xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ “บิ๊กป๊อก” จี้ “สมชาย” สละเก้าอี้ รับผิดเหตุ 7 ตุลาทมิฬ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 ผู้นำเหล่าทัพให้สัมภาษณ์ในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้
คำต่อคำ “ผบ.ทบ.” จี้นายกฯ แสดงความรับผิดชอบ เหตุใช้กำลังสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ 7 ต.ค.จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ระบุหากเป็นนายกฯ เอง ลาออกไปแล้ว อยู่ไปทำไมเมื่อบ้านเมืองเสียหาย ปกครองบนกองเลือด สังคมไม่ยอมรับ เผยรู้สึกเสียใจ หากย้อนเวลาได้จะป้องกันให้ถึงที่สุดไม่ให้มีคนตายเด็ดขาด

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง การให้สัมภาษณ์ของ ผบ.เหล่าทัพ และ ผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์ ในรายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” ทางช่อง 3 วันที่ 16 ต.ค. 2551 

คลิก! ชมการให้สัมภาษณ์ของผู้นำเหล่าทัพทางช่อง 3(56K) |(256K)

รายละเอียด การให้สัมภาษณ์ของผู้นำเหล่าทัพ (พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก, พล.อ.ทรงกิตติ จักราบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) กรณีเหตุการณ์ตำรวจสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ทางรายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ดำเนินรายการโดยนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา

ผู้ดำเนินรายการ - จุดยืนของกองทัพบก เป็นอย่างไร เพราะถือเป็นกองทัพหนึ่งที่ใหญ่ในทางการเมือง จึงอยากถามท่านอนุพงษ์ว่าถูกกดดันให้เลือกข้างหรือไม่

พล.อ.อนุพงษ์ - ก่อนที่จะพูดเรื่องเลือกข้าง ก็อย่างที่ท่านบอกแล้วว่า บ้านเรายังมีฝักฝ่ายเกิดขึ้น อยากจะเสนอสังคมไทยว่า บ้านเมืองเราถ้ายังแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย มันจะเกิดเป็นวิกฤต แล้วก็ไม่มีทางที่จะจบลงอย่างไรได้ นั่นก็คือ จะเรียกได้ว่าประเทศก็จะล่มจม ฉะนั้น ทางออกของประเทศชาติก็คือ คนไทย ทั้งหมดต้องอยู่ร่วมกัน ความคิดเห็นที่แตกต่าง ก็เป็นความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่จะต้องหาทางที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ ถ้าทุกคนเอาตัวตน เอาอัตตาของตนตั้งไว้ ก็จะเป็นฝักเป็นฝ่ายอยู่อย่างนั้น วิกฤตนี้จะผ่านไปไม่ได้ ผมยืนยันว่าคนไทยจะต้องฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้โดยจะต้องยอมรับความคิดเห็นโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แล้วก็จะต้องหาทางร่วมกันที่จะฝ่าวิกฤตินี้ไปให้ได้ ไม่มีทางอื่น

ผู้ดำเนินรายการ – ถ้ายังปล่อยไปอย่างนี้ก็มีแต่ล่มจม ก็เลยมีคำถาม (ไม่ได้แปลว่าผมจะเห็นด้วย) ว่าให้ทหารออกมายุติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พล.อ.อนุพงษ์ – ก็ได้เรียนสาธารณะไปหลายหนแล้วนะครับว่า ถ้าการจะแก้ปัญหาด้วยการปฏิวัติแล้วจะทำให้ปัญหาจบได้ ก็น่าจะพิจารณาร่วมกัน ทุกภาคส่วนคงไม่ใช่แค่ผม ถ้ามันทำแล้วแก้ไขได้ แต่จนถึงทุกวันนี้ ผมสามารถพูดได้เลยว่า ผมก็ติดต่อกับสื่อหลายๆ ส่วน สื่อที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ก็ลงความคิดเห็นว่าไม่เห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่ ในส่วนของพวกนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งหลายก็เช่นกัน ก็ออกมาฟันธงว่า ไม่เห็นด้วย เหตุผลก็เช่นเดียวกันคือทำแล้วประเทศชาติจะยิ่งเสียหาย ก็คงตอบคำถามว่าจะแก้ด้วยวิธีใดได้ นั่นคือทั้งสองฝ่ายจะต้องพูดคุยกัน อยู่ร่วมกันให้ได้

ส่วนที่ท่านถามว่าจุดยืนกองทัพอยู่ที่ใด กองทัพคงเลือกฝ่ายไม่ได้ โดยเฉพาะในตอนนี้มีการเรียกร้องว่าต้องอยู่ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ประเทศชาติเราคงแบ่งเป็นฝั่งไม่ได้ โดยเพราะอย่างยิ่งถ้าประชาชนเราแบ่งเป็นสองฝ่ายแล้ว ผู้ที่ถืออาวุธแยกฝ่ายอีก ประเทศชาติจะวิบัติ ผมคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้

ผู้ดำเนินรายการ – นี่คงจะย้อนไปถึงเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.

พล.อ.อนุพงษ์ – ก็ได้ครับ

ผู้ดำเนินรายการ – คือวันนั้นผมก็ถามท่านทางโทรศัพท์ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก่อนจะมาถามท่าน ผมขอถามไปที่ท่านผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อน คำถามก็คือว่า ส่วนหนึ่งเนี่ย ในเบื้องต้นแก๊สน้ำตามีส่วนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต จะมีวัตถุระเบิดหรือไม่ จะมีคนอื่นเข้ามาใช้หรือไม่ อันนี้ก็ต้องตรวจสอบกันต่อ แต่ในเบื้องต้น ที่เป็นที่ยอมรับกันพอสมควรก็คือแก๊สน้ำตา มันมีความรุนแรง โดยเฉพาะที่มันเป็นรุ่นจากจีน ความรับผิดชอบของตำรวจ การตัดสินใจในวันนั้น ทำไมปล่อยให้เกิดเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. ขึ้น

พล.ต.อ.พัชรวาท – ต้องกราบเรียนอย่างนี้นิดนึงนะครับ ในแก๊สน้ำตาจะทำให้เกิดความบาดเจ็บอย่างไรเนี่ย ในฐานะของผมเอง ผมก็คงไม่ได้แก้ตัวอะไร แต่แก๊สน้ำตาโดยทั่วไปที่ใช้สำหรับการดูแลการชุมนุมต่างๆ เท่าที่ดูทั่วโลกแล้ว การใช้แก๊สน้ำตาไม่เคยปรากฏว่ามีความบาดเจ็บนะครับ แต่สำหรับตรงนี้เนี่ยผมคิดว่า ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง หรือเพื่อให้มีความเป็นกลางจริงๆ สมมติว่าของจีนถ้าจะทำให้มีผู้บาดเจ็บจริงๆ ก็ต้องเอาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาดู ว่าที่เค้าผลิตมันเป็นยังไง ของสหรัฐ เป็นยังไง แล้วก็มาดูว่ามันจะสามารถเกิดขึ้นได้มั้ย ผมพูดอย่างนี้เพราะอยากให้ผู้เชี่ยวชาญมาดูอีกครั้งหนึ่งนะครับ

ผู้ดำเนินรายการ – ผมถามได้มั้ย วันนั้นใครสั่งฮะ

พล.ต.อ.พัชรวาท – วันนั้นใครสั่ง ..สั่งเรื่องอะไรครับ

ผู้ดำเนินรายการ – สั่งเรื่องการสลายการชุมนุม เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เข้าไปแถลงนโยบาย

พล.ต.อ.พัชรวาท – ผมเข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง ในรายละเอียดผมมาพูดคนเดียวเนี่ยะ คงจะตอบปัญหาทั้งหมดไม่ได้นะครับ จริงๆ โดยหน้าที่ของตำรวจแล้ว เรามีผู้บังคับบัญชาคือท่านนายกรัฐมนตรีนะครับ การปฏิบัติตามกฎหมายต่างๆ เนี่ยมีกำหนดไว้ชัดเจนนะครับ ต้องปฏิบัติตามมติ ครม.ด้วย คำสั่งท่านนายกฯ ด้วย ตามกฎหมายชัดเจนนะครับ

ผู้ดำเนินรายการ– หมายถึงว่า มีคำสั่งลงมาตั้งแต่มติ ครม.ตั้งแต่วันที่ 6

พล.ต.อ.พัชรวาท - ผมยังไม่ได้ตอบเช่นนั้นนะครับ เพียงแต่ว่าในหน้าที่ของตำรวจจะต้องทำหน้าที่ตามกฎหมายที่กำหนด ฉะนั้น วันนั้นเนี่ยถามว่าใครเป็นคนสั่งขณะนี้ผมคิดว่า คงต้องรอการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะดีที่สุดครับ

ผู้ดำเนินรายการ – เมื่อพูดถึงเรื่องแก๊สน้ำตา ท่านก็บอกให้รอการตรวจสอบ ซึ่งตำรวจก็พร้อมรับการตรวจสอบนะครับ ทีนี้มาถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ว่าในช่วงเช้าเนี่ย 6 โมงเศษๆ ที่หน้าสภา ซึ่งภาพปรากฏทางสื่อมีภาพผู้บาดเจ็บ มีผู้คนขาขาด มือขาด มีอาการบาดเจ็บล้มตาย พูดกันตรงๆ ก็คือว่า แก๊สน้ำตาที่ในเมืองนอกอาจเป็นลักษณะการยิงเข้าไป ไม่เข้าไปใส่ฝูงชนโดยตรง แล้วก็ปล่อยให้ควันมันทำงาน แล้วผู้คนก็หลบไป หรือตำรวจก็เข้าไปผลักดันออก แต่วันนั้นลักษณะเหตุการณ์คือยิงเข้าไปใส่ เหตุการณ์ในวันนั้นในที่สุดเมื่อเกิดเหตุการณ์ในตอนเช้าแล้ว แต่ยังเกิดเหตุการณ์ตอนบ่ายและตอนค่ำอีกเนี่ย ทำไมถึงไม่หยุดเหตุการณ์ เมื่อเห็นว่ามีคนบาดเจ็บล้มตาย

พล.ต.อ.พัชรวาท – ผมเข้าใจเอาเองนะ ผมเข้าใจว่าสถานการณ์ในตอนนั้น คือต้องเข้าใจว่าตำรวจทุกท่านมีความคิดในแนวเดียวกัน คือว่า แก๊สน้ำตาเนี่ยคงไม่ได้ทำให้คนเกิดการบาดเจ็บ ทุกคนเนี่ย ผมเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น สำหรับตอนบ่ายกับตอนเย็นเนี่ยนะครับ ก็ต้องรออีกน่ะว่าใครเป็นคนสั่ง ต้องรอตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะผมพูดไปก็เหมือนการแก้ตัว ผมอยากจะให้รอตรงนี้ให้ชัดเจนครับ

ผู้ดำเนินรายการ- ตำรวจก็จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ

พล.ต.อ.พัชรวาท – ครับ ขณะนี้ก็มีคณะกรรมการหลายชุดแล้วครับ

ผู้ดำเนินรายการ- ทั้งนี้ทั้งนั้น การมาชุมนุมจะถูกหรือผิด แต่ว่าประเด็นสำคัญก็คือ เมื่อเกิดการเผชิญหน้ากันแล้ว มีคนบาดเจ็บล้มตาย ผมถามท่าน ท่านก็บอกว่าต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ

พล.ต.อ.พัชรวาท – ครับ

ผู้ดำเนินรายการ – คราวนี้มาถึงกองทัพ มีคนถามกับกองทัพ โดยเฉพาะท่าน พล.อ.อนุพงษ์ ก็คือว่าทำไมทหารถึงไม่ออกมาเมื่อเห็นภาพในตอนเช้า

พล.อ.อนุพงษ์ – ผมอยากเรียนเรื่องการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหารในการรักษาความสงบเรียบร้อยในกรุงเทพฯ นะครับ การชุมนุมตั้งร้อยกว่าวันแล้ว ผมเรียนยืนยันไว้ว่า ทางกองทัพบกเนี่ยะ ได้ทำงานร่วมกับตำรวจมาตลอดเวลา ทั้งเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงภายใน เรื่องเกี่ยวกับการดูแลการชุมนุมดังกล่าว เรียนยืนยันว่าในการทำงานร่วมกันเนี่ยะ ไม่เคยมีเหตุการณ์ความรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้นเลย เว้นสองครั้งที่มีความรุนแรงโดยการสั่งการ จะโดยใครก็แล้วแต่ที่ท่าน ผบ.ตร. ได้เรียนแล้วว่า ต้องดูผลสอบสวน อย่างไรก็จะเรียนได้ว่า ผมอาจจะเรียนแทนท่านได้นิดหนึ่งว่าไม่ใช่ความริเริ่มดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วก็เรื่องที่กองทัพไปเกี่ยวด้วย ในสองวันคือวันที่ปิดหมายวันหนึ่ง แล้วก็ในวันที่ 7 อีกวันหนึ่ง

ผู้ดำเนินรายการ- อ๋อ ในวันที่ปิดหมายจับ

พล.อ.อนุพงษ์ – ใช่ครับ ที่เหลือร้อยกว่าวัน ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งมีคำสั่งให้ใช้อำนาจทาง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างที่ทราบแล้ว เราก็มีการยับยั้งชั่งใจ ไม่มีการปฏิบัติใด ๆ ทั้งสิ้น

ผู้ดำเนินรายการ – ฝ่ายการเมืองเคยสั่งให้ท่าน สลายไหมครับ คือให้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วสั่งให้ท่านสลาย

พล.อ.อนุพงษ์ – ก็มีข้อกำหนดว่าห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ก็สั่งอยู่แล้วนะครับ

ผู้ดำเนินรายการ – แล้วท่านทำยังไงฮะ

พล.อ.อนุพงษ์ – ก็ผมก็ได้เรียนไปแล้วไงครับ วันนั้นในวันที่ได้เรียนให้ทุกคนรับทราบแล้วว่า ปัญหามันไม่ได้ การฉุกเฉินนั้นมันฉุกเฉินในกรณีคนมา มันมีเหตุการณ์ปะทะกัน แต่เหตุการณ์การชุมนุมนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นร้อยวันแล้ว ไม่ได้ฉุกเฉินอะไร แล้วเค้าก็ให้คณะกรรมการ ให้ผมเนี่ยเป็นผู้แก้สถานการณ์ให้เกิดความสงบเรียบร้อย เราได้เคยพิจารณาแล้วว่า จากการปิดหมายเนี่ย เห็นว่าทำแล้วเนี่ยมันหนักกว่าเดิม ผลกระทบที่ตามกลับมาในมุมกว้างที่มีผลตามมา ถ้าเห็นในการทำงานของพวกรัฐวิสาหกิจต่างๆ มีการปิดสนามบิน อะไรก็แล้วแต่ เกิดผลกระทบอีกมากมาย ฉะนั้นถ้าตัดสินใจทำไปเนี่ย นอกจากจะไม่จบแล้วเนี่ย ปัญหาจะหนักกว่าเดิม นั่นคือผมพิจารณาแล้วว่าทำไม่ได้

ผู้ดำเนินรายการ- คือกองทัพได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติการสลายแล้ว แต่ได้ปฏิเสธ แล้วก็ได้โน้มน้าวว่าเป็นผลเสียมากกว่า

พล.อ.อนุพงษ์ – ผมก็ได้อธิบาย จะเรียกว่าโน้มน้าวหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ได้ทำตัวว่า เราก็ไม่ใช้วิธีนั้น ท่านรัฐบาลก็ไม่ได้ว่าอะไร

ผู้ดำเนินรายการ- มาถึงวันที่ 7 ตอนเช้า ท่านคงเห็นเหมือนกับคนไทยทุกคน ว่าทุกคนตื่นมาตกใจ สลดใจ

พล.อ.อนุพงษ์ – เรื่องในวันที่ 7 ตอนเช้าเนี่ย ก็ต้องออกตัวนะครับ ไม่พูดเดี๋ยวจะเข้าใจผิด กองทัพเนี่ย ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เป็นเรื่องที่ไม่ได้ทราบเรื่อง

ผู้ดำเนินรายการ – คือวันนั้นตั้งแต่ประชุม ครม.ในวันที่ 6 ไม่ได้รับทราบเรื่องเลย

พล.อ.อนุพงษ์ - ครับ ไม่ได้ทราบเรื่อง ไม่ได้รู้เรื่องเลย ในส่วนของการเกิดเหตุการณ์เนี่ย กองทัพมองว่าเป็นการสั่งการของรัฐบาล ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีหน้าที่ตามภาระหน้าที่เขา ในการที่จะดำเนินการ จะถูกผิดอย่างไรในเรื่องนี้เราคงไม่ไป... เพราะมันไปเกี่ยวกับเรื่องความชอบธรรม เรื่องสมแก่เหตุการณ์หรือไม่ ก็คงต้องเข้าสู่กระบวนการ อันนั้นเราไม่ไปพูดถึงนะครับ

ผู้ดำเนินรายการ – วันนั้นเนี่ย ก่อนเกิดเหตุการณ์ท่านรู้ก่อนเกิดเหตุการณ์กี่ชั่วโมงว่าจะมีการสลาย

พล.อ.อนุพงษ์ – จริงๆ เนี่ย ท่านนายกฯ ได้แจ้งมาว่าให้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ผมคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไร นี่ของจริงนะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น แต่เรื่องไปประชุมเนี่ย ผมไม่ทราบ พูดเพียงแค่ให้ดูแลเรื่องการที่จะประชุมตอนเช้า จะไม่พูดก็ไม่ได้เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะครับ แล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไร คุยกับ ผบ.ตร.ว่า ผมคงไม่ทำอะไร ดังนั้นผมไม่ทราบ

ผู้ดำเนินรายการ- แต่ว่าได้รับรู้จาก ผบ.ตร.ว่ามีคำสั่ง

พล.อ.อนุพงษ์ – อืม...พูดแค่เนี้ยครับ พูดว่าให้ดูแล ให้เปิดประชุมได้แค่นั้น ผมก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น คือผมเฉยๆ นี่คือเรื่องจริง

ผู้ดำเนินรายการ – แต่ตอนนั้นท่านก็รู้ว่าจะเปิดประชุมสภา พันธมิตรฯ ก็ประกาศว่าผิดแล้ว

พล.อ.อนุพงษ์ – ก็ผมก็ไม่ได้ทำอะไรครับ แล้วก็ไม่ได้คิดจะไปประชุมอะไรกัน อันนี้เรื่องจริงนะครับ เพราะว่าไม่ใช่ตัวผม มันกองทัพ ทั้งกองทัพ มันถูกกล่าวอ้าง แล้วมันจะเกิดข้อกังขา คนเอาไปพูด ดังนั้น กองทัพไม่ทำเช่นนั้น กองทัพก็จะอยู่กับประชาชน ไม่มีทางที่จะทำ ให้อำนาจมาเต็มๆ ยังไม่ทำเลยครับ ดังนั้นไม่ต้องพูดในประเด็นนี้เลยครับ แล้วเรื่องในเช้าวันนั้นเนี่ยะ พอเหตุการณ์เกิดขึ้น ก็ติดตามสถานการณ์ เราก็คิดว่าเป็นการใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งก็ความคิดพื้นฐานของเราก็คงเหมือนกันทุกคน ไม่ทราบว่าผลมันจะรุนแรงมากขนาดนั้นเป็นเรื่องแรกนะครับ แล้วก็เป็นการสั่งการของรัฐบาล

ถ้าจะว่า ถ้าให้ย้อนกลับไปในตอนนี้ ถ้าทำได้ก็อยากจะทำนะครับ อยากจะเข้าไปห้ามตั้งแต่แรกนะครับ แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องคิดให้ดีว่าในเช้าวันนั้นเราก็ไม่รู้ผลว่า มันจะเกิดอะไรเกิดขึ้นมา การที่เราจะเอากำลังทหารออกไป จะออกไปในสถานะใด แล้วถ้ามันเกิดรุนแรง มากกว่าเดิม ถ้ามีการสูญเสียมากกว่าเดิมแล้วจะแก้กันอย่างไร

ผู้ดำเนินรายการ- คนอาจจะคาดหวังว่า ไม่ได้แปลว่าจะอยู่ข้างหนึ่งข้างใด ชาวบ้านอาจจะคาดหวังว่า อาจจะรู้สึกว่า หรือฝ่ายตรงข้ามอาจจะรู้สึกว่า ทำไมผู้บัญชาการทหารบกไม่โทรศัพท์ไปหานายก หรือออกมาให้สัมภาษณ์ว่า อย่าไปใช้วิธีนี้ มันเสี่ยงเกินไปอะไรประมาณนั้น

พล.อ.อนุพงษ์ – ก็เท่าที่พูดคุยกันอยู่ ผมได้เรียนแล้วว่า ก็ได้พูดคุยกันในเหล่าทัพ ได้เรียนท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้เรียนท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า เหล่าทัพไม่เห็นด้วยที่จะทำลักษณะนี้ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าจะเสียหายขนาดนี้ ทีหลังถึงจะทราบ บางครั้งมันก็ไม่ได้ติดตามสถานการณ์ ฉะนั้นจะเห็นว่าการประชุมหลายประชุมด้วยกัน บางครั้งก็ไม่ได้ติดตามสถานการณ์ อยู่กับสถานการณ์ตลอดเวลา นั้นเป็นเรื่องหนึ่งก็เลย ถามว่าเสียใจไหม ก็เสียใจ มันไม่น่าเกิดขึ้นถ้าห้ามได้ ห้ามตั้งแต่แรกก็น่าจะทำครับ แต่ว่า เราก็ไม่ได้คาดว่ามัน จะเป็นเช่นนั้น

แล้วก็การจะเอากำลังออกไปเนี่ย มันก็สุ่มเสี่ยงที่จะ ทำให้สถานการณ์ยุ่งยากมากกว่าเดิม เช่นอาจเกิดการปะทะกันระหว่างทหาร กับตำรวจ มันอาจจะต้องมีเพราะว่าถ้าเอาอาวุธออกไปเนี่ยะมันจะชุลมุน วุ่นวายกันนะครับ แล้วก็ถ้ามีการปะทะกันด้วยกำลังเนี่ย มันจะมีการสูญเสียอาจจะมากกว่าเดิม เพราะมันใช้อาวุธ แล้วก็จะแก้ไขปัญหากันได้อย่างไร ในเมื่อออกไปกฎหมายก็ไม่มีรองรับ แล้วก็สถาบันทหารกับตำรวจเนี่ยะก็จะต้อง แตกแยกกันไปอีกนาน สังคมคงไม่ดี อย่างไรก็ตามถ้าพูดอย่างนี้เนี่ย จะปล่อยให้มีคนเจ็บตายก็ไม่ใช่ ก็เสียใจเช่นกันก็ไม่อยากให้เกิด แต่ว่าถ้าทวนเวลากลับได้ ก็น่ากลับ

ผู้ดำเนินรายการ- ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ท่านจะ

พล.อ.อนุพงษ์ - ก็คงต้องทำอย่างที่ท่านว่าแหละครับ ต้องป้องกันอย่างที่สุด แต่ว่าตอนนั้นไม่รู้ว่ามันจะเลวร้ายถึงขนาดนี้ ไม่มีใครรู้จริงๆ ถ้ารู้ใครจะยอม น้องโบว์เป็นทรัพยากรของประเทศนะครับ เป็นคนที่มีคุณค่า ไม่มีใครอยากให้เกิดทั้งนั้น ถ้าทวนกลับไปได้ทุกคนคงลงความเห็นว่า... ตำรวจก็คงไม่ทำ ผมมั่นใจว่าตำรวจก็คงไม่ทำ ตำรวจเค้าอยู่เป็นร้อยวันเค้าก็ไม่เคยทำและทุกครั้งที่ถูกกดดันให้ทำ เค้าก็พยามที่จะบอกว่า ทำไม่ได้ ทำแล้วมันจะเสียหาย ผมนี้ยืนยันว่า ทุกครั้งตำรวจจะพูดอย่างนี้ แต่ว่าที่ทำแล้วทำไมไม่รู้นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว ขาดการฝึกซ้อม ไม่รู้ว่าอานุภาพเป็นอย่างไรนี่อีกเรื่องหนึ่ง ที่ต้องตรวจสอบกันอีกที พูดไปโดยข้อมูลไม่มี ก็จะทำให้ปัญหายุ่งพัลวันไปกันใหญ่ แต่ว่าเสียใจไหม ก็เสียใจ

ผู้ดำเนินรายการ – เมื่อศุกร์ที่แล้วท่านผู้บัญชาการทหารบอกกับผมว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบผ่านมา 4-5 วัน ท่าทีล่าสุดของรัฐบาลก็คือว่า ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไต่สวนเหตุการณ์ เดินหน้าเรื่องสภาร่างรัฐธรรมนูญต่อไป แล้วล่าสุดก็เรียกร้องให้คืนทำเนียบรัฐบาล มุมมองท่านเป็นยังไง

พล.อ.อนุพงษ์ – เรื่องความรับผิดชอบเนี่ย มันเกิดความเสียหายเกิดขึ้นอันนั้นเป็นเรื่องปฐม ส่วนเรื่องที่ตามมาคือ คนในสังคมเนี่ยเค้ารับไม่ได้ เกิดเป็นกระแสขึ้นมานะครับ ลุกลามไปถึงสถาบันตำรวจ ลุกลามไปถึงสถาบันหมอ อย่างที่เราทราบกันมันยิ่งไปกันใหญ่ เพราะฉะนั้นมันจะแก้กันที่ว่า แล้วยังไง...แล้วยังไงมันไม่ได้ มันต้องแก้ปัญหาตรงที่ว่า ต้องทำให้คนคิดว่ามันจะจบได้ผมคิดว่า มันจะจบได้ต้องมีคนรับผิดชอบ ไม่ว่าจะรับผิดชอบทางด้านนโยบาย ในการออกคำสั่ง หรือว่ารับผิดชอบในการปฏิบัติ แล้วก็ดูตามกันไป แล้วก็ดูตามเหตุผลตามหลักการกฎหมายที่มันน่าจะทำได้ มันจึงจะสร้างความพอใจให้ประชาชนในชาติได้ มิฉะนั้นมันก็แก้ไม่ได้

ผู้ดำเนินรายการ- ถามท่านตรงๆ ได้ไหมครับ ท่านคาดไว้ถึงขั้นไหน ขนาดให้รัฐบาลยุบสภา หรือลาออกมั้ยครับ

พล.อ.อนุพงษ์ – คิดฮะ ผมคิด เพราะมันไม่มีทาง ถ้าสมมติว่า เช่นรัฐบาลสั่งเองนะฮะ เป็นคนสั่งการจากการสอบสวนแล้วว่าต้องรับผิดชอบ ผมว่าจากกระแสคนในชาติคงไม่ยอม ไม่ยอมมันก็ปั่นป่วนไม่จบ ผมคิดว่าน่าจะต้องเป็นเช่นนั้น แต่ว่าไม่ได้ไปบีบคั้นให้ออกเพราะอะไรนะครับ แต่ว่าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ เพราะว่าอยู่บนกองเลือดไม่ได้ เพราะว่ารัฐบาลจะมาอยู่บนความเสียหายของประเทศชาติ และประชาชนล้มตาย สังคมคงรับไม่ได้ อยู่ยังไงก็อยู่ไม่ได้ ไม่ใช่รัฐบาลนี้รัฐบาลเดียว แต่อยากจะเรียนว่า มันน่าจะทำในสิ่งที่สังคมเค้ารับได้ ไม่ใช่ว่าจงเกียจจงชังหรือไม่ชอบ อันนั้นไม่มี คือมันเป็นไปตามเหตุและผลที่มันควรจะเป็นไป

ผู้ดำเนินรายการ – ถ้าท่านเป็นนายกรัฐมนตรี

พล.อ.อนุพงษ์ผมก็ออกแล้วครับ ไม่อยู่แล้วครับ จะอยู่ไปทำไม บ้านเมืองมันเสียหาย ผมก็ไม่อยู่แล้วฮะ จะอยู่ทำไม อันนี้ท่านถามผมนะครับ ...เป็นผม ผมไม่อยู่ เรียนความจริงว่า คงไม่อยู่

ผู้ดำเนินรายการ – ถามท่านต่อไปว่าท่านจะกดดันมั้ยครับ

พล.อ.อนุพงษ์ - คำว่ากดดันคงไม่ใช่ ผลตรวจสอบออกมา สังคมจะทำเองอย่าลืมส่วนนี้นะครับ และถ้าท่านถามผม ผมก็ตอบอย่างนี้ ผมไม่ทราบว่ากดดันหรือไม่ แต่ก็เรียกร้องว่าสังคมเค้าเรียกร้องดังนั้นไม่มีทางจะจบลงได้ ดังนั้นต้องมีคนรับผิดชอบผมเรียกร้องเช่นนั้น ซึ่งสังคมก็คงเรียกร้องเช่นนั้น

ผู้ดำเนินรายการ – คือท่านผู้บัญชาการทหารบกเรียกร้อง ใช้คำว่าอย่างนั้น

พล.อ.อนุพงษ์ - ครับ

ผู้ดำเนินรายการ – ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดครับ

พล.อ.ทรงกิตติ - ผมได้เคยเรียนผ่านสื่อมวลชน และประชาชนไปแล้วนะครับว่า กองทัพไทยใน 1 กองทัพ มี 3 เหล่า บก เรือ อากาศ สิ่งใดที่ท่านผู้บัญชาการทหารบกพูด กองทัพพูด ผู้บัญชาการทหารเรือพูดก็คือกองทัพพูด ความหมายก็คือ กองทัพบกกับกองทัพอากาศ เห็นด้วยครับ เป็นหนึ่งเดียวทุกเหล่าทัพครับ

ผู้ดำเนินรายการ – เพราะฉะนั้น ถ้ามีข้อเรียกร้องอย่างนี้ก็ชัดเจนนะครับ แต่ว่าก็อย่างที่ว่า ผมกลับมาอีกมุมหนึ่ง ขออนุญาตถามท่านผู้บัญชาการทหารบกอีกครั้งหนึ่งนะครับ เพราะว่าท่านถูกผลักให้ไปอยู่ โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด โดยเฉพาะกรณีเกี่ยวกับท่านเนี่ยะนะครับ งานศพคุณแม่ ด้วยความเคารพนะครับ คุณแม่ของท่านผู้บัญชาการทหารบกคุยกันในทำนองว่า ให้เงินกัน 50 ล้าน

พล.อ.อนุพงษ์ – ก็ต้องบอกก่อนนะครับว่า ด้วยตัวตนของผมเอง ผมจะไม่มีวันทำอะไรเช่นนั้นนะครับ โดยพื้นฐานอยู่แล้ว ก็เรียนว่าผมไม่รับเงิน ไม่รับทรัพย์สมบัติจากใคร ไม่มีแน่นอน ในส่วนงานศพของคุณแม่เนี่ย เนื่องจากผมและครอบครัวได้รับพระมหากรุณาธิคุณอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ตลอด ฉะนั้น เรื่องค่าใช้จ่ายก็ไม่มีมากนะครับ เงินที่ผู้มาร่วมบุญทั้งหลายจำนวนหนึ่ง จนถึงก่อนบรรจุก็มีประมาณ 5.7 ล้านนะครับ คนที่ดำเนินการในส่วนนี้ก็คือพี่สาวผม เค้าก็รับไปแล้วก็ลงบัญชีไว้ว่ามีใครบ้าง แล้วก็มอบเงินนี้ให้โรงพยาบาลพระมงกุฏ ซึ่งครอบครัวผมได้พึ่งพามาตลอด ก็มอบให้โรงพยาบาลเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนในวันเผาก็มีอีกประมาณ 1 ล้านเศษ ก็ให้วัดที่ทำบุญแล้วก็วัดที่เก็บกระดูก วันโสม กับวัดที่เก็บกระดูก ดังนั้นก็มั่นใจเถอะครับผมรับรองด้วยเกียรติของผม และวงศ์ตระกูลของผมว่า ไม่มีการรับเงินไม่ว่าจะที่ผ่านมา ปัจจุบันหรืออนาคต ก็เรียนได้เลยว่าไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้น

ผู้ดำเนินรายการ – คือได้มาก้อนแรกก็ 5.7 ล้านโดยประมาณก็ให้มอบให้โรงพยาบาลพระมงกุฏ วันเผาก็ดำเนินการ ไม่ได้เอาเข้าตัว

พล.อ.อนุพงษ์ – ไม่มีหรอกครับ เพราะว่างานก็ไม่ได้ใช้อะไร

ผู้ดำเนินรายการ – ท่านคงได้ยินการปราศรัยโจมตีครอบครัวของท่าน ลูกเรียนอยู่ที่อังกฤษหรือเปล่าอะไรประมาณนั้น เชิญฮะถ้าอยากจะพูด

พล.อ.อนุพงษ์ครอบครัว ผมอยากเรียนกับสังคมว่า ผมกับครอบครัวชินวัตร มีบุคคลที่รู้จักกันเพียงคนเดียว คือผมและท่านนายกฯ ทักษิณ ผมเองไม่เคยคุยกับคุณหญิงพจมานนะครับ ไม่เคยคุยจริงๆ ผมว่าผมจำได้ว่า แม้แต่ทัก ผมว่าผมไม่น่าจะเคย ส่วนภรรยาผมนี้ไม่เคยนะครับ ไม่เคยเลย ไม่ว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรก็ไม่เคยมี มิใช่ว่าท่านไม่มีที่อยู่แล้วผมจะไปตัดรอน เพื่อนก็เป็นเพื่อนครับ แต่นี่เป็นความจริงว่าไม่เคยมี ยิ่งลูกสาว ลูกชายด้วยแล้วไม่เคยรู้จักคนในตระกูลชินวัตรแม้แต่คนเดียว ที่จะหมายถึงมารู้จัก มาพูดคุยกันแม้แต่คำเดียวก็ไม่เคย

ผู้ดำเนินรายการ – ส่งเสีย แล้วก็ดูแล

พล.อ.อนุพงษ์อ๋อ ไม่มีครับ ไม่มีแน่นอนนะครับ มีเค้าไปเรียนปริญญาโทก็ปีเดียวนะครับ แล้วก็กลับมาเป็นเดือนแล้วนะครับ แล้วก็ไม่ได้ไปรู้จักใคร ซ้ำตอนที่อยู่นั่นก็พยายามที่จะหลบเลี่ยง ด้วยลูกผู้หญิงตัวคนเดียวอยู่ที่โน่น ก็กลัวมันจะ ก็พยายามรักษาตัวนะครับ ก็เค้าก็ไม่ไปยุ่งกับใคร เค้าก็คงไม่ไปรู้จักกับคนดังกล่าว

ผู้ดำเนินรายการ – เห็นมีคนขึ้นไปพูดอยู่ตลอดเวลา ท่านก็ยืนยันว่าไม่ใช่

พล.อ.อนุพงษ์ – ก็เสียใจว่า สังคมเราเนี่ย ถ้าใช้การโจมตีกันด้วยความไม่บริสุทธิ์ และก็ไปทำให้ใครเสียเกียรติ หรือว่าเกิดความเข้าใจผิดในสังคมเนี่ยะ ผมว่าสังคมมันก็เริ่มต้นที่จะเป็นไปในทางที่ควรจะเป็นได้ยาก ไม่ใช่ผมคนเดียวนะครับ ใครก็ตามที่โดนอย่างนี้ก็ไม่น่าที่จะ เรียกว่า รับได้ในส่วนนี้นะครับ

ผู้ดำเนินรายการ – บทบาทของกองทัพในการที่จะปกป้องรักษาสถาบันกษัตริย์ เชิญครับผู้บัญชาการทหารบก

พล.อ.อนุพงษ์ – ก็อยากจะเรียนนะครับว่าไม่ว่าจะเป็นกองทัพ คนไทยทั้งชาติเนี่ยะนะครับ ก็ต้องคิดเหมือนเช่นเดียวกันแน่เลย ผมมั่นใจว่า เราเทิดทูนและรักสถาบันพระมหากษัตริย์นะครับ เป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่ได้ ทุกคนโดยพื้นฐาน ในส่วนของตัวผมเองนั้น นอกจากการเป็นทหารซึ่งเป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตัวผมเองเป็นราชองครักษ์ตั้งแต่ปี 2525 โดยไม่เคยออกจาการทำหน้าที่เป็นราชองครักษ์เลยนะครับเกือบ 30 ปีนะครับ ยิ่งกว่านั้นก็อยากจะเรียนว่า อยากจะให้สังคมเข้าใจว่า ได้เห็นภาพผมบ้างนะครับว่า ได้เคยถวายงานใกล้ชิดในหลายเรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการอารักขา การปฏิบัติงานตามพระราชดำริบ้าง อยากจะเรียนว่า ผมจะเทิดทูนและรักสถาบันด้วยชีวิต ไม่มีทางที่ผมจะเป็นอื่นได้ และผมยืนยันว่า ทหารทั้งหมดและครอบครัวก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน เหมือนกับประชาชนไทยทั่วไปทุกคน กลับมาในส่วนของการปกป้องและการเทิดทูนสถาบันนะครับ

ผู้ดำเนินรายการ – คือต่างฝ่ายต่างอ้างอิง

พล.อ.อนุพงษ์ – ผมอยากเรียนอย่างนี้ครับ คือว่าแนวทางในการดำเนินการขณะนี้มันมีการอ้างอิงสถาบัน จึงอยากจะเรียนให้พี่น้องทราบว่า แนวทางคนที่จะถวายความจงรักภักดี จะต้องไม่ดึงพระองค์ท่านเข้ามาเกี่ยว มาอ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขความขัดแย้ง เงื่อนไขของทางการเมือง จะต้องไม่ดึงพระองค์ท่านลงมา เป็นสิ่งที่ควรจะต้องกระทำ พระองค์ท่านต้องอยู่เหนือ พระองค์ท่านทรงมี พสกนิกร 63 ล้านคน ไม่อาจจะไปอยู่ซีก 30 ใด หรือ 20 ใด หรือ 10 ใด ได้นะครับ พระองค์ท่าน ทรงมีพสกนิกร ซึ่งพระองค์ท่านทรงห่วงใยดูแล ไม่ว่าใครทั้งสิ้นทั้ง 63 ล้านคนนะครับ จะต้องไม่แบ่งแยกกัน แล้วก็จะต้องไม่เอามาแต่กลุ่มเดียว ผมว่ามองอีกมุมหนึ่งเหมือนการแยกท่านให้ไม่เหลือ 63 ล้านคนเหมือนเก่า ดังนั้นจึงต้องไม่ดึงพระองค์ท่านลงมาเด็ดขาด จึงอยากเรียนในส่วนนี้ว่า ที่มีเสียงว่ากองทัพไม่ดูแล ไม่ปกป้อง ผมเรียนเลยว่า การดำเนินการของกลุ่มใดในปัจจุบัน ถ้ามีการหมิ่น หรือมีการจาบจ้วงสถาบันเนี่ยะ กองทัพจะไม่ปล่อย ไม่ว่าจะวิธีใด ขอให้รับทราบไว้ด้วย

ผู้ดำเนินรายการ – สุดท้ายผมถามท่าน ผบ.ตร.ก่อนว่าต่อไปเนี่ย การดูแลผู้ชุมนุมในอนาคตเนี่ยะ ให้หลักประกันซักนิดหนึ่งครับ ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์อะไรอีก

พล.ต.อ.พัชรวาท – ครับ ก็ต้องเรียนอย่างนี้นะครับ เรื่องศาลปกครองเนี่ย ก็ได้มีคำสั่งมาแล้วว่าการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมเนี่ยะ มันจะต้องมีขั้นตอนอะไรอย่างไร ตรงนี้เนี่ยะ ผมดีใจมาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติเนี่ยะ เห็นคุณประโยชน์ของศาลปกครองมาก มันจะมีขั้นตอนการปฏิบัติการที่ชัดเจน และก่อนการจะใช้เนี่ยะ ก็ต้องมีการประการต้องอะไร ที่ชัดเจนนะครับ ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง ก็เห็นว่าตรงนี้เป็นเรื่องที่ดี แล้วประกอบกับว่าโอกาสที่จะเกิดในอนาคตเนี่ยะมันก็ยังมี มันยังมีโอกาสว่าสองฝ่ายยังอาจปะทะกันได้นะครับ ผมก็คิดว่าตรงนี้ก็เป็นประเด็นสำคัญผมก็เลยตั้งคณะกรรมการ เรื่องหารือการรักษาความปลอดภัยในการชุมนุม ก็อยากจะเอาสื่อเอาอะไรเข้าไปร่วมด้วยนะครับ อันนี้ผมว่ามีความจำเป็น มุมมองหลายมุม เราจะมองอย่างเดียวว่าการรักษากฎหมายต้องดำเนินการไปตามแผนกรกฎ 48 ตามแผน อย่างนี้ผมว่ามันจะแข็งเกินไป ถ้าสื่อหรือคณะกรรมการชุดนี้มาให้ความเห็นเราได้ ผมว่ามันจะหลากหลาย

ผู้ดำเนินรายการ – คือให้คนนอกเข้าไปมีส่วนร่วม มันจะเป็นการยุติเหตุการณ์ อะไร ยังไง

พล.ต.อ.พัชรวาท – คือจะมีคณะกรรมการ ที่สมมติว่ามีเหตุการณ์อย่างนี้เนี่ยะ เช่นจะเกิดการปะทะกัน ทั้งสองกลุ่มเราก็จะเรียกประชุมคณะกรรมการชุดนี้ว่า เหตุการณ์อย่างนี้ท่านจะไปช่วยเราอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้แต่ตำรวจทำหน้าที่อยู่เพียงฝ่ายเดียว

ผู้ดำเนินรายการ – เอาละครับ เมื่อวันศุกร์ท่านบอกกับผมว่า ณ เวลานั้นทุกเหล่าทัพยังไม่มี จนถึงเวลานี้

พล.อ.อนุพงษ์ – ก็ยังไม่มีครับ อย่างที่เรียนให้ทราบไป ยิ่งคุยเหล่าทัพก็ยิ่งไม่เห็นด้วย แล้วก็สังคมไม่ว่าจะเป็นสื่อ นักวิชาการ ก็ไม่เห็นด้วย

ผู้ดำเนินรายการ – คุณหมอประเวศ ล่าสุดออกมาบอกว่า ถ้าจำเป็นถ้านองเลือดแล้วก็จำเป็นจะต้องทำ

พล.อ.อนุพงษ์ – ผมเข้าใจว่า ถ้าเป็นนองเลือดกันจริงๆ เป็นกลียุคนะครับ ก็อาจจะมีแต่คงไม่ใช่ปฏิวัตินะครับ คงเป็นการหยุดใช้อำนาจ แล้วก็ให้ใครขึ้นมาใช้ จะเรียกปฏิวัติ ก็คงไม่ใช่ เป็นการหยุดการใช้อำนาจมากกว่า

ผู้ดำเนินรายการ – เป็นการหยุดใช้อำนาจ ไม่ใช่การปฏิวัติ ไม่มีในความคิดจนถึงนาทีนี้ และนาทีไหน

พล.อ.อนุพงษ์ – ใช่ครับ ไม่มีครับ

ผู้ดำเนินรายการ – ตัวท่าน (พล.อ.ทรงกิตติ) ถูกบางกลุ่ม บางฝ่ายมองว่า จะเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ผมถามท่านตรงๆ

พล.อ.ทรงกิตติ – ไม่เคยมีในความคิดเลยนะครับ

ผู้ดำเนินรายการ – บางเวทีบอกว่า พล.อ.ทรงกิตติจะเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ

พล.อ.ทรงกิตติ – อาจจะเป็นความคิดของคนที่พูดครับ ไม่ใช่ความคิดของผม และไม่ใช่ของกองทัพไทยด้วยครับ ไม่มีครับ เรายืนยันว่ากองทัพ รักษาบทบาทหน้าที่ตามกฎหมาย แล้วก็อยู่กับประชาชน ทำงานให้กับประชาชน ไม่มีฝัก ไม่มีฝ่าย และพันธกิจที่สำคัญที่สุดคือ รักษาอธิปไตยเหนือดินแดน แล้วก็อยากให้ประชาชนมั่นใจว่า กองทัพมีความพร้อม แล้วก็ติดตามแล้วก็ดำเนินการทุกวิถีทาง การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เราดำเนินการอยู่แล้ว เรามิจำเป็นที่จะต้องประกาศว่า เราทำอะไรบ้าง คือเราทำงานไปนะครับ ขอให้ผลงานออกมา แล้วในส่วนของความแตกแยกนะครับ ทางการเมือง หรือว่าความแตกต่างทางความคิดนั้น อย่าให้เป็นความแตกต่างของสังคมไทยเลยนะครับ ขอให้กลับสู่ ความเป็นสังคมไทยที่เรามีความสุข อยู่ร่วมกัน เอื้ออำนวยต่อกัน แล้วก็ร่วมกันทำให้ประเทศไทยวัฒนาถาวรครับ

ผู้ดำเนินรายการ – รัฐบาลแห่งชาติ ไม่ใช่บทบาทของกองทัพหรือครับ

พล.อ.ทรงกิตติ – คือมีอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการนะครับ แล้วก็มีกลุ่มชน สภาก็มี ไม่ใช่อะครับ ไม่อยากให้เกี่ยวข้อง

ผู้ดำเนินรายการ – ท่านอยากจะถามอะไรผมกลับหรือครับ เห็นบอกว่าอยากจะถาม

พล.อ.ทรงกิตติ – จะถามว่าคุณอยากให้มีปฏิวัติหรือ เห็นถามบ่อยเหลือเกิน

ผู้ดำเนินรายการ – ถ้าถามผม ผมไม่อยากหรอกครับ แต่กระแสข่าวออกมามากก็เลยต้องถาม เอาละครับนี่คือจุดยืนของทุกเหล่าทัพนะครับ นี่เป็นการสัมภาษณ์ครั้งประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง ขอบคุณทุกท่านที่มาบอกเล่าและแสดงจะยืนตรงนี้ครับ สวัสดีครับ
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.
พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.
กำลังโหลดความคิดเห็น