“จำลอง” พร้อมเจรจารัฐบาลทุกเมื่อ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐาน พปช.ลาออก และไม่แก้ รธน. ท้าให้ ตร.เข้ามาจับชี้ข้อหากบฎถือว่ารุนแรงเกินเหตุ ยันขั้นตอนอยู่กระบวนการยื่นอุทธรณ์ ด้าน “พิภพ” แฉพวกทุนนิยมสมานย์อยู่เบื้องหลังจัดโผ “ครม.สมชาย”
วันนี้ (21 ก.ย.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พร้อมด้วย นายพิภพ ธงไชย และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกันแถลงข่าวถึงความคืบหน้าการเจรจากับรัฐบาล โดย พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เราเร่งรัดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ เพราะขณะนี้รัฐบาลต้องทำเรื่องจำเป็นคือการตั้ง ครม. ทั้งนี้ หากนายกฯ สะดวกเมื่อไหร่ก็สามารถมาเจรจากับพันธมิตรฯ ได้ ส่วนแกนนำคนอื่นๆ ในรัฐบาลขณะนี้ยังไม่มีติดต่อมา อย่างไรก็ตาม การเจรจาจะต้องอยู่บนพื้นฐาน คือ พรรคพลังประชาชนต้องลาออก และไม่แก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งตนยืนยันว่าเราไม่ได้เจรจาเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่เราเจรจาเพื่อประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
นายสมศักดิ์ กล่าวเสริมว่า คนที่เป็นรัฐบาลจะต้องไม่ใช่คนในพรรคพลังประชาชน เพราะคนพวกนี้เป็นพวกทุนนิยมสามานย์ ต้องไม่คิดแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีแนวทางไปสู่การเมืองใหม่ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม และให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ส่วนโฉมหน้า “ครม.สมชาย 1” ในความคิดของพันธมิตรฯ นั้น นายพิภพ กล่าวว่า ในมุมมองของกลุ่มพันธมิตรฯ มองว่า การจัดโผ ครม.ชุดนี้มีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามามีส่วนในการจัดโผ ดังนั้น เราจึงไม่ให้ความสำคัญ เพราะคนที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ก็จะมุ่งทำการเมืองเพื่อเงิน และผลประโยชน์ส่วนตัว
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าตำรวจจะเข้าสลายการชุมนุมนั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เป็นข่าวที่ยืนยันมาอย่างนั้น แต่จะมีการสลายการชุมนุมหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากตำรวจเห็นว่ายังไม่สมควรสลายการชุมนุมก็ไม่ได้หมายความว่าข่าวที่พันธมิตรฯ ได้มาจะเป็นข่าวผิด ซึ่งขณะนี้เราก็อยู่กันตามปกติ ไม่ได้เตรียมรับมืออะไร แต่ถ้าหากมีการสลายการชุมนุมจริงก็อาจจะเกิดเหตุวุ่นวายตามมา ซึ่งตำรวจต้องรับผิดชอบ และชดใช้ค่าเสียหาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพันธมิตรฯ ชนะอุทธรณ์ข้อหากบฏ พันธมิตรฯ จะยุติการชุมนุมภายในทำเนียบรัฐบาลหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เราไม่ได้คาดหวังไว้ล่วงหน้า ต้องดูการตัดสินของศาล ซึ่งการที่เรามาชุมนุมนั้นเราทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เราไม่ได้ล้มล้างรัฐธรรมนูญ ซึ่งโทษข้อหากบฏถือว่ารุนแรงไป เพราะมีโทษเบาที่สุดคือติดคุกตลอดชีวิต ร้ายแรงที่สุดคือประหารชีวิต แต่เราไม่ได้ถึงขั้นนั้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลเองก็เป็นฝ่ายละเมิดรัฐธรรมนูญ เห็นได้จากกรณีเขาพระวิหาร
เมื่อถามว่า หากพันธมิตรฯ เชื่อว่าตัวเองบริสุทธิ์จริง ทำไมไม่มอบตัวต่อสู้ในชั้นศาล พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ขณะนี้ขั้นตอนของพันธมิตรฯ ก็อยู่ในกระบวนการยุติธรรม อยู่ในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งตำรวจก็สามารถเข้ามาจับแกนนำพันธมิตรฯ ได้ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะพิจารณา
“ขณะนี้วงการศาลเป็นห่วงมากว่าคนที่ทำเพื่อบ้านเมืองทำไมถึงถูกตั้งข้อหาแรงแบบนี้ ถ้าปล่อยไปอาจทำให้บ้านเมืองเสียหายาได้ เนื่องจากการกระทำของพันธมิตรไม่ได้เป็นกบฏ ดังนั้น การที่ตำรวจตั้งข้อกล่าวหาแบบนี้จึงเป็นข้อกล่าวหาเท็จ และเราก็ไม่เคยเอาเรื่องเหล่านี้มาต่อรองในการเจรจา หากเอามาต่อสู้ก็บ้าแล้ว” พล.ต.จำลอง กล่าว
เมื่อถามว่า การที่พันธมิตรฯ บอกว่าตำรวจสามารถมาจับได้ แสดงว่าต้องการให้เกิดความวุ่นวายหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นคงเดินไปให้ตำรวจจับไปแล้ว เราไม่ได้นำเรื่องนี้มาเป็นเหตุผลในการสร้างสถานการณ์ ที่เราไม่มอบตัวก็เพราะประชาชนขอไว้ อีกทั้งเรายังมีแนวทางในการต่อสู้อยู่แล้ว
นายพิภพ กล่าว่า การต่อสู้ของพันธมิตรฯ เป็นการต่อสู้ภาคประชาชน ซึ่งข้อกล่าวหาที่ตำรวจตั้งให้กลุ่มพันธมิตรฯ นั้นเป็นสิ่งที่เกินจริง และย้อนเป็นไปในลักษณะย้อนยุค เพราะในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ที่ตำรวจจับ 13 คนที่แจกใบปลิวเรียกร้องประชาธิปไตย จอมพลถนอม กิตติขจร ก็ตั้งข้อหาให้คนกลุ่มนี้ว่าเป็นกบฏ
พล.ต.จำลอง ยังกล่าวถึงแนวคิด “การเมืองใหม่” ว่า ในวันนี้ (21 ก.ย.) เวลา 14.00-17.00 น. จะมีการประชุมหารือเรื่องการเมืองใหม่ ซึ่งจะมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 10 คน โดยใช้ซอกตึกบริเวณในพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นที่ประชุม ส่วนแนวทางการประชุมนั้นจะรวบรวมความคิดเห็นแนวทางการเมืองใหม่ของแกนนำทั้ง 5 คน รวมถึงความเห็นของประชาชนที่ส่งความคิดเห็นเข้ามา ซึ่งจะมีการประกาศแนวทางการเมืองใหม่แบบตุ๊กตาให้ประชาชนทราบในวันพรุ่งนี้ (22 ก.ย.)
เมื่อถามว่า หากมีการเมืองใหม่แล้วพรรคพลังประชาชนกลับมาเป็นรัฐบาล พันธมิตรฯ จะยอมรับได้หรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เราไม่ได้มองไกลถึงขนาดนั้น แต่ขณะนี้เรามองว่าการที่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาลต่อไปก็จะยิ่งแย่ นอกจากนี้ยังตั้งหน้าตั้งตาแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเดียว