“พิภพ” เสนอการเมืองใหม่ต้องปฏิรูปการศึกษา รัฐต้องจัดให้มีโรงเรียนทางเลือก ให้เด็กได้เลือกเรียนตามความสามารถพิเศษและความพร้อมของแต่ละคน ย้ำการเมืองใหม่เป็นเรื่องของคนทุกชั้น แม้แต่คนขับแท็กซี่ยังมีข้อเสนอเข้ามา
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
เมื่อเวลา 22.30 น.วันที่ 24 ก.ย. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยได้ย้ำแนวทางที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล เสนอว่าการเมืองใหม่จะต้องมีระบบตรวจสอบนักการเมืองที่เข้มข้น โดยเฉพาะการแจงบัญชีทรัพย์สินและการตรวจสอบการเสียภาษี ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ใช้ได้ผลมาแล้วในสหรัฐอเมริกายุคมาเฟียค้าเหล้าเถื่อนอัลคาโปนที่มีอิทธิพลถึงขั้นซื้อลูกขุนและฆ่าพยานไม่ให้ไปให้การในชั้นศาลได้ จนทำให้ตนเองหลุดคดีมาโดนตลอด แต่สุดท้ายก็ถูกจำคุก 10 ปี ด้วยคดีหนีภาษี จนเสียชีวิตในคุกด้วยโรคซิฟิลิส เพราะฉะนั้นถ้าเราทำระบบตรวจสอบภาษีให้เข้มแข็ง ก็สามารถที่จะจับนักการเมืองโกงได้อย่างอยู่หมัดทุกราย
นายพิภพ กล่าวต่อว่า สมัยที่ตนเคยทำงานองค์กรกลางสังเกตการเลือกตั้ง ยุครัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา เคยเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช่วยตรวจสอบเส้นทางการใช้จ่ายเงินของนักการเมือง แต่ ธปท.ไม่ให้ความร่วมมือ อย่างไรก็ตาม นักการเมืองรู้ว่ามีข้อเสนอนี้ก็กลัวไม่โอนเงินผ่านธนาคาร แต่จะเอาไปเก็บไว้ที่บ้านโดยฝังไว้หรือสร้างกำแพงแล้วใส่เงินไว้ตามช่อง ซึ่งหลังจาก คมช.ยึดอำนาจมีการไปตรวจสอบบ้านนักการเมืองหญิงคนดังและพบเงินซุกอยู่ในกำแพงด้วย ดังนั้นจึงมีคนเสนอว่า ถ้ามีการเมืองใหม่ให้พิมพ์ธนบัตรใหม่เลย แล้วให้เอาธนบัตรเก่ามาแลก ใครเอามาแลกเป็นร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน ต้องชี้แจงว่าได้มาจากไหนและเสียภาษีเมื่อไหร่ ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นวิธีการสุดขั้ว
นายพิภพ กล่าวต่อว่า กรณีที่นายสุจิตต์ วงษ์เทศ ให้สัมภาษณ์ว่าตนมีความคิดสุดขั้วในเรื่องการเมืองใหม่นั้น ก็อยากจะถามกลับว่า ในเมื่อการเมืองปัจจุบันมันวิกฤติสุดขั้วอย่างนี้ เราไม่เสนอสุดขั้วได้อย่างไร ขณะเดียวกันก็มีมิตรสหายที่โทร.มาบอกว่าพันธมิตรฯ มีจุดแข็งเรื่องการตรวจสอบนั้น ในการเมืองใหม่จะมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น และมีการตรวจสอบในระดับภาคประชาชน เนื่องจากการตรวจสอบภาครัฐช้ามาก เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาตั้งมา 3 ปีแล้วไม่ทำอะไรเลย ในเรื่องการตรวจสอบความผิดถูก
นายพิภพ ย้ำว่า พันธมิตรฯ มีจุดแข็งเรื่องนี้ เราทำมาได้ 40 กว่าเรื่อง แม้เราไม่มีอำนาจตามกฎหมายโดยตรง แต่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และเรามีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เราทนอยู่กับการคอร์รัปชั่นไม่ได้ แม้แต่คนยากคนจนก็ยังไม่ยอมรับการคอร์รัปชั่น ถ้านักการเมืองทุจริตและหลอกเขาให้มาเป็นหนี้สิน เขาก็ทนไม่ไหว จนต้องชุมนุมเดินขบวนมาในช่วงรัฐบาลก่อนๆ
“ส่วนพวกเราคนพอมีฐานะก็ทนไม่ได้ แม้จะอยู่อย่างไม่เดือดร้อน แต่บรรยากาศสังคมการเมืองที่เต็มไปด้วยนักการเมืองเลวๆ เปลี่ยนรัฐบาลก็อัปรีย์ไปจัญไรมา มันก็ไม่ไหว ผมทนมา 40 กว่าปีมานี้ มันไม่ไหวจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเปลี่ยนการเมืองใหม่ไม่ได้ ย้ายประเทศดีไหม ก็คงไม่ได้ เราจะต้องสู้ที่นี่ยืนอยู่ตรงนี้ เอาแผ่นดินของเราคืนมาเราไม่หนีแม้แต่ก้าวเดียว”
นายพิภพ กล่าวต่อว่า การเมืองใหม่เป็นเรื่องที่มีเสน่ห์จริงๆ เพราะแม้แต่คนขับแท็กซี่ก็เขียนข้อเสนอเรื่องการเมืองใหม่มาให้ เพื่อที่จะให้คนขับแท็กซี่มีชีวิตใหม่ที่ดีกว่า และไม่ตกเป็นเหยื่อของนายทุน เพราะฉะนั้นที่ใครกล่าวหาว่าการเมืองใหม่ไม่เกี่ยวกับคนจนไม่ใช่แน่นอน โดยในวันเสาร์ที่ 27 ก.ย.นี้ จะนำข้อเสนอของคนขับแท็กซี่เข้าที่ประชุมด้วย
นายพิภพ กล่าวอีกว่า เรื่องหลักที่ตนจะพูดในวันนี้ คือการเมืองใหม่กับการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งตนอยู่ในแวดวงนี้มา 40 กว่าปี และเห็นว่าระบบโรงเรียนของกระทรวงศึกษาธิการนั้นล้มเหลว เพราะเป็นระบบที่ทำให้พ่อแม่หวาดกลัวที่จะเอาลูกไปเข้าโรงเรียน จึงต้องหาโรงเรียนดีๆ ให้ลูก ได้เข้าตั้งแต่ก่อนอนุบาล ซึ่งทำให้จำเป็นต้องหาเงินไว้ให้ลูกเพื่อจะได้เข้าโรงเรียนดีๆ ทำให้ระบบการศึกษาการเป็นเรื่องของการค้า ซึ่งตามระบบการเมืองเก่า แล้วแก้ไม่ได้ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐมนตรีไปกี่คน
นายพิภพ กล่าวว่า วันนี้มีข่าวจากรรมการโครงการชายด์วอชต์ หรือ โครงการเฝ้าติดตามปัญหาเด็ก พบว่าเด็กส่วนใหญ่เบื่อโรงเรียน ขาดแรงจูงใจ หมดความมุ่งหวังที่จะเรียนรู้ เพราะถูกดึงดูดใจไปทางอื่น ซึ่งจากการที่ตนทำโรงเรียนหมู่บ้านเด็กมา 30-40 ปีแล้ว ได้ชูธงว่าโรงเรียนต้องปรับตัวเองเข้ากับเด็ก ไม่ใช่ปรับเด็กเข้าโรงเรียน และชูความสุขของเด็กด้วย แต่สภาพโรงเรียนในประเทศไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถปรับเข้าหาความต้องการของเด็ก หลายโรงเรียนสภาพแออัด ขาดแคลนครู เด็กที่เรียนไม่เก่งถูกปล่อยให้อยู่หลังห้อง ครูสนใจแต่เด็กที่ตอบได้ที่อยู่หน้าห้องหรือกลางๆ ห้อง เมื่อหลายปีที่แล้วจึงพบว่า เด็กไทยจบ ป.6 อ่านหนังสือไม่ได้เลย
นายพิภพ ย้ำว่า การศึกษาต้องจัดให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก ยกตัวอย่างโรงเรียนหมู่บ้านเด็กที่ตนทำอยู่ มีความคิดว่า จะทำโรงเรียนสำหรับเด็กยากจนสู้กับโรงเรียนสาธิตของคนราย แต่เด็กในโรงเรียนต้องมีความสุขและมีเสรีภาพ เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีความพร้อมที่จะเรียนไม่เท่ากัน เด็กบางคนอาจบกพร่องบางส่วน การเติบโตที่จะรับรู้บางเรื่องไม่เหมือนกัน บางคนไฮเปอร์ บางคนช้าแต่สวยงาม บางคนนั่งอยู่นิ่งไมได้ ซึ่งโรงเรียนต้องจัดให้เด็กได้เรียนตามความเจริญเติบโต ตามความถนัด และความชอบของตัวเอง เด็กจึงจะมีความสุขในการเรียน ซึ่งโรงเรียนทั่วไปไม่สนใจความชอบ ความพร้อมของเด็ก แต่ถูกกำหนดให้เรียนเหมือนๆ กันหมด
นอกจากนี้ ระบบโรงเรียนยังมีตารางให้ต้องเรียนไปตามลำดับ ถ้าไปไม่ไหวต้องออกกลางคัน เป็นระบบการศึกษาแบบแพ้คัดออก พวกนี้ก็จะเป็นผู้แพ้ ไปทำงานเป็นผู้ใช้แรงงานในโรงงาน เพราะไม่มีความรู้ เป็นปมด้อย เด็กรุ่นหลังจึงพยายามไปเรียนเอาปริญญา มหาวิทยาลัยราชภัฏจึงรวยกันมาก เพราะคนไปเรียนเอาปริญญา โดยที่ไม่มีความรู้ติดตัวออกไป
นายพิภพ กล่าวต่อว่า การเมืองใหม่ต้องให้การศึกษาระบบโรงเรียนมีทางเลือกให้เด็กที่มีความถนัดแตกต่างกัน เรียนว่า โรงเรียนทางเลือก คนที่มีความสามารถพิเศษ ควรเรียนหลักสูตรมาตรฐานเพื่อการออกไปใช้ชีวิตในสังคมแล้วเรียนวิชาเน้นหนักตามความสามารถพิเศษนั้น ถ้าปล่อยให้ระบบการศึกษาไทยเป็นอยู่อย่างนี้ เกิดโมสาร์ตมาอยู่เมืองไทย จะไม่มีทางได้เป็นนักดนตรีเอกของโลกอย่างแน่นอน เพราะถูกระบบการศึกษากลืนหมด จะออกไปเล่นเปียโนก็จะถูกบังคับให้เรียนคณิตศาสตร์ พละ ภาษไทย หรือเรื่องโน้นเรื่องนี้
นายพิภพ กล่าวอีกว่า นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีได้ทำผิดตอนเป็นนายกฯ ที่ไปแก้ระเบียบโรงเรียนเอกชน เปิดให้โรงเรียนนานาชาติ เข้ามาตั้งในประเทศไทยได้ ซึ่งโรงเรียนนานาชาติเหล่านั้นสามารถจัดการศึกษาทางเลือกได้ ให้คนรวยมีทางเลือก แต่พวกไม่มีเงิน ก็เรียนโรงเรียนของกระทรวงศึกษาธิการที่ถูกบังคับ
การเมืองใหม่ต้องปฏิรูปการศึกษา ที่ไม่มีกระทรวงศึกษาธิการ แต่ประชาชนต้องจัดการศึกษาด้วยตัวเองได้ ต้องเกิดโรงเรียนทางเลือก และสามารถประกาศปรัชญาการศึกษาของตัวเองได้ อย่างโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก ที่ประกาศใช้หลักเสรีภาพ หลักจิตวิทยาแบบซิกมันด์ ฟรอยด์ และหลักพุทธศาสนาของท่านพุทธทาส
สำหรับโรงเรียนทางเลือกก็คือโรงเรียนที่จัดการศึกษาสอดคล้องกับความต้องการของลูก ชอบอะไร เก่งอะไรก็เรียนด้านนั้น ไม่ใช่ไปเรียนรวมกันจนกดความสามารถของลูกเรา โรงเรียนต้องให้เด็กมีความสุขกับการเรียน โรงเรียนต้องไมเล็กไม่ใหญ่ ไม่เกิน 20 คนต่อห้อง และมีมุมต่างๆ แยกเด็กตามความถนัดของเด็ก เพราะแต่ละคนพร้อมไม่เท่ากัน
โรงเรียนแบบนี้ต้องมีเต็มบ้านเต็มเมือง รัฐต้องสนับสนุนด้านงบประมาณแก่โรงเรียนทางเลือกแบบนี้ เลิกให้เด็กไปเรียนพิเศษเด็ดขาด จนไม่มีเวลาที่จะฝึกฝนตัวเอง
การเมืองใหม่ต้องทำเรื่องเยาวชน 3-4 เรื่อง คือ 1.ให้ครอบครัวมีความสุข ซึ่งเกี่ยวกับกระจายรายได้ 2.ทำให้โรงเรียนมีความสุข และกระยวนการเรียนรู้ต้องอยู่บนฐานความสุขของชีวิต เมื่อโรงเรียนมีความสุข ชุมชนมีความสุข และมีเพื่อนเป็นกัลยาณมิตร ถ้าเด็กหลงไปติดยา อาจเพราะอยากทดลองบ้าง ถ้ามีฐานครอบครัวดี โรงเรียนดี เด็กจะหันกลับมา แต่ปัจจุบันเด็กหันกลับไม่ได้ เพราะเหตุที่โรงเรียนและครอบครัวปฏิเสธเขา ซึ่งในขณะนี้มีระเบียบห้ามรับเด็กที่ถูกให้ออกมาจากโรงเรียนอื่น แล้วจะให้เด็กไปไหน ถ้าไม่ให้เด็กกลับฐานจะให้ไปไหน
ขณะเดียวกัน ต้องมีการปฏิรูปสื่อ ให้เด็กมีความสุขที่จะดูสื่อ คนเราเมื่อก้าวผิด ถ้าจะมีคนช่วยให้กลับมาในทางที่ถูก เขาต้องการ ตนพิสูจน์แล้วว่าเด็กทุกคนต้องการเป็นคนดี เมื่อพลาดแล้ว เด็กก็อยากกลับมา ถ้าโรงเรียน ครอบครัว หรือชุมชนต้อนรับด้วยความอบอุ่น ไม่ใช่บอกว่า เอ็งทำผิด ให้ไปหาโรงเรียนเอาที่อื่นก็แล้วกัน
นายพิภพ กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า การเมืองใหม่ ถ้าใหม่จริงต้องปฏิรูปการศึกษา ครอบครัว และสังคม เพื่อให้เราอยู่อย่างมีความสุข