ผู้จัดการออนไลน์ - อดีตอธิบดีกรมตำรวจ เตือนถ้าประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมทั่วถึงกัน จนท.บ้านเมืองปฏิบัติต่อประชาชนไม่เท่าเทียม กลียุคแน่ เพราะคนก็มีความอดทนจำกัด! อัด รบ.-ตร.ชั่ว ยัดข้อหา “กบฏ” แกนนำพันธมิตรฯ ไร้เหตุผลรองรับ แจงเหตุผลเป็นข้อๆ เตือนรุ่นน้องระวังติดคุกจากมาตรา 157, 200 ระบุ พปช.ไร้ความชอบธรรมตั้งแต่โดนนยุบพรรค ร้องมวลชนฟังแกนนำ ไล่เสนียดจัญไรออกจากบ้านเมือง
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "รู้ทันประเทศไทย"
วานนี้ (5 ต.ค.) เวลาประมาณ 23.10 น. รายการรู้ทันประเทศไทย ณ เวทีทำเนียบรัฐบาล ซึ่งดำเนินรายการโดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และนักวิชาการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเชิญ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจและอดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร ขึ้นมาพูดคุยถึงพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจในปัจจุบัน โดยเฉพาะกรณีที่เช้าวานนี้ได้ดำเนินการจับกุม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขณะเดินทางไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ณ หน่วยเลือกตั้ง เขตดุสิต
พล.ต.อ.ประทินว่า ในฐานะที่ตนเองเป็นอดีตอธิบดีกรมตำรวจ รู้สึกเสียใจกับพฤติกรรมของตำรวจในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก เนื่องจากรัฐบาลและตำรวจนั้นได้พยายามยัดข้อหากบฎให้กับแกนนำทั้ง 9 คน โดยปราศจากข้อเท็จจริงและเหตุผลรองรับโดยสิ้นเชิง
“การกล่าวหาแกนนำกับอีก 4 คนเป็นกบฏนั้น ผมอยากถามว่า เขาได้กระทำการเป็นกบฎตั้งแต่เมื่อไหร่ มีกำลังมากน้อยแค่ไหน มีอาวุธอะไรบ้าง … คน 9 คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎนั้น พี่น้องทุกคนก็เห็น คนอื่นๆ ก็เห็นว่า คน 9 คนนั้นขึ้นเวทีปราศรัยกับพี่น้องทุกวัน ไม่มีอะไรที่จะต้องสุมกำลัง มีมือ มีตีนเท่านั้น และจะไปทำอะไรกับรัฐบาล ที่มีกำลังทั้ง บก-เรือ-อากาศ ผมอยากจะขอร้องคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตรวจสอบในเรื่องนี้ รวมถึงคณะกรรมการยุติธรรมและตำรวจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รวมถึงสภาทนายความให้ร่วมกันตรวจสอบในเรื่องเหล่านี้ด้วยครับ” พล.ต.อ.ประทินกล่าวพร้อมกล่าวว่า กรณีนี้เป็นการยัดข้อหาที่รุนแรงมาก
อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ระบุอีกว่า นายตำรวจระดับชั้นเพียงพันตำรวจโทไม่สามารถที่จะตั้งข้อหากบฎให้กับแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 9 ได้ และการกล่าวหาว่าทั้ง 9 คนนี้เป็นกบฎนั้นก็ไม่เข้าองค์ประกอบของกฎหมายแม้แต่ข้อเดียวด้วย
ต่อมา นายเจิมศักดิ์ได้ยกหนังสือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมถึงประมวลกฎหมายอาญาขึ้นมาและกล่าวว่า ในข้อหากบฎ มาตรา 113 ที่ระบุว่า ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ โดยผู้นั้นกระทำผิดฐานเป็นกบฏต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต พอจะฟังขึ้นหรือไม่ว่าพี่น้องพันธมิตรฯ ทำเช่นนั้นจริง พล.ต.อ.ประทินตอบว่า
“ไอ้คนกล่าวหาอย่างนี้นั้น มันไม่ควรจะเป็นตำรวจแล้ว มันควรจะไปประกอบอาชีพอย่างอื่น หรือเป็นแมงดามากกว่า”
เมื่อถามว่า การที่ตำรวจและรัฐบาลพยายามบอกว่า การที่พันธมิตรฯ เข้ามายึดทำเนียบนั้นก็เปรียบได้กับความพยายามในการล้มล้างอำนาจบริหาร คำกล่าวเช่นนี้มีหลักฐานรองรับมากน้อยแค่ไหน พล.ต.อ.ประทินตอบว่า ขณะที่พันธมิตรฯ เข้ามาชุมนุมในทำเนียบ รัฐบาลก็ยังสามารถบริหารประเทศได้อยู่ การประชุมคณะรัฐมนตรีที่กองบัญชาการกองทัพไทย หรือ ทำเนียบชั่วคราวสนามบินดอนเมืองก็สามารถทำได้อยู่
“พันธมิตรฯ ไม่ได้เข้ามายึดทำเนียบนะ แต่เราเข้ามาชุมนุมในที่สาธารณะครับ” อดีต ส.ว.กล่าว และยืนยันว่า การกระทำของแกนนำและพันธมิตรฯ ไม่เข้าหาประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 แม้แต่น้อย เพราะ แกนนำทั้ง 9 คนที่ถูกกล่าวหาก็เป็นเพียงบุคคลธรรมดาที่มีสองมือสองเท้าซึ่งไม่สามารถยึดอำนาจใดๆ ได้
ชี้ ตร.ระวังโดนคุกจาก มาตรา 157, 200
ดร.เจิมศักดิ์ ถามต่อว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้กล่าวหาประชาชนด้วยข้อกล่าวหาที่เกินความเป็นจริง ต้องรับโทษทางกฎหมายด้วยหรือไม่ อดีต ส.ว.กทม.ชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ผู้นั้นอาจจะเข้าข่ายทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 200 ซึ่งมีโทษสูง โดยรายละเอียดของกฎหมายสองมาตรามีดังนี้ คือ
*************
มาตรา 157(8) ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 200 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาหรือจัดการให้เป็นไปตามหมายอาญา กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดๆ ในตำแหน่ง อันเป็นการมิชอบ เพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องโทษ หรือให้รับโทษน้อยลง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
ถ้าการกระทำหรือไม่กระทำนั้น เป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ รับโทษหนักขึ้น หรือต้องถูกบังคับตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
*************
พล.ต.อ.ประทิน กล่าวต่อด้วยว่า ประชาชนทั้งหลายอย่าหลงเชื่อสิ่งที่ ตำรวจ นักการเมืองซีกรัฐบาล สื่อมวลชน และนักวิชาการหลายคน ซึ่งออกมาให้สัมภาษณ์และเขียนระบุว่า เมื่อมีหมายจับแล้วตำรวจต้องจับ และเมื่อมีหมายจับแล้วแกนนำก็ต้องมอบตัว โดยให้เหตุผลว่า บุคคลเหล่านั้นไม่เคยคำนึงเลยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามยัดข้อหากบฎให้กับแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งไม่ชอบธรรม
“คนเราสักแต่ว่ามีปาก มันก็พูดไปเรื่อยๆ กรณีนี้เป็นสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาและผู้ถูกกล่าวหาครับ คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด ยังมีการอุทธรณ์คำสั่งอยู่ครับ คำอุทธรณ์จะตกภายในสัปดาห์หน้า กระบวนการก็ยังไม่ถึงที่สุด เขาจะทำอย่างไร ก็เป็นสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหา แต่ต้องคิดดูว่า ไอ้คนที่พูดและไอ้คนที่เขียนหนังสือ บอกให้ (แกนนำพันธมิตรฯ) ควรเข้ามอบตัวรู้หรือเปล่าว่าเขาทำความผิดตามที่กล่าวหาหรือไม่ เข้าองค์ประกอบหรือไม่ คนพวกนี้รู้ข้อเท็จจริงหรือไม่” พล.ต.อ.ประทิน กล่าว
ระบุถ้าเป็น ผบ.ตร.ต้องมีพักราชการเจ้าของสำนวน
ต่อมาเมื่อ ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวถึงคำให้สัมภาษณ์ ของ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าการจับแกนนำไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พล.ต.อ.ประทินกล่าวว่า ก็พูดกันไปได้ แต่การจะเชื่อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้ฟัง
ส่วนกรณีการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่อนายจักรภพ เพ็ญแข และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ตำรวจดำเนินการอย่างล่าช้านั้น อดีตอธิบดีกรมตำรวจระบุว่า กรณีของนายจักรภพนั้นมีการมอบตัวแล้ว แต่ในคดีทั้งหลายมีความล่าช้าในการดำเนินคดีอย่างมาก ซึ่งถ้าตนยังเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจอยู่ ตนก็จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด
“ถ้าผมเป็น ผบ.ตร. ผมก็จะต้องขอดูสำนวนการสอบสวน ถ้าพยาน หลักฐาน ข้อเท็จจริง ไม่ครบถ้วนตามองค์ประกอบของกฎหมาย ผมก็จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนและพักราชการเจ้าของสำนวนอย่างแน่นอน เพราะการกล่าวหาอย่างนี้เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก ทำให้ทั้งตระกูลเสียชื่อเสียงว่าเป็นกบฎ”
“ทั้งๆ ที่คน 9 คนนี่แสดงออกทุกวันว่า รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และปกป้องรัฐธรรมนูญตลอดเวลา ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ ไปถามใคร ใครก็ถามผมแล้วเบือนหน้าหนี แล้วถามว่า ทำไมตำรวจจึงตั้งข้อหาจับคน 9 คนด้วยข้อหาอย่างนี้”
เตือน รบ.ยืนกรานทำสิ่งผิดจะเกิดเรื่องใหญ่
อดีตอธิบดีกรมตำรวจในช่วงปี 2537 กล่าวต่อด้วยว่า ความไม่ถูกต้องจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ต่อไป และนักการเมืองที่ภายนอกดูดีและภายในชั่วร้าย เมื่อหลอกลวงประชาชนเช่นนี้ก็อาจทำให้ประเทศชาติเกิดความวุ่นวายถึงขั้นกลียุค
“ความไม่ถูกต้อง ความไม่เป็นธรรมในสังคมนี่นะครับจะเป็นเหตุทำให้เกิดเรื่องใหญ่ครับ แล้วไอ้คนที่หน้าเนื้อใจสัตว์ มาหลอกลวงประชาชนอยู่เรื่อง จะทำให้ประเทศชาติอาจถึงกลียุคได้ อะไรก็ตามในสังคม ในประเทศ ถ้าความเป็นธรรมไม่ได้รับทั่วถึงกัน แล้วเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองจะเป็น ตำรวจ หรืออัยการก็ตาม ปฏิบัติต่อประชาชนไม่เท่าเทียมกัน ความอดทนของคนมันมีวงจำกัด”
พล.ต.อ.ประทินกล่าวด้วยว่า ประชาชนเมื่อได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้องจะมีความอดทนและความเจ็บใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถทนอยู่ได้ไม่นาน และสุดท้ายก็จะระเบิดออกมา ถ้าคนส่วนมากได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นนี้ สักวันหนึ่งความคับแค้นก็จะระเบิดออกมาอย่างแน่นอน
พปช.ไร้ความชอบธรรมตั้งแต่ กกต.มีมติยุบพรรค
ต่อกรณีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีมติให้ยุบพรรคพลังประชาชน มัชฌิมาธิปไตย และชาติไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว สถานการณ์เช่นนี้สามารถสะท้อนให้เห็นอะไรได้บ้าง พล.ต.อ.ประทินระบุว่า พรรคเหล่านี้หมดความชอบธรรมในการเป็นพรรคตั้งแต่ กกต.ชี้แล้วว่ามีการทุจริตการเลือกตั้ง
“กรณีพรรคพลังประชาชน กกต.ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า กรรมการบริหารของพรรคคุณทุจริตการเลือกตั้ง คุณหมดความชอบธรรมตั้งแต่ กกต.ชี้แล้วว่า มีการกระทำการทุจริตในการเลือกตั้ง คุณต้องไปแล้ว อีกทั้งเรื่องก็กำลังจะถูกส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตัดสิน คนซึ่งมียางอาย ถ้ามียางอาย หน้าไม่หนา หน้าไม่ทน เขามีมารยาทในทางการเมือง เขาไปแล้วครับ”
สำหรับคำแนะนำต่อการเคลื่อนไหวในก้าวต่อไปของกลุ่มพันธมิตรฯ พล.ต.อ.ประทิน กล่าวว่า ตนขอร้องให้มวลชนทุกคนฟังและให้ความร่วมมือกับแกนนำพันธมิตรฯ ที่เหลืออีก 4 คน ซึ่งแกนนำทุกคนต่างก็เป็นผู้ที่เสียสละเป็นอย่างยิ่ง และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทุกคนก็ได้พิสูจน์ให้ประชาชนเห็นถึงความดีแล้ว ซึ่งในส่วนตัว ตนก็จะร่วมต่อสู้กับประชาชนด้วยจนถึงที่สุด
นอกจากนี้ พล.ต.อ.ประทินยังกล่าวสนับสนุนด้วยว่า ตนสนับสนุนให้ข้าราชการทุกหน่วย รวมถึงตำรวจและทหาร ทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศให้ถอดเครื่องแบบมาร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อขับไล่คนชั่วออกจากสังคม
“ผมเชื่อว่าวันหนึ่งเราต้องมาร่วมกันแน่ เพราะข้าราชการมีดีมากกว่าไม่ดี เรากำลังไล่พวกเฮงซวย พวกเสนียดจัญไร ออกจากสังคม มันมีลางดีว่าเราจะทำสำเร็จครับ”