคน แต่รัฐบาลและสื่อมวลชน สื่อเหมือนไม่เป็นปัญหาของฉัน กระตุ้นความเบื่อจนผู้คนก็คล้อยตาม
ท้ายที่สุดแล้ว ความไม่เป็นธรรม และความปกปิด จะทำให้เกิดความไม่ชอบธรรมที่มากขึ้น
ลองนึกภาพความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากเกิดกับพื้นที่อื่นๆจะเป็นอย่างไร เริ่มเห็นการที่กลุ่มคนไทยทำร้ายกัน กระชากกันลงมาจากรถ ข่มเหงกัน และตำรวจเพิกเฉย หาทางจับภาพเพื่อจับผิด แล้วใส่ร้าย สร้างความชอบธรรมให้รัฐ บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟได้ และคนไทยก็จะขาดความสงบสุข การท่องเที่ยวก็จะยิ่งเลวร้ายกันไปใหญ่ สังคมจึงควรตื่นตัว เรียกร้องให้รัฐบาลมีการใช้สื่อที่เป็นธรรมต่อประชาชนผู้เห็นต่างด้วย
ในที่สุด หากจะเห็นคุณค่าบ้างจากการมาสนามบินให้ชาวโลก และชาวไทยเห็นประจักษ์ก็คือ พันธมิตร เป็นกลุ่มคนใสๆ บริสุทธิ์ ไม่ได้อยากจะเบียดเบียนใคร ไม่ได้หวังอะไรส่วนตัว มีเจตนาบริสุทธิ์ต่อประเทศ มาด้วยใจรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และรักหวงแหนสมบัติของชาติ ทั้งทำเนียบรัฐบาล สนามบินทั้ง 2 แห่ง ซึ่งก็ดูจะได้คืนรัฐในสภาพที่ดีกว่าที่ถูกทำให้กลัวก่อนหน้านี้
บทเรียนนี้มีต้นทุนสูงมาก ไทยทนเห็นว่า จะ “คุ้มค่ามากขึ้น” ถ้าช่วยทำให้หลายคน กลับมาสนใจบ้านเมืองมากขึ้น ตระหนักว่า สังคมของคนหมู่มาก ต้องให้ความเป็นธรรม และความเสมอภาค ต้องทำให้ความซื่อสัตย์สุจริตไม่เบียดเบียนกัน เป็นเรื่องธรรมดา แม้อาจจะเสียต้นทุนไปบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาบานปลายในสังคมได้
6. บทเรียน “ศักดิ์ศรีตำรวจไทย” สมัยเด็กๆ ไทยทนก็รู้สึกว่า ตำรวจ คือผู้ปกป้องประชาชน “พิทักษ์สันติราษฎร์” มีศักดิ์ศรีน่ายกย่อง ก็ไม่อยากให้ตำรวจไทย ต้องรับใช้ตำรวจที่หนีอาญา จนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สังคมไม่เป็นธรรม และราษฎรขาดสันติภาพ
ด้วยบทเรียนเหล่านี้ ก็จะเป็นวิธีที่พี่น้องไทย ก้าวเดินก้าวใหม่ ด้วยใจรักกัน และทำให้กันและกันเป็นสุขครับ เป็นของขวัญวันพ่อ สุขสันต์วันพ่อครับ