“พิภพ” อัดยับ “แม้ว” สุดเหิม ดึง “สถาบัน” เข้าไปเกี่ยวข้องกับข้องกับการโกงของตัวเอง ซ้ำร้ายยัง “หมิ่นศาล” เหตุเพราะไม่ยอมรับคำพิพากษา-แถมยังวิพากษ์วิจารณ์ทำลายกระบวนการยุติธรรม ก่อนหนุนเดินหน้าสร้าง “การเมืองใหม่” ชี้ช่วยล้างบาง “นักการเมืองพันธุ์ชั่ว” ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย
วานนี้ (2 ต.ค.) นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวถึงเบื้องหลังกรณีที่รัฐบาลมอบเงินภาษีของประชาชนให้กับผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตจากเหตุการณ์ 7 ต.ค.ว่า รัฐบาลเอาเงินภาษีมาวนเวียนจ่ายให้กับประชาชนที่บาดเจ็บ และจ่ายให้แก่ญาติผู้เสียชีวิต โดยทั้งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรง ไม่ยอมควักกระเป๋าของตัวเองเลยแม้แต่บาทเดียว
ส่วนกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ มีความพยายามที่จะขอนิรโทษกรรมในคดีหมิ่นประมาท โดยศาลไม่รอลงอาญานั้น นายพิภพ กล่าวว่า กรณีของนายสมัครนั้น นักกฎหมายชี้แนะว่านายสมัครถูกฟ้องคดีหมิ่นประมาทหลายคดี ซึ่งศาลให้ความอนุเคราะห์โดยให้รอลงอาญามาโดยตลอด แต่นายสมัครก็ยังไม่เคยหลาบจำ ดังนั้น การพิพากษาที่ผ่านมา ศาลจึงพิพากษาไม่รอลงอาญา ฉะนั้น นายสมัครจึงไม่ควรที่จะถวายฎีกา เพราะหมิ่นประมาทซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงไม่สมควรที่จะถวายฎีกาในสิ่งที่ตัวเองกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แกนนำพันธมิตรฯ ยังกล่าวถึงคดีทุจริตคอร์รัปชันของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา 2 ปี ว่า คดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลพิพากษาจำคุกนั้น เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนที่มีอำนาจทางการเมือง แต่กลับปล่อยให้คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ซึ่งเป็นภรรยาไปซื้อทรัพย์สินของทางราชการที่ถูกกดราคาลงไป นั่นก็เป็นเพราะอำนาจบารมีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ดูแลอยู่ การกระทำดังกล่าวจึงเข้าข่ายการคอร์รัปชันบนผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งนานาประเทศเขารับรู้กันว่าเป็นการคอร์รัปชันแบบหนึ่ง ที่สำคัญศาลได้พิพากษาลงโทษไปแล้วในพระปรมาภิไธย
“ที่ศาลเข้ามาทำการดูแลคดีความของนักการเมืองอย่างเข้มแข็งนั้น เป็นเพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นของนักการเมืองได้ก่อให้เกิดวิกฤตที่สุดในโลก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำรัชให้ตุลาการซึ่งเป็นอำนาจ 1 ใน 3 ได้ใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐตามหน้าที่ของตัวเอง แต่การเมืองไทยมีการฮั้วกันของอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหาร ซึ่งเกิดจากระบบการเลือกตั้งของไทย ซึ่งมีการซื้อสิทธิขายเสียงกันอย่างมาก ที่สำคัญรัฐเข้าไปควบคุมสื่อ โดยไม่ให้ข้อมูลกับระดับรากหญ้าว่ามีนักการเมืองคนไหนที่ทุจริตคอร์รัปชัน ชาวบ้านทั่วไปก็จะไม่รู้ และทำให้ไม่สามารถจำแนกนักการเมืองได้ แต่ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องการให้ข้อมูลกับประชาชนไม่เพียงพอ อีกทั้งในปัจจุบันยังมีการซื้อสิทธิขายเสียง และยังมีการใช้อิทธิพล ฉะนั้นอำนาจนิติบัญญัติที่เลือกมา จึงไม่สามารถคานอำนาจบริหาร หรือตรวจสอบอำนาจบริหารได้ รัฐบาลทักษิณจึงได้ชื่อว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา” แกนนำพันธมิตรฯ กล่าว
นายพิภพ กล่าวอีกว่า การเมืองใหม่จึงพยายามที่จะแก้เรื่องการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง เพื่อให้มีการกระจายตัวไปสู่กลุ่มอาชีพต่างๆ ทำให้นักการเมืองในระบบเก่าย่อมไม่ชอบ เพราะเขาจะสูญเสียที่นั่งในสภาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากที่นั่งในสภาฯ จะถูกแทนที่ด้วยกลุ่มอาชีพต่างๆ ซึ่งยากต่อการซื้อเสียง ฉะนั้น เขาถึงคัดค้านการเมืองใหม่ด้วยประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้งเข้าสู่รัฐสภาใหม่ ส่วนกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งทำการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น เพราะระบบรัฐสภาไม่มีการตรวจสอบ รวมทั้งองค์กรอิสระมีจุดอ่อน ทำให้ฝ่ายการเมืองแทรกแซงได้ โดยเขาสามารกำหนดบุคคลที่จะไปเป็นองค์กรอิสระได้ ฉะนั้น องค์กรเหล่านี้จึงไม่สามารถที่จะตรวจสอบรัฐบาล และนักการเมืองได้
“นี่เป็นเหตุผลที่ลูกสมุนของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงอยากเอารัฐธรรมนูญปี 2540 เข้าไปทับรัฐธรรมนูญปี 2550 นั่นเป็นเพราะเขาสามารถแทรกแซงองค์กรอิสระได้ ทำให้นักกฎหมายออกมาพูดว่า กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ แอบอ้างว่าจะอาศัยพระบารมี เพื่อให้หลุดจากคดีที่ถูกตัดสินลงโทษ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควร เพราะศาลพิพากษาในนามพระปรมาภิไธยไปแล้ว แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยพูดว่าผิด หรือยอมรับผิดในโฟนอินแม้แต่คำเดียว แล้วยังไปโทษว่า ศาลยุติธรรม กระทำการไม่ยุติธรรม แสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังหมิ่นศาลอย่างชัดเจน ซึ่งกำลังจะก้าวล่วงโดยดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้าไปเกี่ยวข้องกับข้องกับคดีทุจิตคอร์รัปชันของตัวเอง ที่สำคัญยังวิพากษ์วิจารณ์ทำลายกระบวนการยุติธรรมที่ตัดสินไปแล้ว” นายพิภพ กล่าว