ผู้จัดการออนไลน์ – จี้ “ข่าวสด” แก้ข่าว ทวงศักดิ์ศรีให้พันธมิตรฯ ขาขาด-ศิลปินถูกยัดข้อหามือระเบิด ชี้องค์กรสื่อไร้น้ำยา แยก 4 ประเภทสื่อทรราช “สมเกียรติ” ชี้แฉขบวนการออกหนังสือ/เว็บไซต์ จาบจ้วงสถาบัน-ป๋า-ศาล แพร่สะพัดในต่างประเทศ ล้วนแล้วเชื่อมโยงกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ยกย่องวีรชนเสียสละเพื่ออนาคตประเทศชาติ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ปราศรัย
วานนี้ (12 ต.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 23.35 น. ณ เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำเนียบรัฐบาล นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ขึ้นกล่าวปราศรัยประณามการรายงานข่าวของสื่อมวลชนบางแห่ง โดยกล่าวถึงเหตุการณ์ที่หญิงชราอายุ 81 ปี มารดาของพันธมิตรฯ ชุมพรรายหนึ่งมาชี้แจงกรณีที่บุตรชายเสียขาจากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา และถูกกล่าวหาผ่านสื่อบางแห่งว่าเป็นขอทานที่พิการขาขาดอยู่แล้วนั้น ไม่เป็นความจริง จึงต้องการล้างมลทินให้บุตรชาย ว่าตนเองและบุตรมีอาชีพทำสวนยางและขายข้าวต้มในตลาด ไม่ได้เป็นขอทานแต่อย่างใด จึงขอประณามหนังสือพิมพ์ที่บิดเบือนข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ นายสมเกียรติยังตอกย้ำการบิดเบือนข่าวสารของสื่อ ด้วยการนำภาพหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ข่าวสดขึ้นฉายบนเวที กรณีที่รายงานข่าวว่านายชิงชัย อุดมเจริญกิจ หรือตี๋ ศิลปินอิสระที่แขนขวาขาด จากเหตุสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 7 ต.ค. นั้นกำระเบิดไว้ในมือซ้าย ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงกุญแจ นอกจากนี้สื่อเดียวกัน ยังรายงานข่าวบิดเบือนกรณีสมเด็จพระเทพฯ ตรัสเกี่ยวกับพันธมิตรฯ อันเป็น รวมทั้งคอลัมน์ “ข่าวข้นคนเข้ม” โดยพญาไม้ ซึ่งระบุว่า “ชายที่กำระเบิดนั้น อีกหนึ่งภาพของภาพเป็นปัญหาระเบิดในมือของพันธมิตรฯ ท่านหนึ่งที่กำไว้ในมือซ้ายในขณะที่มือขวาโดนระเบิดนั้น เป็นระเบิดชนิดใด เข้าไปอยู่ในมือทำไม”
อัดองค์กรสื่อทำไมยังใบ้กิน
ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้นายสมเกียรติ ได้ตั้งคำถามต่อสมาคมเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ สมาคมเกี่ยวกับวิทยุ สมาคมเกี่ยวกับโทรทัศน์ สมาคมเกี่ยวกับนักข่าว ว่าในรัฐธรรมนูญมาตรา 46 ได้รับุไว้ว่ามีองค์กรที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรม มีกลไกควบคุมกับเองขององค์กรวิชาชีพ แต่เหตุใดสมาคมเหล่านี้ไม่เคยออกแถลงการณ์ใดๆ กรณีที่มีการบิดเบือนข่าวเช่นนี้ ขณะที่เมื่อพันธมิตรฯ บุกไปที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที สมาคมเหล่านี้กลับออกแถลงการณ์มามากมาย
ชี้ 4 กลุ่มสื่อทรราช
ทั้งยังกล่าวด้วยว่า ลักษณะสื่อทรราชในประเทศไทยนั้นแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ หนึ่ง นักข่าวรับเงินเดือนประจำจากนายทุนและนักการเมือง เช่นบางกอกโพสต์ในอดีตที่เคยไล่นักข่าวคนหนึ่งออก เพราะจับได้ว่านักข่าวผู้นั้น รับเงินเดือนประจำจากนายสุวัตร ลิปตพัลลภ สอง สื่อที่รับเงินจากกองทุนที่มีผู้ตั้งไว้เพื่อให้เขียนข่าวสนับสนุน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5 ฉบับที่อยู่ในกลุ่มนี้ โดยคนตั้งกองทุนเป็นทรราชทางการเงินของไทย สาม สื่อโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ที่อาศัยโฆษณารัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลนำมาให้ จึงต้องกลายเป็นสื่อรับใช้รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ และ กลุ่มสุดท้าย สื่อมวลชนที่รับเงินประจำ พอใครได้เป็นนายกฯ ก็จะไปมอบดอกไม้เป็นประจำ นี้คือสื่อที่รับเงินอุดหนุนโดยตรง
แฉขบวนการออกหนังสือจาบจ้วงสถาบัน-ป๋า
นายสมเกียรติ ได้กล่าวว่า ในสหรัฐอเมริกา มีการแจกใบปลิวโฆษณาเว็บไซต์ 11 เว็บไซต์ โทรทัศน์ และวิทยุที่จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์และตุลาการ โดยหนึ่งในเว็บไซต์ดังกล่าวคือ เว็บไซต์รายการ “ความจริงวันนี้” ซึ่งดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ออกอากาศทางช่อง NBT โดยใบปลิวดังกล่าวได้มีการแจกจ่ายเมื่อวันที่ 5 ต.ค.51 ที่โรงแรมลินคอล์น ในลอสแองเจลิส ในงานสัมมนา “ฉีกรัฐธรรมนูญ โจรที่ปล้นประชาธิปไตย” ผู้จัดชื่อ นางชบา นายภิรมณ์ และนายอเนก ซึ่งมีบทบาทจาบจ้วงสถาบันมาโดยตลอด ซึ่งงานนี้มีผู้ไปร่วมงานคือนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล เลขาธิการมูลนิธิ 111 พรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่หนังสือจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์และตุลาการ ที่มีชื่อว่า “ตุลาการวิบัติหายนะประเทศไทย” นั้น นายสมเกียรติ เปิดเผยว่า ในหนังสือไม่ได้ระบุสำนักพิมพ์เนื่องจากอาจเกรงว่าจะถูกออกหมายจับ โดยในหนังสือกล่าวถึงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และผู้ที่สูงกว่าขึ้นไป รวมทั้งตุลาการ ซึ่งหนังสือดังกล่าวได้ระบุว่า มีประชาชนบางส่วนเริ่มคิดถึงการเรียกคืนอำนาจตุลาการ เพราะอำนาจตุลาการในปัจจุบันไม่มีความชอบธรรม และได้ยอมสยบต่ออำนาจเถื่อนของโจรกบฏ
นอกจากนี้ ในหนังสือยังประณามนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา ว่าเคยแสดงบทบาทอย่างออกหน้าออกตาในการรับใช้แกนนำสถาบันผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ตอนหนึ่งในหนังสือ มีคำกล่าวของนายนายอุกฤษณ์ มงคลนาวิน อดีตประธานรัฐสภาสมัยที่พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี หนึ่งในคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 8 คนของ รสช. และอดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งกล่าวว่าต้องตีความเรื่องการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยอย่างเคร่งครัด คือ อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เปรียบเสมือนถนนสานเลนที่ให้รถสามคันวิ่ง ซึ่งรถแต่ละคันต้องวิ่งไม่ข้ามเลน ซึ่งนายสมเกียรติตั้งคำถามว่าแล้วเหตุใดพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจึงวิ่งข้ามเลนไปทั่ว
นอกจากนั้น นายอุกฤษณ์ได้เคยกล่าวในปี 2535 ว่า “ไม่เห็นด้วยในการแบ่งแยกอำนาจ เป็นเรื่องสับสนด้านคำพูดและศัพท์ที่นำมาใช้ คนไทยก็คือคนไทย เนื้อหารัฐธรรมนูญของประเทศไทย ต้องให้คนไทยมีเสรีภาพอย่างแท้จริง อย่าไปยึดแบบฝรั่ง” ซึ่งขัดแย้งกับคำพูดของตนเองในปัจจุบัน
นายสมเกียรติ กล่าวว่า หนังสือยังกล่าวถึง “มือที่มองไม่เห็น” ว่าตุลาการภิวัตน์เป็นเครื่องมือของมือที่มองไม่เห็นของแกนนำผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ศูนย์กลางอำนาจของ กลุ่มอำมาตย์แห่งบ้านสี่เสาเทเวศน์ ซึ่งเป็นที่มาของอำนาจลึกลับหรือมือที่มองไม่เห็นที่มักใช้เส้นสายอำนาจหรือบารมีแทรกแซงการเมืองอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นเนื้อหาหนังสือยังแบ่งบุคคลไว้สองคนในหน้า 24 โดยคนแรกเรียกว่าแกนนำอำมาตยาธิปไตย และเหนือกว่านั้นคือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นยังระบุว่า คตส. ป.ป.ช. และ กกต. เป็นองค์กรเถื่อน โดยเฉพาะการนำศัตรูทางการเมืองของรัฐบาลทักษิณมาเป็นกรรมการ เช่นคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา นายนาม ยิ้มแย้ม นายสัก กอแสงเรือง และนายแก้วสรร อติโพธิ เป็นต้น
นอกจากนี้ หนังสือดังกล่าวยังกล่าวถึงรัฐธรรมนูญปี 2550 ว่ามาจากการที่กลุ่มโจรกบฏ (คตส. ป.ป.ช. กกต.) เหล่านี้ได้ยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ขึ้นมาแล้วมาบีบประชาชนให้ลงประชามติ จึงเป็นรัฐธรรมนูญไม่ชอบธรรม ไม่สามารถบังคับใช้ได้ ถือเป็นรัฐธรรมนูญปลอม จากนั้นจึงประณามศาลว่ามีการทำงานที่ไม่ชอบธรรมและมีผลประโยชน์เกี่ยวโยงอยู่ในองค์กรอิสระ
นายสมเกียรติ ชี้แจงต่อ ว่าหนังสือดังกล่าวยังกล่าวถึงกรณีนายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งถูกศาลพิพากษาให้ใบแดงและตัดสิทธิทางการเมืองคดีทุจริตซื้อเสียงว่า แม้ว่านายยงยุทธจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ทว่าการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 17 ส.ค.2551 ปรากฏว่า นางสาวละออง ติยะไพรัช น้องของนายยงยุทธได้รับการเลือกตั้ง แสดงว่าประชาชนพิพากษาให้นายยงยุทธเป็นผู้บริสุทธิ์ ด้วยการลงคะแนนสนับสนุนให้นางสาวละออง น้องสาวนายยงยุทธ เป็นส.ส.ต่อไป ดังนั้นคดีนายยงยุทธก็คือเหยื่อการเมืองที่จะนำไปสู่การพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญที่จะนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนในที่สุด
ทั้งนี้ หนังสือเล่มดังกล่าวยังกล่าวว่าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรตัดสินใจลี้ภัยทางการเมืองเป็นการเสียสละ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงทางสังคม และยังทำให้สังคมได้เรียนรู้ว่าตุลาการภิวัฒน์ ได้กลายเป็นตุลาการวิบัติไปแล้ว
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ในหน้าสุดท้ายของหนังสือ “ตุลาการวิบัติหายนะประเทศไทย” นั้นเขียนไว้ ดังนี้ “บทเรียนที่ผ่านมา 76 ปี การเมืองไทยมีบทสรุปที่แจ่มชัดเป็นความจริงก็คือว่าต้องร่วมกันกำจัดอำมาตย์ชั่ว ขุนนางฉ้อฉล นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวบนถนนที่ทำแต่ความระยำ และความสามานย์ บนผืนแผ่นดินไทยให้หมดไปจากแผ่นดินไทยให้จงได้” พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่าหนังสือดังกล่าวพิมพ์เมื่อวันที่ 20 ส.ค.51 หลังจากมีคดีขนม 2 ล้านบาทซื้อศาลไม่ได้
สุดท้าย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรฯ ได้กล่าวสดุดี น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ “น้องโบว์” และ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี หรือ “สารวัตรจ๊าบ” ว่าเป็นนักรบของประชาชน ที่ไม่ใช่เสียสละชีวิตเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ของตัวเองให้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เคลื่อนไหวเพื่ออดีต แค่เคลื่อนไหวเพื่อปัจจุบันและอนาคต แต่คนในปัจจุบันจะจารึกชื่อของพวกเขาว่าเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่อยู่ในความทรงจำของพันธมิตรฯ ชั่วนิจนิรันดร์