“พิภพ” เผย “พล.ต.จำลอง” ออกไปเลือกตั้งด้วยมโนธรรมสำนึก หวังทำหน้าที่ตาม รธน. แม้เสี่ยงถูกจับ ยกเป็นแกนนำที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดแม้เป็นทหารและอาวุโสมากที่สุด ทั้งยังทุ่มเทกับการเมืองใหม่ ยึดมั่นแนวทางพันธมิตรฯ ต้านแก้ไข รธน.50 และขับไล่ “นอมินี” ย้ำแกนนำจะไม่ต่อรองเลิกข้อหากบฏ พร้อมพิสูจน์ใครกันแน่คือกบฏตัวจริง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
เมื่อเวลา 21.35 น.วันที่ 5 ต.ค. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยได้กล่าวถึง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ที่ถูกจับกุมตัวในช่วงเช้าวันเดียวกันว่า การเข้ามาร่วมในพันธมิตรฯ ของ พล.ต.จำลองในครั้งแรกที่มานั้น ได้นำกองทัพธรรมมาตั้งรออยู่เพื่อร่วมชุมนุม และมาอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน โดยไม่ได้บอกว่าจะมาเป็นแกนนำ แค่ขอมาร่วมเท่านั้น เพราะมาทีหลัง ซึ่งตอนนั้นตนเห็นว่า หากไม่ให้ พล.ต.จำลองเป็นแกนนำด้วย การชุมนุมของพันธมิตรฯ จะไม่มีวันสำเร็จเป็นอันขาด
นายพิภพ กล่าวต่อว่า การเข้ามาของ พล.ต.จำลองนั้นมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจากการเขียนจดหมายเตือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ใก้กลุ่มเทมาเส็กโดยไม่เสียภาษี พล.ต.จำลองจึงได้เขียนจดหมายเตือนว่าควรจะเสียภาษีให้ถูกต้อง ในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี ม่ควรจะหลีกเลี่ยงภาษี แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้นำพาใดๆ ทำให้ต้องหนีไปอยู่ที่ลอนดอน และไม่ได้กลับมาประเทศไทยจนบัดนี้ ซึ่งจะเห็นว่า พล.ต.จำลองไม่ได้ทำด้วยความโกรธหรือเกลียด แต่ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมทำตาม พล.ต.จำลองจึงต้องมาขับไล่ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและยืดเยื้อมาจนการต่อต้านรัฐบาลนอมินีมาจนปัจจุบัน นี่เป็นจุดยืนของ พล.ต.จำลอง
นายพิภพ กล่าวอีกว่า ในช่วงการก่อตั้งพันธมิตรฯ นั้น ที่ประชุมตกลงกันว่าจะให้ พล.ต.จำลองและนายสนธิเป็นแกนนำหลัก ส่วนคนอื่นๆ ให้หามาจากตัวแทนสหภาพแรงงาน ตัวแทนองค์กรพัฒนาเอกชน และตัวแทนนักวิชาการที่ต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ มายาวนาน ซึ่งการตั้ง 5 แกนนำนั้น ถือเป็นแกนนำการเคลื่อนไหวที่ลงตัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่เคยมีการขัดแย้งกันเลยแม้แต่นิดเดียว และการมาร่วมงานกันอีกเป็นครั้งที่ 2 ทำให้มีความเข้าใจกันมากขึ้นจนพร้อมที่จะตายหรือติดคุกร่วมกัน
นายพิภพ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ประทับใจในตัว พล.ต.จำลอง มากคือการที่ พล.ต.จำลองไม่ได้ใช้ความเป็นทหาร หรือความอาวุโสทางอายุและความมีประสบการณ์ทางการนำมวลชนที่มากกว่ามาควบคุมความคิดหรือการทำงานของแกนนำพันธมิตรฯ ทุกคนแต่อย่างใด เมื่อไม่มีโอกาสจะประชุมกันแต่มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจทำ พล.ต.จำลองจะเป็นคนโทรศัพท์หาแกนนำทุกคนรวมทั้งนายสุริยะใสก่อน
นายพิภพกล่าวถึงบทบาทของพลตรีจำลองในช่วงพฤษภาทมิฬว่า อาจมีคนที่ประทับใจและไม่ประทับใจ สำหรับบางคนไม่ประทับใจ อยากจะบอกว่า ใน 5 แกนนำนั้น คนที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดทั้งที่เป็นผู้อาวุโสที่สุด คือ พล.ต.จำลอง คนที่ยึดมั่นหลักสันติวิธีไม่สุ่มเสี่ยงที่จะนำประชาชนไปกระทบกระทั่ง ไม่ให้เลือดตกยางออกแม้แต่หยดเดียวคือ พล.ต.จำลอง
นายพิภพ เล่าว่า ในช่วงเช้าวันนี้ ก่อนที่ พล.ต.จำลองจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ได้ส่งจดหมายถึงทุกคนใน 4 แกนนำ ได้อธิบายความว่าที่ตัดสินใจเพราะอะไร และเมื่อคืนก่อนได้บอกกับตนว่า อย่าเพิ่งปลุกให้คนออกมาจากบ้าน ถ้าเขาจะออกมา ให้ออกมาตามธรรมชาติ แล้วตอนเช้า พล.ต.จำลองก็ตัดสินใจออกไปใช้สิทธิ ในจดหมายที่ พล.ต.จำลองเขียนได้บอกว่า ท่านเป็นอดีตผู้ว่าฯ กทม.ที่ได้รางวัลแมกไซไซและรางวัลบุคคลแห่งเอเชียของเกาหลีใต้ และมีหน้าที่ที่จะต้องไปทำตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แม้ว่าจะเสี่ยงต่อการถูกจับก็ตาม นี่คือมโนธรรมของ พล.ต.จำลองที่บอกว่า ต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต่อสู้เพื่อรักษารัฐธรรมนูญ และท่านเคยผู้ว่าฯ กทม.ที่เคยมีเกียรติประวัติ ถ้าไม่ไปเลือกตั้งก็จะถูกครหา
นอกจากนี้ มโนธรรมสำนึกของ พล.ต.จำลองยังแสดงออกจากการที่เคยตั้งพรรคการเมืองแล้วเห็นว่า นักการเมืองรอบๆ ตัว มีแต่มหาโจร จึงไม่อยากจะอยู่กับคนที่มีศีลไม่เสมอกัน จึงตัดสินใจออกมา และบอกกับพวกเราว่าอย่าไปคิดตั้งพรรคการเมืองอีกเป็นอันขาด ดังนั้นเรื่องของการเมืองใหม่จึงเป็นเรื่องที่ พล.ต.จำลองให้ความสนใจและทุ่มเทให้มาก
นายพิภพ กล่าวว่า ก่อนที่จะทำการเมืองใหม่ ต้องจัดการการเมืองเก่าเสียก่อน พล.ต.จำลองเห็นว่าการแก้รัฐธรรมนูญให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นผิด เป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ เวลาแถลงข่าว ท่านบอกให้พวกเราท่องนโมไว้เลยว่า 1.พันธมิตรฯ คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียวเพราะกลัวจะแอบแก้ไขมาตรา 309 237 190 ท่านเคยสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณมาก่อน แต่ท่านเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ถ้าไม่ผิดก็จะได้พ้นจากข้อกล่าวหา ถ้าผิดก็ติดคุก 2.พรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทยที่มีการซื้อสิทธิขายเสียง เข้าสู่อำนาจด้วยวิธีการนอกรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงพูดได้ว่าพรรคพลังประชาชนเข้าสู่อำนาจด้วยวิธีการนอกรัฐธรรมนูญ และคนที่เข้าสู่อำนาจโดยที่รัฐธรรมนูญไม่กำหนดไว้ เข้ามาโดยการซื้อสิทธิขายเสียง จน กกต.มีมติแล้วและนำไปสู่การยุบพรรค ต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ และพรรคพลังประชาชนไม่มีความชอบธรรมใดๆ ทั้งสิ้น เราต้องไล่จนกว่าจะออกไปเราจึงจะเลิก
“เพราะฉะนั้น รัฐบาลพรรคพลังประชาชนจึงเป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเข้ามายึดกุมอำนาจรัฐ บริหารประเทศ และใช้งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนว่า ใครที่ข้าสู่อำนาจรัฐโดยไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ย่อมถูกกล่าวหาว่าล้มล้างรัฐธรรมนูญและเป็นกบฏ การที่เรามาต่อสู้เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญและขับไล่รัฐบาลที่เป็นกบฏ กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ เพราะฉะนั้นเราต้องสู้ในประเด็นนี้และจะไม่อ้อนวอนแม้แต่คำเดียวว่าให้คุณยกเลิกข้อกล่าวหา เราจะพิสูจน์ว่าใครคือกบฏตัวจริง ระหว่างพวกเรา 9 คนและพ่อแม่พี่น้อง กับรัฐบาลพรรคพลังประชาชน”
3.การเมืองใหม่ที่เกิดขึ้น รัฐบาลพรรคพลังประชาชนไม่เคยพูดเรื่องการเมืองใหม่ หรือปฏิรูปการเมือง อยู่ดี ๆ มาเสนอ ส.ส.ร.3 เพื่อปฏิรูปการเมือง เราจะเชื่อได้หรือไม่ เพราะโจรและคนทำผิดไม่สามารถทำความถูกต้องได้ จะต้องไปรับโทษก่อน คนที่ตำหนิว่าพวกเราเสนอสิ่งที่ยากเกินไปนั้น ความจริงเราทำสิ่งยากๆ มาก่อน และ พล.ต.จำลองก็ทำมาแล้ว และไม่เคยแพ้
“เราจะใช้ความเสียสละและกล้าหาญทางจริยธรรมของ พล.ต.จำลองที่จะทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะถูกจับในข้อหาใดๆ เราต้องต่อสู้ว่าท่านบริสุทธ์ รัฐบาล พรรคพลังประชาชนปรามาส เหยียดหยามพวกเราว่า เราฝ่อไปทุกที ไม่จริงครับ เพราะเกิดเรื่องเมื่อไหร่เราจะมากันให้มาก 2-3 เท่า อย่างที่พิสูจน์ได้ในวันนี้ ขอให้พี่น้องเชื่อมั่นว่าเราจะไม่มีการต่อรองใดๆ กับรัฐบาล เขาเคยสร้างเรื่องเอา นปก.มาตีพวกเรา เพื่อประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เราก็ไม่เคยเรียกร้องให้ยกเลิก สุดท้ายเขายกเลิกไปเอง เพราะ ผู้บัญชาการเหล่าทัพไม่ร่วมมือด้วย วันนี้เราก็ไม่มีทางต่อรองใดๆ ในข้อหากบฏ ถ้าแน่จริงก็มาจับที่นี่ อย่าไปดักจับแบบจับคุณไชยวัฒน์ หรือไปดักจับ พล.ต.จำลองตอนไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย” นายพิภพกล่าว