“อภิสิทธิ์” นำทีม ส.ส.ปชป.ให้ปากคำเพิ่มเติม จนท.ตำรวจ เหตุยื่นสอบ “สมชาย” สลายม็อบ 7 ต.ค.จี้ ลากคอตัวบงการหมิ่นสถาบัน หนุน สถาบันพระปกเกล้าเป็นเจ้าภาพ คุย 4 ฝ่าย ชี้ ส.ว.แตกเพราะ ส.ส.ร.3 เป็นเหตุ
วันนี้ (29 ต.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราฎษร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจนครบาล มาสอบปากคำเพิ่มเติมถึงกรณีที่ตนได้ทำหนังสือไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อให้สอบกรณีที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สั่งให้มีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า ตนได้ให้ถ้อยคำเพิ่มเติม โดยไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดมากเป็นการสอบถามถึงหลักการและความมุ่งหมายในฐานะที่ได้ทำหนังสือถึง ผบ.ตร.ไป รวมทั้ง ส.ส.ที่เข้าชื่อ และ ส.ส.ผู้อยู่ในเหตุการณ์ อาทิ นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ โดยแตกต่างจากการสอบสวนของ ป.ป.ช.และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ส่วนกรณีที่พรรคได้ขอให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบกรณีมีการหมิ่นสถาบันนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาเรื่องเว็บไซต์จะมีการให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ ซึ่งเวลาที่เราได้ข้อมูลมาก็จะนำไปให้กับเจ้าหน้าที่เป็นประจำอยู่แล้ว ปัญหาเรื่องเว็บไซต์ก็มี ส.ส.ของพรรคหลายคนดูอยู่ เช่น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.กทม.ในการแจ้งข้อมูลและสอบถามเจ้าหน้าที่ว่ามีปัญหาอะไรกับการดำเนินการตามกฎหมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อสังเกต คือ พอเป็นเรื่องของสื่ออินเทอร์เน็ตหลายครั้ง ตนมองว่า เจ้าหน้าที่หลงประเด็น ตั้งแต่สมัยปี 2549 เป็นต้นมา ไปมุ่งจัดการกับผู้ที่เป็นเจ้าของเซิร์ฟเวอร์ แต่ไม่เคยไปจัดการกับคนที่เป็นผู้เอาข้อมูลขึ้นเว็บไซต์ หรือผู้ป้อนข้อมูลเลย เปรียบเสมือนว่ามีคนไปเขียนอะไรผิดกฎหมายกับหนังสือฉบับหนึ่งก็ไปไล่เล่นงานกับโรงพิมพ์ แต่ไม่เคยเล่นงานคนเขียนเลย จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเรื่องถึงไม่จบ เพราะไปปิดตรงนั้นก็ยังปล่อยให้คนป้อนข้อมูลอยู่เบื้องหลังลอยนวลอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่า เจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราก็พยายามจี้สอบถามไปว่ามีข้อจำกัดอะไร เพราะเราคิดว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะดำเนินการตามความเหมาะสม ส่วนจะมีใครเป็นคนให้ท้ายอยู่เบื้องหลังหรือไม่นั้น ก็ต้องตรวจสอบกันอีกว่ามีปัญหาในเชิงนโยบายหรือไม่ ถึงทำให้ปัญหาลุกลามบานปลาย เมื่อถามว่าหลายฝ่ายก็ออกมาระบุว่าจะจัดการอย่างจริงจังทั้งนายกฯ และทหาร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนได้ให้ข้อสงเกตไปว่าถ้าไม่ไปจัดการที่ต้นตอก็เป็นเรื่องยาก เพราะเราสังเกตว่าเป็นกระบวนการอยู่ ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ควรปล่อยให้สภาพบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ตนอยากจะย้ำว่า นายกฯ ขณะนี้นอกจากจะเป็นส่วนสำคัญของปัญหาแล้วก็ยังไม่รับผิดชอบกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น กลับดำรงสถานะอยู่โดยไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับวิกฤตของบ้านเมืองทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวาน (28 ต.ค.) เริ่มจะมาขยับเรื่องราคาพืชผลการเกษตร ซึ่งเป็นเรื่องที่เราเรียกร้องมานาน แต่ก็ทำได้ช้ามาก ส่วนปัญหาเศรษฐกิจในภาครวมก็ยังไม่มีความชัดเจนในทิศทาง รองนายกฯ ออกรายการโทรทัศน์บอกมีผลกระทบไม่มาก ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ตอนนี้ก็มีปัญหาขัดแย้งกันเองว่าแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ก็ยังมีวิกฤตเรื่องการเมืองด้วย
ต่อข้อถามว่า มองอย่างไรที่สถาบันการจัดอันดับความเสี่ยงด้านความน่าเชื่อถือ ไทยอยู่ในอันดับที่ 2 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เป็นผลมาจากความยืดเยื้อของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะไปโทษต่างประเทศก็คงยาก แม้แต่คนไทยด้วยกันเองยังไม่มีความมั่นใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น เหตุการณ์ต่างๆ จะจบได้อย่างไร เพราะตัวผู้นำก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวปฏิบัติหน้าที่ไปวันๆ โดยไม่มีความชัดเจนว่าจะหาทางออกให้กับบ้านเมืองได้อย่างไร ทั้งนี้ พรรคก็ได้เคยเสนอทางออกให้ไปแล้ว จะอย่างไรก็ตาม ถึงไม่รับก็ต้องพยายามในการทำอะไรบางอย่าง ไม่ใช่รอจนกว่าจะมีอะไรลุกลาม เมื่อถามว่าจะมีทางออกอะไรที่ดีกว่าการยุบสภาหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มันเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่หากรัฐบาลจะแสดงความรับผิดชอบด้วยวิธีอื่น หรือจะหากระบวนการอะไรที่ทำให้ประชาชนมองเห็นว่าที่สุดแล้วบ้านนี้มีหลักธรรมาภิบาลบ้านเมืองก็เดินต่อไปได้ แต่ไม่มีข้อเสนออะไรเลย
เมื่อถามว่า ผลการสำรวจของเอแบคโพลล์ พบว่า ประชาชนอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รักกัน จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ด้วยความเคารพคนที่อยากเห็นเช่นนั้น สำหรับตนปัญหาไม่ได้อยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กับ นายสนธิ รักกันหรือไม่ ตราบใดที่ความขัดแย้งพื้นฐานที่มาจากหลักการประชาธิปไตย กับธรรมาภิบาล ไม่ได้รับการแก้ไข ถึง พ.ต.ท.ทักษิณ กับ นายสนธิ รักกัน ปัญหาก็ไม่ได้จบ นั่นหมายความว่า เราต้องช่วยกันให้ทุกฝ่ายยอมรับเหตุผลของแต่ละฝ่ายที่มี และใช้หลักประชาธิปไตยกับธรรมาภิบาลหาทางออก วันนี้ปัญหามันเลยจุดที่บอกว่าถ้าคนนั้นกับคนนี้ดีกันแล้วทุกอย่างจะดีมันไม่ใช่ วันนี้ทุกอย่างมันลึกกว่านั้นมาก เราจะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เรื่องผู้นำ แกนนำอีกต่อไปแล้ว ซึ่งต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบและจริงจัง แต่ตนก็เข้าใจความรู้สึกของประชาชนคือ อยากให้เรื่องต่างๆ จบและหวังว่าจะจบได้ง่ายคือ ทุกฝ่ายมาดีกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าที่เสนอให้ 4 ฝ่าย คือ พันธมิตรฯ-ฝ่ายค้าน-รัฐบาล-แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มาคุยกันจะเป็นไปได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ถ้ามีคนเป็นเจ้าภาพ โดยอาจจะเป็นสถาบันพระปกเกล้าที่เห็นขยับว่าจะเป็นตัวกลาง และหากมีการกำหนดประเด็นที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ ก็น่าจะลองดู แต่ปัญหาพื้นฐานสำคัญ คือ พันธมิตรฯ กับรัฐบาลว่าจะมาคุยกันได้หรือไม่ ซึ่งก็ต้องฟังเหตุผลซึ่งกันและกันว่าปัญหาคืออะไร
ส่วนกรณีที่ ส.ว.เริ่มมีความแตกแยก เริ่มแบ่งกลุ่มก๊วนกันนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าความแตกแยกจะลุกลาม ซึ่ง ส.ว.ก็เห็นได้ชัดว่าแตกแยกจากการตั้ง ส.ส.ร.3 ของรัฐบาล ตนถึงบอกว่าอะไรที่เป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งรัฐบาลก็ควรพักไว้ก่อน อะไรที่จะทำให้สงบเป็นที่ยอมรับได้ก็มาคุยกัน