ผู้จัดการออนไลน์ - “สมเกียรติ” ชี้พวกชาติชั่วมุ่งล้มล้างระบอบการปกครอง-สถาบันฯ หวังเปลี่ยนไทยไปเป็น “สาธารณรัฐสยาม” เช่นเดียวกับเนปาล ฟันธงไม่มีทางสำเร็จเพราะ 5 ปัจจัยหนุนราชบัลลังก์ยังจงรักภักดีเหนียวแน่น ชี้ช่อง กก.สิทธิฯ ลงมติกรณี 7 ตุลาทมิฬ แล้ว จับมือพันธมิตรฯ ฟันสมชายยื่นฟ้องศาลยุติธรรมได้เลยตาม รธน.มาตรา 257(4) ยันฆาตกรไม่มีสิทธิ์ตั้งกรรมการมาสอบสวนตัวเอง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ปราศรัย
วานนี้ (19 ต.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 22.50น. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ขึ้นปราศรัยที่เวทีทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวว่าในวันนี้ (20 ต.ค.) ตนมีคิวขึ้นปราศรัยที่ หาดใหญ่ จ.สงขลา ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ในงาน “สานฝันวีรชน ล้างระบอบทักษิณ สร้างการเมืองใหม่” โดยงานนี้จัดโดย กลุ่ม มอ.รักชาติ
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า ประชาชนและกลุ่มพันธมิตรฯ นั้นมาทำหน้าที่ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ โดยในรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 นั้นระบุไว้ชัดเจนใน มาตรา 69 และ มาตรา 70 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
มาตรา ๖๙ บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
มาตรา ๗๐ บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้
ในทางตรงกันข้ามรัฐ กองทัพ ทหารและข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กลับมิได้ทำหน้าที่ของตนที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้
มาตรา ๗๗ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และ บูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยจำเป็น และเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ
นายสมเกียรติ กล่าวว่า อย่างที่ตนกล่าวไปเมื่อวันก่อนว่า แนวรบเพื่อรักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสน์ กษัตริย์ของพันธมิตรฯ หลายแนวรบนั้นพ่ายแพ้หมดไม่ว่าจะเป็นด้านการบริหาร รัฐสภา ชายแดน รากหญ้า แต่ยังเหลือแนวรบของชนชั้นกลาง-สหภาพแรงงานที่มีความเหนียวแน่นและตุลาการที่ยังคงความเที่ยงธรรม ขณะที่ทหารนั้นกำลังเดินตามการอภิวัฒน์ของทั้งสองส่วน ดังนั้นตนเชื่อว่า ไทยจะสามารถรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทางเป็นประมุขไว้ได้อย่างแน่นอน
พร้อมกล่าวด้วยว่า ขณะนี้เนื่องจากศาลกำลังพิจารณาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกอยู่จำนวนมาก ดังนั้นรัฐบาลและคนในระบอบทักษิณจึงต้องเดินหน้าโจมตีสถาบันตุลาการและผู้พิพากษาอย่างรุนแรงในช่วงนี้ เพื่อให้ตนเองรอดพ้นจากการตัดสินความผิดที่ได้กระทำเอาไว้
ชี้มีคนหวังเปลี่ยนไทยเป็น “สาธารณรัฐ”
ต่อมา นายสมเกียรติได้ขออนุญาตวิเคราะห์ถึงความสั่นคลอนของสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยในปัจจุบัน โดยระบุว่าตัวเองไม่ได้มีจุดประสงค์ในการลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงแต่อย่างใด เพียงต้องการกล่าวอธิบายในเชิงวิชาการให้พี่น้องพันธมิตรฯ ได้ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
นายสมเกียรติ ระบุว่า ขณะนี้มวลชนแนวร่วมของระบอบทักษิณในหลายภูมิภาคพยายามลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจนไม่ว่จะเป็น กลุ่ม นปก.ที่เคลื่อนไหวในกรุงเทพฯ เชียงใหม่หรือในพื้นที่อื่นๆ โดยคนกลุ่มนี้มุ่งหวังที่จะเปลี่ยนระบอบการปกครองของประเทศจาก “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ให้เป็น “สาธารณรัฐสยามใหม่” ทั้งนี้ คนกลุ่มนี้ได้พยายามยกตัวอย่างความล่มสลายของสถาบันกษัตริย์ในประเทศเนปาล ซึ่งถูกแทนที่ด้วยลัทธิเหมาอิสต์ขึ้นมาเปรียบเทียบ ทั้งนี้การเคลื่อนไหวดังล่าวมีหลักฐานที่เห็นได้ชัดจากสื่อหลายแขนงไม่ว่าจะเป็นข่าวที่เคยลงในหน้าปกหนังสือมติชนสุดสัปดาห์ และ ข่าวและสารคดีที่แพร่ภาพทางเอ็นบีที
5 ปัจจัยหนุนสถาบันฯ ยังเหนียวแน่น
กระนั้น แกนนำพันธมิตรฯ ได้กล่าววิเคราะห์ว่าเมื่อพิจารณาจาก 5 ปัจจัยทางสังคม ประกอบไปด้วย ชนชั้นล่าง ชนชั้นกลาง กลุ่มสหภาพแรงงาน สถาบันตุลาการ และ สถาบันทางทหารแล้ว ความมุ่งหวังของคนกลุ่มดังกล่าวไม่มีทางเป็นจริงได้เลย
“ผมจะเปรียบเทียบว่าปัจจัย 5 ประการของราชวงศ์จักรีแข็งแกร่งมาก แต่ราชวงศ์ของกษัตริย์เนปาลล้มลง เพราะปัจจัยชนชั้นล่างถูกทำลายไป ปัจจัยชนชั้นกลางถูกทำลายไป กองทัพแตกแยก ตุลาการพึ่งไม่ได้ แต่ของไทยไม่มีกระเทือนเลยแม้แต่เรื่องเดียว” นายสมเกียรติกล่าว พร้อมกล่าวยืนยันว่ามีชนชั้นรากหญ้าส่วนน้อยเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่ถูกเงินซื้อไป แต่คนชนบทส่วนใหญ่ยังจงรักและภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่
ในส่วนของกองทัพ ในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น นายสมเกียรติกล่าวว่าเพราะคนในระดับนายพลบางคนถูกนักการเมืองฉีดยาชาด้วยเม็ดเงิน ทว่านายทหารในระดับรองๆ ลงมานั้นมีความจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างสูงสุด
“กองทัพระดับระดับ ผบ.พล ผบ.พัน สักการะ เทิดทูนในพระองค์ และเป็นกองทัพในพระราชาและพระราชินีอย่างแท้จริง” นายสมเกียรติ กล่าว และชี้ให้เห็นด้วยว่า เมื่อเปรียบเทียบสถาบันตุลาการระหว่างไทยกับเนปาลแล้วยิ่งเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน เพราะสถาบันตุลาการไทยยังคงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ไม่แตกสลายเหมือนกับสถานการณ์ที่เกิดในประเทศเนปาล
ทั้งนี้ นายสมเกียรติได้กล่าวชื่นชมบทความของนายโสภณ องค์การในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ในเครือเนชั่นด้วยว่า วิเคราะห์เรื่องดังกล่าวได้ดียิ่ง
ทวง รบ.รับผิดตามผลรายงาน กก.สิทธิฯ
สำหรับกรณีการสอบสวนเหตุการณ์ตำรวจฆ่าและทำร้ายประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม นั้นนายสมเกียรติให้ความเห็นว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ไม่มีความชอบธรรมในการตั้งคณะกรรมการใดๆ ขึ้นมาสอบสวน เพราะนายสมชายเป็นผู้กระทำผิด ไม่มีสิทธิ์ตั้งใครมาสอบสวนตัวเอง และล่าสุดจากรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่มี ศ.เสน่ห์ จามริกเป็นประธานก็ได้สรุปมาแล้วว่า นายสมชายและรัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (อ่านข่าว : กก.สิทธิฯสรุปชี้ชัดรัฐบาลสั่งสลายชุมนุม-“สมชาย” ต้องรับผิดชอบ)
“ตอนนี้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ลงมติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 257(1) แล้วว่า เมื่อตรวจสอบและรายงานผลต่อสาธารณะแล้ว รัฐบาลและตำรวจร่วมฆ่าประชาชน ผมก็เลยขอถามไปยังนายสมชายว่า คุณไปตั้งกรรมการสองชุดขึ้นมาทำไม เพราะคุณไม่มีอำนาจ แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเขามีอำนาจเต็ม ตามรัฐธรรมนูญ 257” ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์กล่าว พร้อมระบุว่านายสมชายมีพฤติกรรมเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ภรรยา ที่ชอบตั้งคณะกรรมการมาฟอกความผิดของตัวเอง
“นายสมชายเป็นฆาตกร ลงนามตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบฆาตกร ไม่มีที่ไหนเขาทำกัน” ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ถามไปยังนายกรัฐมนตรี
ชี้ช่องฟ้องศาลยุติธรรมตาม รธน.มาตรา 257
จากนั้น นายสมเกียรติได้ชี้ช่องว่า ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 257(4) ได้บัญญัติไว้ว่า คณะกรรมการสิทธิสามารถฟ้องร้องกรณีวันที่ 7 ต.ค. ต่อศาลยุติธรรมได้ทันที ในกรณีที่รัฐบาลนิ่งดูดายและผลสอบออกมาเอื้อประโยชน์ให้กับรัฐบาลซึ่งเป็นฆาตกร ทั้งนี้เนื้อหาของ มาตรา 257(4) ของรัฐธรรมนูญมีดังนี้
มาตรา ๒๕๗ (๔) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย เมื่อได้รับการร้องขอจากผู้เสียหายและเป็นกรณีที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนรวม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
“ถ้ารัฐบาลช้า พันธมิตรช้า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็ฟ้องต่อศาลยุติธรรมตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 257(4) โดยเป็นการฟ้องต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย คือ พันธมิตรฯ แล้วพันธมิตรฯ ก็จะตั้งทนายมือดีไม่ว่าจะเป็น คุณสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ คุณนิติธร ล้ำเหลือ และทนายมือดีอีกหลายคนรวมทั้งสิ้น 13 คน ให้เป็นโจทก์ร่วม โดยจับมือกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ไปฟ้องฆาตกร โดยไม่ต้องรอคณะกรรมกาตรวจสอบของนายสมชายแต่อย่างใด”
ในตอนท้าย นายสมเกียรติได้กล่าวย้ำว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 นั้นมีความเข้มแข็งและมีคุณูปการต่อประเทศชาติ และประชาชนมหาศาลมาตลอด ทั้งยังเป็นที่ยอมรับของสื่อและชาวต่างชาติอย่างกว้างขวาง ดังนั้น ผู้ที่ต้องการล้มล้างไม่มีทางทำสำเร็จอย่างแน่นอน
“ทุกคนเข้าใจหมดแล้วว่า ไม่มีระบอบกษัตริย์ประเทศใดในโลกที่มั่นคงและยืนอยู่สถาพรเท่ากับพระมหากษัตริย์ไทยครับ พรุ่งนี้ผมขอพูดเรื่องนี้ต่ออีกครั้งว่า ตอนที่มีการเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปีของพระองค์ สื่อต่างชาติทุกแขนงกล่าวถึงพระองค์ในทางดี ในทางบวกอย่างไรบ้าง … ขอยืนยันว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะรักษาไว้ซึ่งระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นายสมเกียรติกล่าว