xs
xsm
sm
md
lg

“พิภพ” เสนอแผนสร้างคนรับการเมืองใหม่ จัดสวัสดิการเอื้อเด็ก 0-3 ขวบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พิภพ ธงไชย
“พิภพ” เสนอแนวคิดพัฒนาเด็ก-เยาวชนในการเมืองใหม่ รัฐต้องจัดสวัสดิการให้ครอบครัว-สังคมเอื้อต่อพัฒนาการเด็กช่วงแรกเกิด-3 ขวบ ย้ำเด็กต้องรับความรักเท่าเทียมกัน ปลูกฝังค่านิยมรักความเป็นธรรม ไม่สร้างปมเด่นหรือปมด้อย เติบโตขึ้นมาเป็นคนโกงแบบนักการเมืองเก่า

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย 

เมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 25 ก.ย. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยได้กล่าวถึงกำหนดการไปเยี่ยมนักรบศรีวิชัยที่ถูกคุมขังที่คลองเปรมว่าจะไปทุกวันอังคารและวันศุกร์เวลา 10.00 น. โดยญาติของนักรบศรีวิชัยจะไปด้วยโดยแขวนป้ายคำว่า “ญาติ” เพื่อให้สะดวกในการติดต่อเพื่อพูดคุยให้กำลังใจหรือให้การช่วยเหลือ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือกำลังใจและความห่วงใย รวมทั้งอยากรู้ว่าลูกเมียที่อยู่ข้างนอกได้รับการดูแลอย่างไร

นายพิภพได้กล่าวถึงบริการข่าวเอสเอ็มเอสของเอเอสทีวีเดือนละ 200 บาทว่า มีเพื่อนฝูงบางคนบอกว่าแพงไปเมื่อเทียบกับข่าวเอสเอ็มเอสของค่ายอื่นที่ตกเดือนละประมาณ 30 บาท ตนจึงอยากชี้แจงว่าค่าบริการ 200 บาทนั้นให้ถือว่าเป็นค่าข่าวเอสเอ็มเอส 30 บาท ส่วนอีก 170 บาทนั้นถือว่าเป็นค่าดูทีวีช่องข่าว 24 ชั่วโมงที่มีเนื้อหาถึงลูกถึงคน ได้ดูข้อมูลที่ใครต่อใครเอามาตีแผ่ ซึ่งที่อื่นไม่มี ได้ดูคอนเสิร์ตที่มีสาระ เมื่อเทียบกับทีวีสาธารณะที่เอาเงินภาษีเราไปใช้ หรือเทียบกับเคเบิลทีวีที่เสียค่าสมาชิกเดือนละเป็นพันบาทแล้ว จึงถือว่าถูกมาก

“ที่สำคัญคือการได้กู้ประเทศไทยกลับคืนมา แต่ถ้าเราดูฟรีทีวี โดยเฉพาะเอ็นบีที รายการสามเกลอนั้น เราจะรู้สึกว่าดูแล้วประเทศไทยไม่ใช่ของเราเลย ถ้าเราคิดอย่างนี้เอเอสทีวีก็จะอยู่ได้ ซึ่งถ้าเอเอสทีวีอยู่ไม่ได้ การชุมนุมของเราจะไม่มีความหมายเลย แม้ว่าจะมีคนเป็นหมื่นเป็นแสนมาชุมนุมกันที่ทำเนียบ แต่คนอีก 10 ล้านคน 15 ล้านคน ที่ไม่ได้มาชุมนุม ก็ไม่สามารถที่จะดูการถ่ายทอดสดได้ การชุมนุมของเราก็จะขาดพลัง เพราะคนที่ดูการถ่ายทอดของเอเอสทีวีเป็นพลังทางสังคมที่สำคัญที่สุด การจ่ายเดือนละ 200 บาท เพื่อให้เอเอสทีวีอยู่ได้จึงไม่ได้แพงเลย” นายพิภพกล่าว

หลังจากนั้น นายพิภพ ได้กล่าวถึงเรื่องเยาวชนและการศึกษาที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการเมืองใหม่ว่า ตนพูดเรื่องนี้ เพราะตกใจกับข้อมูลของโครงการ Child Watch ที่ทำมาตั้งแต่ปี 2549 ใช้ทีมสำรวจและวิจัย 8 ทีม ลงสำรวจใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ และพบว่าปัญหาเรื่องเด็กและการศึกษาไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวของใครแต่เป็นปัญหาของสังคมโดยรวม ซึ่งผู้วิจัยพบว่า ในระดับโรงเรียนนั้น ข้อมูลทุกจังหวัดสะท้อนตรงกันว่าเด็กเกิดอาการไม่อยากไปโดรงเรียน หมดความมุ่งหวัง ขาดแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ เกิดความห่างเหินระหว่างครูกับเด็ก เพราะครูก็มุ่งแต่ทำผลงานเพื่อเลื่อนขั้น ส่วนเด็กก็มีสื่ออื่นเข้ามาดึงดูดความสนใจ เช่น เกม โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต นอกจากนี้หลักสูตรการศึกษาก็ล้าหลัง ทำให้เด็กเบื่อ นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กใช้เวลาในการพูดโทรศัพท์และดูโทรทัศน์มาก อ่านหนังสือน้อย ส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตก็ใช้เพื่อเล่นเกมมากกว่าที่จะใช้เพื่อหาความรู้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เราจะต้องหาทางออก

นายพิภพ กล่าวต่อว่า การศึกษาถือเป็นส่วนสำคัญของการปฏิรูปการเมือง หรือการสร้างการเมืองใหม่ เพราะปัญหาทางจริยธรรมของนักการเมืองหรือศาลที่เรามาพูดกันตอนนี้นั้น ความจริงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก เพราะเด็กไม่ได้เรียนรู้จริยธรรมาตั้งแต่อยู่ในครอบครัว จากการที่เรามีความเชื่อแบบผิดๆ ถ้าลูกคนไหนเกิดมาในช่วงที่เกิดเรื่องราวไม่ดีในครอบครัว ก็คิดว่าเด็กนำความโชคร้ายเข้ามาก็จะไม่รักเด็กคนนั้น แต่เมื่อเด็กคนไหนเกิดมาในช่วงที่พ่อแม่ประสบความสำเร็จก็จะได้รับความรัก เด็กที่เติบโตมาไม่เท่ากัน หน้าตาดีไม่เท่ากัน ก็จะทำให้ได้รับความรักจากพ่อแม่ไม่เท่ากันด้วย ซึ่งเด็กที่เติบโตแล้วได้รับความรักไม่เท่าคนอื่นก็จะรู้สึกว่าในโลกนี้ไม่มีความเป็นธรรม ดังนั้นถ้าเราจะสร้างความเป็นธรรมในสังคม เราต้องให้ความเป็นธรรมกับลูกเราทุกคน แม้แต่หลานด้วย

นายพิภพ กล่าวต่อว่า ตนเลี้ยงลูกจะระวังมากเรื่องการให้ความยุติธรรม ถ้าซื้อของมาให้ลูกคนหนึ่งก็ต้องซื้อให้อีกคนหนึ่งด้วย เด็กอาจจะไม่รู้ว่าความยุติธรรมแบบผู้ใหญ่เป็นอย่างไร แต่เด็กมีความรู้สึกที่สัมผัสได้ว่าเขาได้รับความเป็นธรรมจากพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย หรือคนรอบข้างหรือไม่ วิธีการเลี้ยงดูลูกที่ถูกต้องจะลดความอิจฉาริษยาขอมนุษย์ลงได้ และพ่อแม่ต้องไม่เปรียบเทียบลูกของตัวกับคนอื่นเป็นอันขาด ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง และพ่อแม่ต้องไม่ขัดแย้งกันต่อหน้าลูก ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ไปพูดกับลูกลับหลังถึงความขัดแย้งนั้น แล้วบอกว่าไม่เห็นด้วย ซึ่งจะทำให้เด็กกลายเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกและประจบประแจง

นายพิภพ ย้ำว่า เรื่องเหล่านี้พ่อแม่แต้องระมัดระวังสูง และให้เด็กได้เรียนรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ทั้งนี้เพราะหากเลี้ยงดูลูกแบบผิดๆ จะกลายเป็นปมเด่นหรือปมด้อยในตัวเด็กที่ยากจะแก้ไขในภายหลัง การเลี้ยงดูในช่วงวัยเด็กจึงเป็นเรื่องสำคัญมากในการเมืองใหม่ ที่ต้องสร้างสังคมใหม่และต้องจัดการสังคมให้พ่อหรือแม่อยู่กับลูกให้นานที่สุดในช่วงแรกเกิดถึง 3 ขวบ ซึ่งถ้าหากเราลดคอร์รัปชั่นได้ เราจะมีเงินเหลือเพื่อเอาไปจัดสวัสดิการให้แม่และเด็กได้รับการเอาใจใส่อย่างดีในช่วงแรกเกิดถึง 3 ขวบ

“การเมืองใหม่ไม่ว่าจะวิเศษแค่ไหน ถ้าไม่สร้างระบบการเลี้ยงดูเด็กให้ดีกว่าที่เป็นปัจจุบัน ผมก็จะไม่เอา ถ้าไม่ทำให้เด็กและแม่ของเด็กดีขึ้น เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์มีความกลัวเป็นเจ้าเรือน ต้องดูเรื่องความกลัวให้ดีว่า จะมีความกลัวขนาดไหนจึงจะใส่ในเด็กได้ ขณะเดียวกัน เด็กก็ไม่เหมือนผู้ใหญ่ ถ้ามีลูกต้องเปลี่ยนบ้าน เปลี่ยนที่วางแก้ว ชาม มีด ไม่ขีดไฟ ปลั๊กไฟ ต้องเปลี่ยนต้องจัดบ้านให้เหมาะกับเด็กที่จะเกิดมา”

นายพิภพ กล่าวต่อว่า กระบวนการเรียนรู้ของเด็กที่จะกระตุ้นใยประสาทในเซลสมองให้เจริญเติบโตมีแค่ 3 ปีเท่านั้น เลยจากนั้นพัฒนาอีกไม่ได้ เพราะฉะนั้นเด็กอายุ 0-3 ขวบ ต้องได้รับการจัดการสิ่งแวดล้อมว่าจะให้เหมาะสมว่าจะให้เด็กพัฒนาการเรียนรู้อย่างไร ที่ให้ใยสมองเหมือนคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีความจุไม่สิ้นสุด และต้องตระหนักว่าเด็กเรียนรู้ตลอดเวลา แม้จะยังพูดไม่ได้ ถ้าไม่ตระหนักเรื่องนี้ เด็กจะเรียนรู้อย่างผิดๆ และจำเรื่องนั้นอย่างผิดๆ จากผู้ใหญ่

“มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว” คือถ้าพ่อแม่ไม่สนใจเด็กอายุ 0-3 ขวบ โดยเลี้ยงตามมีตามเกิด ตามที่เคยเลี้ยงกันมา หรือตามนิสัยตัวเองก็แล้วแต่ สิ่งที่เราเลี้ยงผิดๆ นั้น เมื่อเราส่งเด็กเข้าโรงเรียนอนุบาลมันก็สายที่จะแก้ เด็กก็จะเหมือนถูกบังคับให้เรียน เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ต้องเริ่มตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์ ซึ่งเกี่ยวกับการเมืองใหม่ เพราะนักการเมืองที่โกงนั้น ถ้าเราศึกษาให้ดีก็จะรู้ว่า ที่เขาโกงเพราะเขามีปมบางอย่างในตัวที่เกิดจากการเลี้ยงดูที่ผิดๆ”

นอกจากนี้ นายพิภพ กล่าวว่า เราจะต้องสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นกับเด็ก ต้องซื้อหนังสือให้เด็กอ่านตั้งแต่แรกเกิด แม้จะอ่านหนังสือไมได้ แต่เด็กได้เห็นรูปภาพก็จะเกิดจินตนาการ และช่วยกระตุ้นเซลประสาท ทันทีที่ลูกออกมา ต้องซื้อหนังสือให้ดูเลย หรือเปิดเพลงให้ฟังเลย เป็นวัฒนธรรมที่เราต้องสร้างในการเมืองใหม่ นอกจากนี้ สถานที่ควรจะพาเด็กไปมากที่สุดคือ พิพิธภัณฑ์ เพราะเป็นที่ที่สะสมของที่ดีที่สุดที่มนุษย์สร้าง เหมือนที่ฝรั่งเศส จะมีการพาเด็กอนุบาลไปดูพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เมื่อขึ้นชั้นประถมหรือมัธยมก็พาไปดูที่เดิม ซึ่งจะทำให้เด็กมีพัฒนาการในการชมงานศิลปะ ถ้าเราทำอย่างนี้ เด็กจะฉลาด มีความเอื้ออารีย์ ไม่โลภ และเราจะไม่มีนักการเมืองโลภแบบการเมืองเก่า
กำลังโหลดความคิดเห็น