“สมเกียรติ” ชี้ “สมชาย” ผู้สืบสันดานระบอบทักษิณตัวจริง แฉมีส่วนร่วมในมหากาพย์การโกงยุค “แม้ว” จนตระกูลร่ำรวยมหาศาล พร้อมชี้ 4 เหตุผล “รัฐบาลน้องเขย” อยู่ไม่ยืด เหตุสืบทอดระบอบทักษิณมาโดยตลอด มี “เจ๊แดง” บงการ อยู่เบื้องหลังการโกงชาติ เติบโตมาจากแก๊งการเมืองที่คอยแย่งอำนาจผลประโยชน์ ย้ำพันธมิตรฯ พร้อมมอบตัวหาก “แม้ว” มามอบตัวด้วย
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 51 เวลา 22.40 น. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีปราศรัยภายในทำเนียบรัฐบาลว่า วันนี้ได้รับทราบข่าวมาว่า การเลือกนายกเทศมนตรี ต.เกาะสมุย จ.สุราษฎ์ธานี ในวันนี้ ฝ่ายที่ชนะทั้งตัวนายก รองนายก และฝ่ายแพ้ ไม่ใช่คนของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ แต่เป็นฝ่ายพันธมิตรฯ ทั้งหมด ที่สู้กันเอง ซึ่งก็เป็นไปตามที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า พันธมิตรฯ จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ขององค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพของการเมืองใหม่ ของประชาชนที่จะตัดสินใจกันเอง
นายสมเกียรติ กล่าวต่อไปว่า วันนี้ตนอยากจะขอยกบทความของ “กาแฟดำ” หรือนายสุทธิชัย หยุ่น คอลัมนิสต์ชื่อดัง ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือเดอะเนชั่น ที่แสดงทัศนะอย่างน่าสนใจไว้ว่า “การแต่งตั้งนายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นหัวเชื้อแห่งการขัดแย้งในสังคม ที่เป็นต้นตอแห่งความสับสน ปั่นป่วนในประเทศทุกวันนี้ ปัญหาหลักที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขก็เพราะเรายังไม่หลุดพ้นจากบ่วงกรรมแห่งผลประโยชน์ของกลุ่มการเมือง ตราบที่นักเลือกตั้งที่เอาผลประโยชน์แห่งตน และพรรคพวกของตน ยังครอบครองเมืองในคราบของนักประชาธิปไตย” นอกจากนี้ บทความดังกล่าวยังฝากคำถามไปยังนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ด้วยว่า จะทำงานเพื่อประชาชน ในขณะที่เป็นหุ่นเชิดของระบอบเก่าได้หรือ และระบุด้วยว่าทุกวันนี้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีเครื่องหมายคำถามอยู่กลางหน้าผากว่า จะทำเพื่อประชาชนได้หรือ หรือทำเพื่อระบอบทักษิณ
นายสมเกียรติ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้หลังจากที่ได้นายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ทำให้บ้านเมืองเราทุกวันนี้ได้ตกอยู่ในระบบ “ร่างทรงวงศ์สวัสดิ์” ผู้สืบสันดานระบอบทักษิณ หรือผู้เป็นตัวแทนถาวรของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เพราะเห็นได้จากท่าทีของนายสมชาย เคยกล่าวไว้เมื่อครั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ หนีคดีไปยังประเทศอังกฤษ นายสมชายก็กล่าวว่า เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละบุคคล พร้อมกล่าวว่าตนก็พร้อมจะทดแทนบุญคุณ โดยการช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ทุกอย่างยามทั้งสองเดือดร้อน
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ขณะที่ 5 แกนนำพันธมิตรฯ กำลังพาประชาชนไปสู่การเมืองใหม่ แต่นายสมชาย เปรียบเสมือนร่างทรงที่จะคอยดึงประชาชนที่กำลังจะหลุดพ้นจากระบอบการเมืองแบบเก่าๆ ให้กลับไปใช้การเมืองแบบเก่าๆ ที่มีแต่วงจรการทุจริตคดโกง แต่นายสมชายไม่สามารถดึงแกนนำพันธมิตรฯ ให้กลับไปยังการเมืองแบบเก่าได้ เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ ยังยืนยันที่จะมุ่งหน้าไปสู่การเมืองใหม่
นายสมเกียรติ กล่าวต่อไปว่า ตระกูลชินวัตร และตระกูลวงศ์สวัสดิ์ ร่ำรวยขึ้นมาอย่างทุกวันนี้ โดยอาศัยตลาดหลักทรัพย์ในการปั่นหุ้น โกงหุ้น และ ซุกหุ้น จนทำให้ในทุกวันนี้ทั้งสองตระกูลมีลูกหลาน ที่ร่ำรวย มหาศาล ทั้งที่แต่ละคนยังอายุไม่มาก ดังที่ตัวเลขจากวารสาร การเงินการธนาคารปีนี้ ได้ระบุว่า ขณะนี้ นางสาวพิณทองทา ชินวัตร ลูกสาวคนรองของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือเศรษฐีหุ้นที่รวยที่สุดในประเทศไทยตอนนี้ โดยมีมูลค่าสินทรัพย์กว่า 18,033 ล้านบาทนอกจากนี้นายพานทองแท้ ลูกชายคนโต ก็รวยเป็นอันดับ 4 ด้วยมูลค่าหุ้นกว่า 11,097 ล้านบาท และนางสาวแพรทองธาร ลูกสาวคนเล็กก็รวยเป็นอันดับ 28 ด้วยมูลค่าหุ้น 1,423 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตระกูลวงศ์สวัสดิ์ ก็ไม่น้อยหน้า เพราะตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา จู่ๆ นางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ลูกสาวคนโตของนายสมชายก็มีหุ้นถึง 759 ล้านบาท เป็นเศรษฐีหุ้นอันดับที่ 68 ของประเทศ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ในปี 2545 นางสาวชินนิชาไม่เคยมีประวัติเล่นหุ้นมาก่อน ก็ไม่ทราบว่าจู่ๆ เอาเงินที่ไหนมาเล่นหุ้น และเล่นจนร่ำรวยได้ขนาดนี้ เช่นเดียวกับลูกสาวอีกคนของนายสมชาย คือนางสาวชยาภา ก็มีมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์กว่า 645 ล้านบาท ถือเป็นอันดับที่ 84 ของประเทศ ส่วนลูกชายอีกคนก็เป็นเศรษฐีหุ้นลำดับที่ 87 ของประเทศไทย ด้วยมูลค่าหุ้น 636 ล้านบาท
ทำให้วารสารการเงินการธนาคารสรุปได้ว่า ในปี 2546 ตระกูลชินวัตร เป็นเศรษฐีหุ้นที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย ด้วยมูลค่ารวมถึง 18,544 ล้านบาท แต่พอปี 2547 ตระกูลชินวัตรก็ร่ำรวยมากขึ้นไปอีกโดยกลายเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 1 ของประเทศไทย และรวยเป็นอันดับ 14 ของโลก ด้วยมูลค่าหุ้นกว่า 31,544 ล้านบาท จนในที่สุดก็มาขายหุ้นไปในปี 2549 ซึ่งก็ขายหุ้นทั้งหมดไปด้วยมูลค่ากว่า 73,00 ล้านบาท
ทางด้านตระกูลดามาพงศ์ ของคุณหญิงพจมาน ก็ร่ำรวยไม่แพ้กัน เพราะในปี 2546 ตระกูลดามาพงศ์ ก็ร่ำรวยเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 4 ของประเทศไทย ด้วยมูลค่าหุ้น 9,383 ล้านบาท จนในปี 2547 ก็รวยมากขึ้นจนมาเป็นอันดับ 3 ของประเทศด้วยมูลค่าหุ้น 15,267 บาท
ส่วนทางตระกูลวงศ์สวัสดิ์ ก็รวยเป็นอันดับ 66 ของประเทศในปี 2546 ด้วยมูลค่า 690 ล้านบาท แต่มา ปี 2547 ก็ร่ำรวยจนขยับมาเป็นอันดับ 22 ของประเทศ ด้วยมูลค่าหุ้น 2,042 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จึงเคยไปยื่นให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการร่ำรวยอย่างผิดปกติ ของตระกูลวงศ์สวัสดิ์ ไว้ตั้งแต่ปี 2549 แต่เวลาผ่านมากว่า 2 ปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เลย ซึ่งก็ต้องขอทวงถาม ป.ป.ช. ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ตระกูลชินวัตร และตระกูลดามาพงศ์ จะร่ำรวยแค่ไหน ก็ยังคงโกง เลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้น 546 ล้านบาท จนถูกศาลอาญาตัดสินเมื่อ 31 ก.ค. 2551 ให้จำคุก 3 ปี จนตอนนี้ก็ยังเป็นผู้ร้ายหนีคดีอยู่ ซึ่งในวันนี้ก็ไม่ยอมมารับฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก ศาลจึงเลื่อนฟังคำตัดสินไปเป็นวันที 21 ต.ค. ซึ่งก็คงต้องจับตาดูคดีของทั้งสองตระกูลนี้ต่อไป
นายสมเกียรติ กล่าวด้วยว่า วันนี้หลังจากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เสร็จสิ้นลง ได้มี ส.ส.อาวุโสคนหนึ่งเป็นตัวแทนของนายสมชาย มาบอกกับตนว่า นายสมชาย จะมายังทำเนียบรัฐบาลเพื่อมาเจรจากับแกนนำพันธมิตรฯ จะขัดข้องหรือไม่ ตนจึงตอบกลับไปว่าไม่ขัดข้อง ยินดีเจรจา เพียงแต่ ถ้าจะให้ 9 แกนนำพันธมิตรฯ มอบตัว ก็ต้องนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหนีคดีอยู่ มามอบตัวพร้อม กัน ทางแกนนำพันธมิตรฯ จึงจะพร้อมเจรจาด้วย
นอกจากนี้ ส.ส.คนดังกล่าวยังระบุด้วยว่า หากคืนนี้เวลา 22.00 น. นายสมชายจะโทรศัพท์มาหา 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรฯ ได้หรือไม่ ตนก็ตอบว่า ทางแกนนำจะรับฟังเฉยๆ เพราะไม่ใช่เรื่องของแกนนำ แต่เป็นเรื่องของประชาชน
นายสมเกียรติ กล่าวต่อไปว่า เมื่อกล่าวถึงเรื่องของความร่ำรวยจากหุ้นไปแล้วก็ต้องขอตั้งคำถามต่อกรณี การร่ำรวยในทางอื่นๆ ของตระกูลวงศ์สวัสดิ์ ที่ถูก ป.ป.ช. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนไปแล้วเช่น กรณีที่ ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการไต่สวน นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เมื่อ 11 ม.ค.50 ในคดีที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นรองประธานกรรมการ อนุญาตให้ดำเนินการก่อตั้งศูนย์โลจิสติกส์ ที่มีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยไม่เปิดให้ประมูล ซึ่งระยะเวลาผ่านมากว่า 2 ปีแล้วแต่คดีดังกล่าวก็ยังไม่คืบหน้า
และเมื่อ 29 ม.ค.51 ป.ป.ช.ก็ตั้งคณะกรรมการไต่สวน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวก ที่อนุมัติให้มีการจ้างเหมา บริการรักษาความปลอดภัยในสนามบินสุวรรณภูมิ โดยใช้วิธีจ้างโดยวิธีพิเศษ ไม่ต้องแข่งขันกัน ซึ่งแต่เดิมตั้งงบประมาณไว้ 3,086 ล้าน แต่จู่ๆ ก็เพิ่มเงินให้เป็น 5,400 ล้าน ซึ่งจนถึงวันนี้คณะกรรมการชุดดังกล่าวก็ทำเรื่องดังกล่าวมา 6 เดือนแล้ว ตนจึงอยากทวงถามว่าเรื่องดังกล่าวไปถึงไหนแล้ว
และอีกคดีก็คือ การตั้งอนุกรรมการสอบ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกที่ ในคดีที่อนุญาตให้ ร้านดิวตี้ฟรี ที่เปิดร้านอยู่ที่สนามบินดอนเมือง ที่จู่ ๆ ก็อนุญาตให้ไปขายที่สุวรรณภูมิได้เลยโดยไม่ต้องประมูล ที่มีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนมาตั้งแต่ 25 มี.ค.51 แต่ปัจจุบันก็ยังไม่คืบหน้าเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีคดี ที่ ครม.สมัคร สุนทรเวช ลงนามในแถลงการณ์ร่วมเขาพระวิหาร จนทำให้ไทยเสียดินแดนด้วย ซึ่งก็ผ่านมา 3 เดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการเช่นกันดังนั้นตนจึงอยากเรียกร้องไปยัง ป.ป.ช.ว่า อย่าให้ประชาชนรอนานนัก มิเช่นนั้นจะถูกเรียกเป็น ป.ป.ร. (รอ) ก็เป็นได้
นายสมเกียรติ กล่าวว่า เรื่องทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวมหากาพย์แห่งการคอร์รัปชั่น แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่า “ผู้สืบสันดาน การคอร์รัปชั่นแห่งประเทศไทย” ได้อย่างไร ทั้งนี้ตนคิดว่ารัฐบาลชุดนี้น่าจะเป็นรัฐบาลที่มีอายุสั้นที่สุด และจะล้มลงอย่างไม่เป็นท่า นั่นก็เป็นเพราะสาเหตุ 4 ประการด้วยกันคือ
1. เป็นรัฐบาลที่สืบทอดระบอบทักษิณ มาโดยตรงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ
2 .เป็นรัฐบาลที่มี นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง
3. เป็นรัฐบาลที่อยู่เบื้องหลังของมหากาพย์การโกงชาติ ซึ่งแม้ตัวนายกรัฐมนตรีจะเคยเป็นผู้พิพากษามาแล้วก็ตาม แต่กลับไม่รักษาความยุติธรรม และถูกต้องเอาไว้เลย
4. เติบโตมาจากแก๊งการเมืองที่คอยแต่แย่งยิงอำนาจ แย่งผลประโยชน์กัน
นายสมเกียรติ กล่าวด้วยว่า นี่เป็นเพียงตัวอย่างของมหากาพย์การโกงชาติส่วนหนึ่งเท่านั้น วันหน้าตนจะเปิดโปงบริษัทที่ตั้งอยู่สิงคโปร์ ซึ่งเมื่อนั้นคนทั่วไปจะได้รู้ว่า นายกรัฐมนตรีคนนี้สืบทอดอำนาจมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างแท้จริง รวมไปถึงจะเปิดเผยคดีซุกหุ้นภาค 2 ในเร็วๆ นี้ ซึ่งตนเชื่อว่าจะเป็นจุดจบของระบอบทักษิณ
ทั้งนี้ วันนี้ตนก็ต้องขออภัยลูกๆ ของตระกูลเหล่านี้เอาไว้ด้วยที่เหมือนต้องมารับกรรม กับการกระทำของพ่อแม่ตัวเอง ดังนั้นครอบครัวเหล่านี้จึงเป็นเหมือนพ่อแม่ทำร้ายลูก ที่ให้เอาเงินไปไว้ให้ลูก ทำให้ลูกร่ำรวยโดยไม่รู้ว่าเอาเงินมาจากไหน แล้วก็ต้องถูกสังคมตั้งคำถามในที่สุด