พันธมิตรฯ ปักหลักสู้ไม่ถอย ไม่หวั่นแม้ “ไชยวัฒน์” ถูกรวบ ขณะที่แกนนำหารือมาตรการทางกฎหมายสู้ มั่นใจความยุติธรรมจากศาลอุทธรณ์อ่านคำร้องเพิกถอนหมายจับสัปดาห์หน้า ตั้งข้อสังเกตใบสั่งการเมืองตีสองหน้า ต้องการฉีกหน้า “จิ๋ว” ทำลายบรรยากาศเจรจา
วันนี้ (3 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 14.00 น.พิธีกรบนเวทีได้ขึ้นประกาศข่าวด่วนให้กับผู้ชุมนุมที่ปักหลักฟังการปราศรัยอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังเข้าจับกุม นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ หนึ่งในแกนนำ ซึ่งได้ถูกหมายจับในข้อหากบฏ ขณะออกมาจากบ้าน นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ อดีต ส.ว.นครราชสีมา ย่านถนนพระราม 6
ต่อมาในเวลา 15.00 น.พิธีกรได้ขึ้นเวทีประกาศอีกครั้ง ว่า นายตำรวจที่นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้ากระชากตัว นายไชยวัฒน์ ลงจากรถยนต์ส่วนตัวบนทางด่วนและจำกุมตัวไปชื่อว่า พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี ให้ผู้ชุมนุมจำชื่อไว้ให้แม่น แต่อย่างไรก็ดี บรรยากาศการชุมนุมยังเป็นไปตามปกติ
ขณะเดียวกัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หนึ่งใน 5 แกนนำพันธมิตรฯได้สั่งให้โฆษกบนเวที ว่า อย่าปลุกระดมให้ประชาชนที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาลและอยู่ทางบ้าน หรืออยู่ต่างจังหวัดไปกดดัน หรือไปชุมนุมบริเวณที่คุมขัง นายไชยวัฒน์ หรือไปชุมนุมประท้วงหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้สถานการณ์กลับมาตึงเครียด จนรัฐบาลฉวยโอกาสประกาศภาวะฉุกเฉินขึ้นมา และใช้เป็นข้ออ้างในการสลายการชุมนุม
ด้าน นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำกลุ่มอีสานกู้ชาติ กล่าวถึงกรณีที่ นายไชยวัฒน์ ถูกตำรวจควบคุมตัวในข้อหากบฏ ว่า เรื่องดังกล่าวได้รับการยืนยันจาก รปภ.ส่วนตัว นายไชยวัฒน์ ว่า นายไชยวัฒน์ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวจริง เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น.โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขับรถตามประกบรถ นายไชยวัฒน์ บนทางด่วนเพียงคนเดียว ส่วนคนติดตามนายไชยวัฒน์ เจ้าหน้าที่ได้ปล่อยตัวไป โดยขณะเกิดเหตุ นายไชยวัฒน์ ถูกเจ้าหน้าที่กว่า 30 คน ล้อม และลากตัวลงมาจากรถอย่างทุลักทุเลและมีการฉุดกระชากลากถูกันไปมากว่า 10 นาที หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไปไว้ที่ กองบังคับการ ตชด.คลอง 5 จ.ปทุมธานี
ขณะที่ นายเทิดภูมิ ใจดี เป็นหนึ่งใน 9 แกนนำที่ถูกออกจับ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามแกนนำทุกคนที่โดนข้อหากบฏเพื่อที่จะเข้าจับกุมตัวให้ได้ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองตามคำสั่งของนายใหญ่ที่อยู่ลอนดอน นายสมชาย เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่รับคำสั่งจากนายใหญ่ ไม่มีอำนาจและไม่มีสิทธิในการตัดสินใจใดๆ ทั้งสิ้น ต่อจากนี้ไปรัฐบาลจะทำทุกอย่างเพื่อให้นายใหญ่ได้กลับมาประเทศไทย โดยสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายทุกอย่างจนนำไปสู่การปฏิวัติ
สำหรับ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า ขณะนี้แกนนำทุกคนที่ถูกออกหมายจับกำลังประชุมหารือกันถึงมาตรการเคลื่อนไหวต่อไป หลังจากที่ นายไชยวัฒน์ ถูกจับตัวไปแล้ว ซึ่งขณะนี้ต้องรอการประสานงานมาจากนายไชยวัฒน์ ว่าต้องการให้ทีมงานกฎหมายไปประกันตัวหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับนายไชยวัฒน์เองว่า จะให้ดำเนินการต่อสู้คดีอย่างไร เพราะการต่อสู้ในทางกฎหมายทางพันธมิตรฯ ได้เตรียมไว้ทุกขึ้นตอนแล้วขณะนี้รอคำสั่งของศาลอุทธรณ์ว่า จะพิจารณายกเลิกหมายจับหรือไม่
“คาดว่า จะมีคำวินิจฉัยออกมาภายในสัปดาห์หน้า เพราะหมายจับดังกล่าวไม่มีความชอบธรรม และถ้าหากแกนนำทั้งหมดถูกจับก็ได้ประกาศตั้งแกนนำรุ่น 2 ไว้แล้ว ซึ่งทางพันธมิตรฯได้ประกาศตลอดเวลาว่า ให้มาจับแกนนำภายในทำเนียบรัฐบาลได้เลย และได้ประกาศกับพันธมิตรฯทั่วประเทศๆ ไปแล้ว ถ้าแกนนำถูกจับเมื่อไหร่ให้มาปักหลักที่ทำเนียบรัฐบาลชุมนุมขับไล่รัฐบาลต่อไป ไม่ต้องออกไปเคลื่อนไหวกดดันภายนอกเพราะเราถือว่า การยึดทำเนียบรัฐบาลได้เป็นยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญในการขับไล่รัฐบาลนอมินี ซึ่งทำเนียบรัฐบาลถือเป็นยุทธภูมิที่สำคัญที่ทำให้เราชนะ การทำสงครามครั้งสุดท้าย” นายปานเทพ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายปานเทพ กล่าวว่า พันธมิตรฯจะต้องยึดมั่นใน 3 ประเด็นหลัก คือ ขับไล่รัฐบาลนอมินี ห้ามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกพ้อง สุดท้ายจะต้องทำให้การเมืองใหม่เกิดขึ้นให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะต้องทำให้ทั้ง 3 ข้อบรรลุเป้าหมายทั้งหมด
ด้าน นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากคนใกล้ชิด นายไชยวุฒน์ ว่า ภายหลังจากที่ นายไชยวัฒน์ ลงจากเวทีปราศรัยช่วงเที่ยงๆ พอช่วงบ่ายก็เดินทางออกไปปทำธุระนอกทำเนียบจนถูกตำรวบสายสืบจับกุมตัวในระหว่างเดินทางที่ย่าน ถ.พระราม 6 และนำตัวไปควบคุมไว้ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จ.ปทุมธานี
เหตุการณ์ครั้งนี้ในเบื้องต้นแกนนำพันธมิตรฯ ได้มอบหมายให้ทีมทนายความนำโดย นายนิติธร ล้ำเหลือ ไป ติดต่อเพื่อเจรจากับทางเจ้าหน้าที่ เพราะปัยหาเรื่องการออกหมายจับข้อหากบฎครั้งนี้ยังไม่ได้ข้อยุติว่าชอบธรรมหรือไม่ เพราะทางผู้ต้องหาทั้ง 9 ได้ยื่นอุทธรณ์เพื่อให้เพิกถอนหมายจับและศาลอุทธรณ์กำลังไต่สวนว่าหมายจับชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูยหรือไม่ซึ่งคาดว่าสัปดาห์หน้าศาลอุทธรณ์จะอ่านคำสั่ง
นายสุริยะใส กล่าวว่า ฉะนั้น ในระหว่างนี้ตำรวจจึงไม่มีอำนาจจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ เพราะต้องรอศาลอ่านคำสั่งก่อนว่าหมายจับชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ครั้งนี้จึงถือเป็นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งตำรวจจะต้องรับผิดชอบอย่างแน่นอน และถ้าไม่ได้รับไฟเขียวจากฝ่ายการเมืองตำรวจคงไม่กล้าจับกุม
นอกจากนี้ เหตุการณ์ครั้งนี้ยอมรับว่าทำลายบรรยากาศของการสมานฉันท์อย่างรุนแรง เพราะสังคมกำลังคาดหวังผลการเจรจาระหว่างแกนนำพันธมิตรฯ กับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่าการพูดคุยเป็นไปด้วยดีพอสมควร อีกทั้งพันธมิตรก็ไม่เคยยกเรื่องหมายจับมาเป็นเงื่อนไขของการเจรจาครั้งนี้ เพราะพวกเรามั่นใจว่าข้อหากบฎเป็นข้อหาที่เกินเลยและมิชอบ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์จับกุม นายไชยวัฒน์ แบบนี้ต้อองถือว่ากระทบการเจรจาหรืออาจถึงขั้นสะดุดหยุดลงได้ในที่สุด เพราะรัฐบาลไม่ได้จริงใจสมานฉันท์ตีสองหน้าปากบอกว่าจะสมานฉันท์แต่ลับหลังก็ใช้อำนาจรัฐรังแกประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวโดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญซึ่งถือเป็นนโยบายสมานฉันท์จอมปลอม
นายสุริยะใส ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นไปได้ที่การจับกุมครั้งนี้เป็นเกมการเมืองในรัฐบาลนอมินีเพื่อตบหน้า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งหากเจรจาพันธมิตรฯสำเร็จบทบาท พล.อ.ชวลิต จะโดดเด่นขึ้นทันที ส่วนเรื่องนี้ 5 แกนนำรอการเจรจาของทีมทนายก่อน แต่ก็คงมีประชาชนจำนวนมากทยอยไปเยี่ยมนายไชยวัฒน์ ซึ่งตำรวจก็ต้องรับมือเอาเอง
ขณะที่นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯเปิดเผยว่า สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าความไว้วางใจรัฐบาลและพันธมิตรฯ มีน้อยลง ส่วนตัวไม่กลัวถูกจับกุม และยังไม่มีความเห็นในเรื่องการเคลื่อนขบวนไปยังสนามหลวง