สังคมไทยถูกทำให้เชื่อว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เป็นกลุ่มที่ไม่ยอมรับประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง สร้างภาพว่าการมาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลสร้างความเสียหาย
ในขณะที่ความจริงกำลังปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆว่า ที่แท้แล้ว นักโทษชาย (นช.) ทักษิณ เป็นผู้สร้างสถานการณ์ ทุกครั้งที่จนมุมด้านคดีความ ก็จะก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง เช่น ส่งจดหมายไปทั่วโลก เพื่อตำหนิกระบวนการยุติธรรมในเมืองไทยบ้าง โฟนอินพูดคุยข้างเดียวเพื่อปลุกปั่นประชาชนบ้าง ดูๆ แล้วก็เป็นอดีตผู้นำชาติ ที่พร้อมจะเสียสละได้แม้ชื่อเสียงของประเทศ ความสามัคคีของพี่น้องในแผ่นดินแม่ มาตรฐานคุณธรรมความชอบธรรมของคนในชาติ “เป็นอดีตผู้นำที่เสียสละประเทศชาติได้จนสิ้น เพียงเพื่อปกป้องตนเอง” อย่างแท้จริง!
มีผู้โพสต์บทกวี 2 บทที่ผมเห็นว่าน่าสนใจ แล้วแต่ผู้อ่านมีเสรีภาพที่จะเชื่อทางไหนครับ บทแรกว่า
@ แม้สิ้นสิทธิ์เสรีสิ้นศรีศักดิ์
ก็ไม่สิ้นคนรักหรอกทักษิณ
แม้เหยียบย่ำซ้ำถมให้จมดิน
ก็ไม่สิ้นชีวีมีลมปราณ
@ อยู่อย่างไรอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้
ร่อนเร่ไปเหมือนเจ้าไม่มีศาล
แต่ความดีมีผลอยู่ทนนาน
ใครล้างผลาญไม่ตายวายชีวัน
@ การโฟนอินเข้ามาหาเพื่อนพ้อง
เพื่อเรียกร้องสู้ไปใฝ่สร้างสรรค์
เพื่อประชาธิปไตยเป็นสำคัญ
เพื่อคงมั่นสิทธิ์เสรีที่เชิดชู
@ ปฏิวัติรัฐประหารอันโสมม
จะต้องล่มจมไปด้วยใจสู้
เผด็จการอย่าหาญมาพาลขู่
บอกให้รู้ว่า “กูไม่กลัวมึง”
ว ณ ปากนัง
กับบทโต้ตอบ
@แม้สิ้นสิทธิ์เสรีสิ้นศรีศักดิ์
ก็ไม่สิ้นคนรักเงินทักษิณ
แม้เหยียบย่ำแผ่นดินเกิดให้จมดิน
เพื่อปกปิดการโกงกินให้ตลอดกาล
@อยู่อย่างไรอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้
ร่อนเร่ไปจะไม่ยอมไปขึ้นศาล
ต้องหาคน พรรคพวก หน้าทนนาน
เป็นรัฐบาลโนมินีโกงร่วมกัน
@การโฟนอินเข้ามาหาเพื่อนพ้อง
ให้หน้ามืดปกป้องเงินของฉัน
อ้างประชาธิปไตยหลอกคนไทยไปวันๆ
หลักฐานฉัน ก็จะได้ ไร้คนดู
@อ้างปฏิวัติทั้งที่เขาทำเพื่อชาติ
พ้นอำนาจมืดปกปิดบิดคดีสู้
สร้างพรรคพวกหลอกว่ารับเงินกู
ส่งจดหมาย ด่าไทยสู้ เพื่อกูเอง
ตามข่าวมีความพยายามประเมินว่า พันธมิตรฯ บุกยึดทำเนียบได้สร้างความเสียหายไปแล้วประมาณ 100 ล้านบาทนั้น ประชาชนคงน่าจะขบคิดกันให้ดีทีเดียว
1.พันธมิตรไม่ได้ใช้ความรุนแรง ถึงขั้นทำลายทรัพย์สินของราชการ (กรณี NBT ยังเป็นคำถามว่า หัวหอกเป็นฝ่ายไหนแน่)
2.พันธมิตรมิได้มีเหตุจะต่อต้านประชาธิปไตย เขามาเพื่อต่อต้านการใช้อำนาจรัฐจากประชาธิปไตยอย่างย่ำยีประชาธิปไตย คือเพื่ออำนาจและประโยชน์ของพวกพ้อง
3.ขณะที่รัฐบาลเริ่มงานชิ้นแรกคือ การโยกย้ายดีเอสไอ หวังกลบเกลื่อนคดีเอสซีแอสเสท ซึ่งเชื่อมโยงถึงวินมาร์คแหล่งซ่อนเงินรอฟอกในต่างประเทศ และการแก้รัฐธรรมนูญทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก พันธมิตรจึงได้บุกเข้าทำเนียบขับไล่รัฐบาลโนมินีที่ปกป้องความผิดของ นช.
4.หน่วยงานภาครัฐ ภายใต้อำนาจ “ระบอบทักษิณ” ดูจะเริ่มช่วยเหลือบิดเบือนคดีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด หลังจากที่ ดีเอสไอ และ กลต. เคยชี้หลักฐานความผิดในการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ 2535 คณะทำงาน อสส. กลับยกเลิกคำฟ้อง โดยละเว้นข้อกล่าวหา และละเว้นการกล่าวอ้างถึงหลักฐานต่างๆหลายประการ และนำเอาประกาศฯ กลต. มาลบล้างความผิด ทั้งที่ไม่ใช่ และเป็นการฝืน พ.ร.บ. ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่า
5.พันธมิตรฯ พิสูจน์ตนเองว่า มาเพื่อพิทักษ์ประโยชน์ของประเทศชาติ ในทางตรง หากรัฐบาลได้ยึดทรัพย์อันได้มาจากการทุจริต ใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบในการเอื้อประโยชน์กิจการส่วนตัว นับ 7 หมื่นล้านบาท แต่รัฐบาลได้พิสูจน์ตนเองว่า ได้พยายามปกป้องบิดเบือน ทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก ซึ่งอาจทำให้รัฐเสียหาย 7 หมื่นล้านบาทซึ่งควรกลับเป็นของแผ่นดินไป
6.ในทางอ้อม พันธมิตรฯ ยังเป็นองค์กรหลักที่เชิดชูคุณธรรมความชอบธรรม ต่อต้านการทุจริตโกงชาติ ในขณะที่คนทางฝ่ายรัฐบาลมักชวนเชื่อว่า “ทุกคนโกงกันเป็นเรื่องธรรมดา” ทั้งที่ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็คือ “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเรื่องธรรมดา” ฝ่ายรัฐบาลสร้างความเสียหายในเชิงคุณธรรมมหาศาล หากรุ่นลูกหลานมีค่านิยมเชื่อไปตามนั้น โกงได้โกงให้มาก จะได้เป็นผู้ชนะ แล้วจะทำอะไรก็ได้ ใช้อำนาจรัฐกดขี่เอา สังคมที่มีแต่คนโกงจะเสียหายเท่าไร รัฐบาลจะต้องลงทุนอีกเท่าไร กับกลไกการให้ความเป็นธรรม
7.รัฐบาลเคยใช้กลยุทธ์การใช้ช่องใส่ร้ายพันธมิตรฯ เพื่อสร้างความเกลียดชังและความเบื่อหน่ายในสังคม โดยประกาศสภาวะฉุกเฉิน ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวตกไปมากมาย แล้วโทษพันธมิตรฯ ทั้งๆที่พันธมิตรฯไม่ได้ทำอะไรให้ฉุกเฉินแต่อย่างใด มีแต่เก้าอี้ผู้ไม่ชอบธรรมเท่านั้นที่อาจอยู่ในภาวะฉุกเฉิน
8.รัฐบาลใช้สื่อของรัฐแบบด้านเดียว จัดรายการโฟนอินด้วยความจริงที่ไม่ครบด้าน กล่าวหาว่าเกิด “กระบวนการยุติความเป็นธรรม” ทั้งๆ ที่ไม่ได้โต้แย้งหลักฐานความผิดใดๆ และไม่เปิดโอกาสให้ “คนรู้ทัน” ได้ไถ่ถามให้ต้องตอบความจริง มีแต่ “คนรู้กัน” ทุกปลุกเร้าอารมณ์กันด้วย “ความเท็จ” เท่านั้น เป็นการสร้างความแตกแยก เพียงเพื่อให้ผู้คนลืมคดีของตนไป (โปรดหาอ่านบทความ “ศึกเปิดโปงความจริง ‘ทักษิณ’ วันนี้ : ความชอบธรรมไทยอาจพ่ายยับ ด้วยแม่ทัพคนกันเอง)
9.รัฐบาลขาดความชอบธรรม โดยมีพฤติกรรมเป็นรัฐบาลโนมินี ปกป้องการทุกจริต จัดการกับประชาชนด้วยความรุนแรง ใช้แก๊สน้ำตาทำร้ายประชาชนขาขาด แต่ยังคงยึดอำนาจไว้ทำเรื่องผิดเป็นเรื่องถูก ทำผิดรัฐธรรมนูญก็จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ การยืดเยื้อของพันธมิตรฯในทำเนียบจึงไม่อาจบอกว่าเป็นปัญหาจากพันธมิตรไม่ยอมรับการเลือกตั้ง เพราะเขายอมรับอยู่แล้วตั้งแต่ต้น จนมีอาการใช้อำนาจบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมเพื่อปกป้องการทำผิดกฎหมาย แต่ก็พอมองได้เช่นกันว่า ผู้ที่ยื้อเกินงานก็คือรัฐบาลโนมินี
หากเป็นรัฐบาลของคนไทยโดยชอบธรรม ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ประเทศชาติ ก็ชอบธรรมที่จะอยู่ได้ แต่หากเป็นรัฐบาลของนักโทษชาย ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวบนความเสียหายของประเทศ ก็น่าจะพิจารณาตัวเอง
และการที่พันธมิตร อยู่เพื่อช่วยให้การยึดคืนสมบัติชาติให้ยังตกเป็นของแผ่นดิน 7 หมื่นล้าน ก็มากมายกว่าความเสียหายที่ทำเนียบหลายเท่านัก และความเสียหายนั้น ก็คุ้มค่ากับการสร้างแรงตรวจสอบกดดันรัฐบาลที่แสดงตัวเป็นรัฐบาลโนมินี มีพฤติกรรมอยู่เพื่อเอาสมบัติโกงชาติกลับไปเป็นสมบัติของ นช.
แล้วคนไทยก็ต้องอดทนกันต่อไป
ในขณะที่ความจริงกำลังปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆว่า ที่แท้แล้ว นักโทษชาย (นช.) ทักษิณ เป็นผู้สร้างสถานการณ์ ทุกครั้งที่จนมุมด้านคดีความ ก็จะก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง เช่น ส่งจดหมายไปทั่วโลก เพื่อตำหนิกระบวนการยุติธรรมในเมืองไทยบ้าง โฟนอินพูดคุยข้างเดียวเพื่อปลุกปั่นประชาชนบ้าง ดูๆ แล้วก็เป็นอดีตผู้นำชาติ ที่พร้อมจะเสียสละได้แม้ชื่อเสียงของประเทศ ความสามัคคีของพี่น้องในแผ่นดินแม่ มาตรฐานคุณธรรมความชอบธรรมของคนในชาติ “เป็นอดีตผู้นำที่เสียสละประเทศชาติได้จนสิ้น เพียงเพื่อปกป้องตนเอง” อย่างแท้จริง!
มีผู้โพสต์บทกวี 2 บทที่ผมเห็นว่าน่าสนใจ แล้วแต่ผู้อ่านมีเสรีภาพที่จะเชื่อทางไหนครับ บทแรกว่า
@ แม้สิ้นสิทธิ์เสรีสิ้นศรีศักดิ์
ก็ไม่สิ้นคนรักหรอกทักษิณ
แม้เหยียบย่ำซ้ำถมให้จมดิน
ก็ไม่สิ้นชีวีมีลมปราณ
@ อยู่อย่างไรอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้
ร่อนเร่ไปเหมือนเจ้าไม่มีศาล
แต่ความดีมีผลอยู่ทนนาน
ใครล้างผลาญไม่ตายวายชีวัน
@ การโฟนอินเข้ามาหาเพื่อนพ้อง
เพื่อเรียกร้องสู้ไปใฝ่สร้างสรรค์
เพื่อประชาธิปไตยเป็นสำคัญ
เพื่อคงมั่นสิทธิ์เสรีที่เชิดชู
@ ปฏิวัติรัฐประหารอันโสมม
จะต้องล่มจมไปด้วยใจสู้
เผด็จการอย่าหาญมาพาลขู่
บอกให้รู้ว่า “กูไม่กลัวมึง”
ว ณ ปากนัง
กับบทโต้ตอบ
@แม้สิ้นสิทธิ์เสรีสิ้นศรีศักดิ์
ก็ไม่สิ้นคนรักเงินทักษิณ
แม้เหยียบย่ำแผ่นดินเกิดให้จมดิน
เพื่อปกปิดการโกงกินให้ตลอดกาล
@อยู่อย่างไรอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้
ร่อนเร่ไปจะไม่ยอมไปขึ้นศาล
ต้องหาคน พรรคพวก หน้าทนนาน
เป็นรัฐบาลโนมินีโกงร่วมกัน
@การโฟนอินเข้ามาหาเพื่อนพ้อง
ให้หน้ามืดปกป้องเงินของฉัน
อ้างประชาธิปไตยหลอกคนไทยไปวันๆ
หลักฐานฉัน ก็จะได้ ไร้คนดู
@อ้างปฏิวัติทั้งที่เขาทำเพื่อชาติ
พ้นอำนาจมืดปกปิดบิดคดีสู้
สร้างพรรคพวกหลอกว่ารับเงินกู
ส่งจดหมาย ด่าไทยสู้ เพื่อกูเอง
ตามข่าวมีความพยายามประเมินว่า พันธมิตรฯ บุกยึดทำเนียบได้สร้างความเสียหายไปแล้วประมาณ 100 ล้านบาทนั้น ประชาชนคงน่าจะขบคิดกันให้ดีทีเดียว
1.พันธมิตรไม่ได้ใช้ความรุนแรง ถึงขั้นทำลายทรัพย์สินของราชการ (กรณี NBT ยังเป็นคำถามว่า หัวหอกเป็นฝ่ายไหนแน่)
2.พันธมิตรมิได้มีเหตุจะต่อต้านประชาธิปไตย เขามาเพื่อต่อต้านการใช้อำนาจรัฐจากประชาธิปไตยอย่างย่ำยีประชาธิปไตย คือเพื่ออำนาจและประโยชน์ของพวกพ้อง
3.ขณะที่รัฐบาลเริ่มงานชิ้นแรกคือ การโยกย้ายดีเอสไอ หวังกลบเกลื่อนคดีเอสซีแอสเสท ซึ่งเชื่อมโยงถึงวินมาร์คแหล่งซ่อนเงินรอฟอกในต่างประเทศ และการแก้รัฐธรรมนูญทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก พันธมิตรจึงได้บุกเข้าทำเนียบขับไล่รัฐบาลโนมินีที่ปกป้องความผิดของ นช.
4.หน่วยงานภาครัฐ ภายใต้อำนาจ “ระบอบทักษิณ” ดูจะเริ่มช่วยเหลือบิดเบือนคดีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด หลังจากที่ ดีเอสไอ และ กลต. เคยชี้หลักฐานความผิดในการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ 2535 คณะทำงาน อสส. กลับยกเลิกคำฟ้อง โดยละเว้นข้อกล่าวหา และละเว้นการกล่าวอ้างถึงหลักฐานต่างๆหลายประการ และนำเอาประกาศฯ กลต. มาลบล้างความผิด ทั้งที่ไม่ใช่ และเป็นการฝืน พ.ร.บ. ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่า
5.พันธมิตรฯ พิสูจน์ตนเองว่า มาเพื่อพิทักษ์ประโยชน์ของประเทศชาติ ในทางตรง หากรัฐบาลได้ยึดทรัพย์อันได้มาจากการทุจริต ใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบในการเอื้อประโยชน์กิจการส่วนตัว นับ 7 หมื่นล้านบาท แต่รัฐบาลได้พิสูจน์ตนเองว่า ได้พยายามปกป้องบิดเบือน ทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก ซึ่งอาจทำให้รัฐเสียหาย 7 หมื่นล้านบาทซึ่งควรกลับเป็นของแผ่นดินไป
6.ในทางอ้อม พันธมิตรฯ ยังเป็นองค์กรหลักที่เชิดชูคุณธรรมความชอบธรรม ต่อต้านการทุจริตโกงชาติ ในขณะที่คนทางฝ่ายรัฐบาลมักชวนเชื่อว่า “ทุกคนโกงกันเป็นเรื่องธรรมดา” ทั้งที่ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็คือ “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเรื่องธรรมดา” ฝ่ายรัฐบาลสร้างความเสียหายในเชิงคุณธรรมมหาศาล หากรุ่นลูกหลานมีค่านิยมเชื่อไปตามนั้น โกงได้โกงให้มาก จะได้เป็นผู้ชนะ แล้วจะทำอะไรก็ได้ ใช้อำนาจรัฐกดขี่เอา สังคมที่มีแต่คนโกงจะเสียหายเท่าไร รัฐบาลจะต้องลงทุนอีกเท่าไร กับกลไกการให้ความเป็นธรรม
7.รัฐบาลเคยใช้กลยุทธ์การใช้ช่องใส่ร้ายพันธมิตรฯ เพื่อสร้างความเกลียดชังและความเบื่อหน่ายในสังคม โดยประกาศสภาวะฉุกเฉิน ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวตกไปมากมาย แล้วโทษพันธมิตรฯ ทั้งๆที่พันธมิตรฯไม่ได้ทำอะไรให้ฉุกเฉินแต่อย่างใด มีแต่เก้าอี้ผู้ไม่ชอบธรรมเท่านั้นที่อาจอยู่ในภาวะฉุกเฉิน
8.รัฐบาลใช้สื่อของรัฐแบบด้านเดียว จัดรายการโฟนอินด้วยความจริงที่ไม่ครบด้าน กล่าวหาว่าเกิด “กระบวนการยุติความเป็นธรรม” ทั้งๆ ที่ไม่ได้โต้แย้งหลักฐานความผิดใดๆ และไม่เปิดโอกาสให้ “คนรู้ทัน” ได้ไถ่ถามให้ต้องตอบความจริง มีแต่ “คนรู้กัน” ทุกปลุกเร้าอารมณ์กันด้วย “ความเท็จ” เท่านั้น เป็นการสร้างความแตกแยก เพียงเพื่อให้ผู้คนลืมคดีของตนไป (โปรดหาอ่านบทความ “ศึกเปิดโปงความจริง ‘ทักษิณ’ วันนี้ : ความชอบธรรมไทยอาจพ่ายยับ ด้วยแม่ทัพคนกันเอง)
9.รัฐบาลขาดความชอบธรรม โดยมีพฤติกรรมเป็นรัฐบาลโนมินี ปกป้องการทุกจริต จัดการกับประชาชนด้วยความรุนแรง ใช้แก๊สน้ำตาทำร้ายประชาชนขาขาด แต่ยังคงยึดอำนาจไว้ทำเรื่องผิดเป็นเรื่องถูก ทำผิดรัฐธรรมนูญก็จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ การยืดเยื้อของพันธมิตรฯในทำเนียบจึงไม่อาจบอกว่าเป็นปัญหาจากพันธมิตรไม่ยอมรับการเลือกตั้ง เพราะเขายอมรับอยู่แล้วตั้งแต่ต้น จนมีอาการใช้อำนาจบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมเพื่อปกป้องการทำผิดกฎหมาย แต่ก็พอมองได้เช่นกันว่า ผู้ที่ยื้อเกินงานก็คือรัฐบาลโนมินี
หากเป็นรัฐบาลของคนไทยโดยชอบธรรม ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ประเทศชาติ ก็ชอบธรรมที่จะอยู่ได้ แต่หากเป็นรัฐบาลของนักโทษชาย ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวบนความเสียหายของประเทศ ก็น่าจะพิจารณาตัวเอง
และการที่พันธมิตร อยู่เพื่อช่วยให้การยึดคืนสมบัติชาติให้ยังตกเป็นของแผ่นดิน 7 หมื่นล้าน ก็มากมายกว่าความเสียหายที่ทำเนียบหลายเท่านัก และความเสียหายนั้น ก็คุ้มค่ากับการสร้างแรงตรวจสอบกดดันรัฐบาลที่แสดงตัวเป็นรัฐบาลโนมินี มีพฤติกรรมอยู่เพื่อเอาสมบัติโกงชาติกลับไปเป็นสมบัติของ นช.
แล้วคนไทยก็ต้องอดทนกันต่อไป