“พิภพ” ชี้การเมืองใหม่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทั้งในเมืองและชนบท และเป็นสงครามประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีส่วนร่วม ระบุ ส.ส.ร.3 ของรัฐบาลเป็นเล่ห์กล หวังแก้ไข รธน.50 ฟอกความผิดให้ตัวเอง ย้ำหากไม่สร้างการเมืองใหม่ ไม่เห็นด้วยเด็ดขาด เตือน “พลังแม้ว” อย่าตีกิน เพื่อยืดเวลาให้ตัวเอง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
เมื่อเวลา 21.24 น.วันที่ 30 ก.ย. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาลว่า การกลับมาชุมนุมของพันธมิตรฯ ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นึกไม่ถึง เพราะเขาคิดว่าการที่เขากลับมาเขาจะยึดอำนาจรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จและแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิดให้ตัวเอง เมื่อเราออกมาชุมนุมปักหลักที่สะพานมัฆวานฯ เเดิมที พ.ต.ท.ทักษิณก็คิดว่าจะกำจัดเราได้อย่างรวดเร็ว เพราะตอนเที่เราประท้วงครั้งก่อน เขาคิดว่าเขาปล่อยให้เราชุมนุมเนิ่นนานเกินไป มาถึงยุครัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เขาเลยอยากจัดการอย่างรวดเร็ว แต่ผลปรากฏว่าพี่น้องพันธมิตรฯ เรารวมตัวกันอย่างเข้มแข็งเกินกว่าที่เขาจะจัดการได้
นายพิภพ กล่าวว่า เพื่อนพันธมิตรฯ คนหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่าการมาชุมนุมแต่ละครั้งต้องจ่ายค่าเดินทางไม่ใช่น้อย แต่ถ้าไม่รักกันจริงก็ไม่มา และบอกว่าการทุจริตคอร์รัปชันไม่ได้มีแค่สมัยนี้ แต่มีมาแต่สมัยบุฟเฟต์คาบิเน็ตในรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ และโกงกินกันเรื่อยมา เมื่อมีพันธมิตรฯ เกิดขึ้น มีแกนนำมายืนหยัด เขาจึงมีความหวังว่าการทุจริตนั้น เราสามารถล้างให้หมดไปได้ โดยมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ เพราะฉะนั้นทันทีที่เกิดพันธมิตรฯ เขาจึงมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนเมืองคนอื่นๆ ที่ต้องการต่อต้านการทุจริตเช่นกัน และหวังว่าต่อไปคนในชนบทก็จะมาร่วมมากขึ้น
นายพิภพ กล่าวต่อว่า คนเมืองนั้นจะได้รู้สึกทนไม่ไหวกับการทุจริต ทนไม่ไหวกับทุนข้ามชาติที่เข้ามาเอาเปรียบ ทนไม่ไหวกับระบบการศึกษาที่ต้องจ่ายแพง ทุนไม่ไหวกับการที่นักการเมืองไม่เอาใจใส่ ทำให้ชีวิตเขามีแต่ความทุกข์ การทำมาหากินต้องแข่งขัน จนไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว ขณะที่คนชนบทนั้นจะรู้สึกได้รับผลกระทบจากการทุจริตน้อยกว่า เพราะชีวิตอยู่กับธรรมชาติ แต่ก็ได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจรัฐ ได้รับผลกระทบจากนักการเมืองที่เอาโครงการหลอกๆ มาให้ชาวบ้านเป็นหนี้ จนหมดเนื้อหมดตัว และได้รับผลกระทบจากโครงการที่ทำลายสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ ทำลายธรรมชาติซึ่งเป็นแหล่งอาหารของเขา
ดังนั้น การเมืองใหม่จะแก้ปัญหาให้กับทั้งคนเมือง โดยต้องได้นักการเมืองที่เลวน้อยที่สุด หรือมีความเสียสละ ไม่ทุจริต เข้าไปใช้งบประมาณเพื่อดูแลเมืองให้น่าอยู่ จัดการศึกษา การรักษาพยาบาลให้ดี นอกจากนั้น ก็แก้ปัญหาให้ชนบท ยกระดับคุณภาพชีวิต ดูแลราคาสินค้าเกษตร รักษาสภาพแวดล้อม รักษาธรรมชาติ ที่เป็นแหล่งน้ำและแหล่งอาหาร
นายพิภพ กล่าวต่อว่า เราต้องนิยามการเมืองใหม่ให้ถูก ซึ่งมีนักวิชาการคือ “ยุค ศรีอาริยะ” ผู้เชี่ยวชาญระบบโลกและสนใจภูมิปัญญาตะวันออก ได้นิยามว่า การเมืองใหม่คือการค้นคิดสร้างระบบการเมืองการปกครองที่ก้าวหน้ากว่า และสามารถก้าวผ่านความจำกัดของประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาและรัฐราชการขนาดใหญ่ สู่การสร้างระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม และประชาธิปไตยโดยตรงนั่นเอง ส่วนสงครามครั้งสุดท้ายที่เราประกาศนั้น ยุค ศรีอาริยะ บอกว่า เป็นสงครามประชาธิปไตย ไม่ใช่สงครามแบบสังคมนิยมของชนชั้นกรรมาชีพแบบเก่าๆ แต่เป็นสงครามที่ข้ามชนชั้น เพราะพันธมิตร มีหลายชนชั้นหลายกลุ่มอาชีพมาร่วมชุมนุมกันโดยไม่มีช่องว่างระหว่างกลุ่มอาชีพและชนชั้น
“ทุกคนมาร่วม มันเป็นสงครามประชาธิปไตย ต้องการประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้น ประชาธิปไตยในที่นี้หมายความว่า ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่มีแต่รูปแบบการเลือกตั้ง แล้วอ้างว่าตัวเองเป็นตัวแทนประชาชน แล้วทำอะไรตามใจชอบ ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของพี่น้องประชาชน แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทุจริต กินบ้านกินเมือง เพราะฉะนั้นการเมืองใหม่ จะสกัดการเมืองเก่าไม่ให้มาทุจริตคอรัปชั่นอีกต่อไป นั่นเป็นนิยามคร่าวๆ ของการเมืองใหม่” นายพิภพกล่าว
นายพิภพ กล่าวต่อว่า การต่อสู้เมื่อปี 2549 นั้นง่ายกว่า เพราะเป็นการต่อต้านการทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณโดยตรง ซึ่งมาถึงวันนี้เราก็ได้รับชัยชนะมากขึ้นเรื่อยๆ วันที่ 21 ตุลาคมนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะถูกคำพิพากษาเป็นคดีแรก การต่อสู้ของเราวันนี้ เรามุ่งไปที่การเมืองใหม่ โดยเน้นที่การคัดกรองคนเข้าสู่อำนาจ ซึ่งจะต้องมีวิธีการหาตัวแทนกลุ่มอาชีพเข้าไปทดแทนนักการเมืองแบบเก่าให้มากขึ้นเรื่อยๆ จนหมดไป และเพิ่มอำนาจประชาชนในการตรวจสอบนักการเมือง
นายพิภพ ย้ำว่า การเมืองใหม่จะต้องทำให้ประชาชนมีความสุข จัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ค่าเล่าเรียนไม่แพง สภาพแวดล้อมไม่ถูกทำลาย จนส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ คนชนบทไม่ต้องอพยพเข้าเมือง คนเมืองไม่ต้องแออัด และการเมืองใหม่ จะให้คำตอบที่ดีกับคุณภาพชีวิตทั้งคนเมืองและชนบท
นายพิภพ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลจะตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.ชุดที่ 3) ขึ้นมาเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ว่า นี่เป็นเล่ห์กลที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มาตรา 309, 237 และ 190 เพื่อลบล้างความผิดให้กับพรรคพลังประชาชน นอกจากนี้ ยังไม่มีความแน่นอนว่า ส.ส.ร.3 จะสร้างการเมืองใหม่หรือไม่ ถ้าไม่สร้างเราก็ไม่เห็นด้วย ที่รัฐบาลจะตีกินสร้าง ส.ส.ร.3 ขึ้นมา เพื่อยืดอายุตัวเอง เรามีจุดยืนชัดเจนว่าไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 และพรรคพลังประชาชนต้องออกไปจากรัฐบาล เพราะการสร้างหารเมืองใหม่ต้องเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของรัฐบาล พรรคพลังประชาชนที่เป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวชินวัตร