“สนธิ” ชี้วิกฤตการเงินสหรัฐเกิดจากความโลภ เล่นเงินต่อเงิน ปั่นราคาสินทรัพย์สูงเกินจริง เตือนเศรษฐกิจไทยใกล้ตกเหวตาม สัญญาณอันตราย คนเป็นหนี้ตั้งหนุ่มจนแก่ จวกธนาคารกลางสหรัฐฯ อัดเงิน 8.5 หมื่นล้านเหรียญช่วย “เอไอจี” แต่กลับห้ามรัฐบาลไทยช่วย 56 ไฟแนนซ์ ตอนวิกฤตปี 40 ย้ำทางแก้ต้องมีการเมืองใหม่ เปลี่ยนความคิดใหม่ เลิกตามก้นอเมริกัน แจงเสนอปิดตลาดการเงิน กันเก็งกำไรค่าบาท
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัย
วันนี้ (17 ก.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 21.50 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยได้กล่าวถึงกรณีที่เพื่อนร่วมวงการที่เป็นฟรีทีวีกล่าวหาเอเอสทีวีว่าทำตัวเป็นขอทานว่า รู้สึกแปลบในใจเพราะช้ำใจว่าประเทศไทยมีสื่อที่คิดได้อย่างนั้น นั่นคือความพินาศฉิบหายของวงการสื่อมวลชน ถ้าเขาไม่มีมิจฉาทิฐิ หรือไม่มีอวิชชา ต้องบอกว่าอิจฉาเอเอสทีวีที่มีประชาชนมาช่วยจ่ายเงินเดือน ซึ่งน่าภูมิใจและหาไม่ได้อีกแล้ว ถ้าคิดเป็นต้องพูดแบบนี้ไม่ใช่บอกว่าไปขอทานกับพี่น้อง เพราะว่าพี่น้องเห็นคนเห็นคุณค่าของเอเอสทีวีที่เป็นโทรทัศน์เจ้าเดียวที่ก่อให้เกิดกระบวนการกู้ชาติขึ้นมาประชาชนจึงหวงแหนเอเอสทีวีดั่งลูกในไส้
การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีที่อำเภอเกาะสมุย ย้ำว่าตามหลักการแกนนำพันธมิตรฯจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือการเมืองในท้องถิ่น ไม่ว่าท่านจะสนับสนุนใครเพราะนั่นเป็นเรื่องของการเมืองท้องถิ่น แต่อยากฝากไปยังพี่น้องที่เป็นพันธมิตรฯ ในอำเภอเกาะสมุยว่า ต้องมีจิตวิญญาณจากความเป็นนักสู้กู้ชาติคือต้องเลือกคนที่ซื่อสัตย์ โปร่งใส เคารพกฎหมายและมีจริยธรรม
นายสนธิ กล่าวว่า รู้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ มีคุณสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และสามี เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ และทราบว่ามีการใช้เงินถึง 100-200 ล้านบาท ซึ่งพี่น้องต้องจับตามองว่านายกเทศมนตรีคนใหม่จะรับใช้คุณสุดารัตน์หรือไม่ โดยใช้วิธีการตรวจสอบการทำหน้าที่ตามปรัชญาของพันธมิตรฯ ส่วนใครจะกล่าวหาว่าฝ่ายใดมีคุณสุดารัตน์หนุนหลังนั้น ตนไม่สนใจ ให้เป็นหน้าที่ของคนสมัยไปจับตาดูเอง และอยากบอกว่าเวลานี้ทั้งคุณสุดารัตน์และนายเนวิน ชิดชอบ กำลังรุกลงไปทางใต้ มีการเอาเงินเอาทองลงมาใช้ ขอให้ระมัดระวัง แต่ใครจะไปเป็นนายกเทศมนตรีสมุยไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าเขาได้ทำประโยชน์ให้พี่น้องตามปรัชญาที่เราต่อสู้มาหรือไม่
จากนั้น นายสนธิได้อธิบายต่อจากเมื่อวันก่อนเกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาว่า กรณีการล่มสลายของเลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจขนาดใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐนั้นเป็นบทสะท้อนให้เห็นถึงความโลภของระบบทุนในสหรัฐ และว่าสหรัฐฯ นั้นใช้วิธีกู้เงินจากทั่วโลกในรูปของพันธบัตรปีละ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่ออุดช่องโหว่ของเงินที่ขาด โดยเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่ประเทศต่างๆ ในเอเชียและยุโรปทำมาค้าขายได้กำไร แล้วเอาไปซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เปรียบเสมือเป็นเงินฝาก แต่เมื่อสหรัฐได้เงินนี้ไปก็เอาไปปล่อยกู้ต่อให้กับสถาบันการเงินในประเทศของเขาเพื่อปล่อยกู้ให้บริษัทข้ามชาติของเขาที่เอาสินค้ามาขายให้เราอีกทีหนึ่ง พอเราซื้อของเขา ก็มีเงินที่เอาไปสะสมอีกเป็นวงจรอย่างนี้
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตามหลักที่ถูกต้อง เมื่อธนาคารมีเงินมากขึ้นควรจะเอาเงินนั้นไปลงทุนที่เป็นประโยชน์ เช่น ลงทุนทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม เครือข่ายโทรคมนาคม ลงทุนการศึกษา แต่คนกุมอำนาจในสหรัฐคือนักการเงิน รอไม่ได้ที่จะลงทุนไปแล้วรอเป็นปีๆ กว่าจะได้กำไร เขาอยากจะได้กำไรทุกๆ วินาที จึงคิดวิธีที่จะเอาเงินต่อเงิน จึงมีการคิดนวัตกรรมการค้าเงินแบบใหม่ มีการซื้อสินค้าล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร น้ำมัน ทองคำ เพื่อที่จะเอาเงินต่อเงิน เล่นกันทุกวินาที ซื้อสินค้าทุกอย่างล่วงหน้า นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ตลาดอนุพันธ์
วันดีคืนดีบอกว่าซื้อขายสินค้าล่วงหน้า ยังไม่พอ ต้องมีการปั่นราคาสินทรัพย์ โดยการซื้อหนี้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วสหรัฐอเมริกาแล้วปั่นราคาให้สูงขึ้น แล้วนำไปขายต่อ แล้วขายต่อกันไปเรื่อยๆ จนราคาขึ้นไป 4-5 เท่า ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการยึดบ้านมาแล้วจะขายต่อในราคาสูงแต่ราคาในตลาดตกลงมา ก็เลยขาดทุนกันระนาว นี่คือเหตุผลของการเจ๊งของเลห์แมน บราเธอร์ส เพราะความโลภ
นายสนธิ ยังได้ย้อนอดีตถึงการลดค่าเงินบาทในประเทศไทยว่า มีครั้งหนึ่งในสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี นายสมหมาย ฮุนตระกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นว่าถ้าไม่ลดค่าเงินบาทเมืองไทยอยู่ไมได้ และประกาศลดทันที ซึ่งทำให้ธุรกิจได้รับความเสียหายแต่เป็นธุรกิจสั่งสินค้าเข้า เช่น บริษัทปุ๋ยศรีกรุง แต่ในช่วง 2 ปีให้หลังเศรษฐกิจไทยก็ฟื้น
การลดค่าเงินบาทครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ยืนยันว่าจะไม่ลดค่าเงินบาท แต่วันรุ่งขึ้นก็ลดค่าเงิน เหมือนกับนักการเมืองที่บอกว่าไม่มีการแตกแยก วันรุ่งขึ้นก็แยกพรรคทันที เพราะฉะนั้นในทางสาธารณะ อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องร้ายแรง ถ้าเราได้ข่าวมาแล้วเขาบอกว่าไม่ใช่ นั่นคือใช่ เหมือนกับกรณีที่บางแบงก์กรุงเทพที่บอกว่าการล้มของเลห์แมนฯ ธนาคารกรุงเทพฯ ไม่เสียหาย หรือเสียหายบ้างเล็กน้อย แต่แปลไทยเป็นไทยคือเสียหายมาก
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจตอนนี้ เราไปเลียนแบบต่างประเทศจนเกินไป เราจึงอยู่ในภาวะที่ใกล้จะตกเหวเช่นกัน และคนจบประวัติศาสตร์อยากจะสอนคนที่จบเศรษฐศาสตร์ที่ทำบ้านเมืองเสียหาย ให้รู้ว่า วงจรของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าเริ่มขาดลง โดยชี้ให้เห็นว่าสังคมคนอายุน้อยใหม่นั้นเป็นวัยที่ทำงานมีรายได้ ลงทุนทำธุรกิจ มีเรี่ยวมีแรง ขยายธุรกิจ ขณะที่สังคมคนอายุมากอายุ 50-60 ไปแล้ว เป็นสังคมที่พึ่งพาเงินที่ตัวเองเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ ใช้เงินที่ตัวเองมีไปซื้อทรัพย์สินเล็กๆ น้อย และออมทรัพย์ พอคนรุ่นเก่าตายไป คนรุ่นใหม่ที่เริ่มมีอายุก็จะมาเป็นกลุ่มที่ใช้เงินหลังเกษียณแทนเป็นวงจรอย่างนี้ ขณะนี้เมืองไทยกำลังมีปัญหา วงจรของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าเริ่มขาดลง ขาดตรงที่ว่าคนรุ่นใหม่ที่เริ่มสะสมทรัพย์ พอเข้าสู่ปัจฉิมวัยยังเป็นหนี้อยู่ ช่องว่างที่จะสะสมทรัพย์หรือซื้อทรัพย์สินโดยคนอายุมากก็ไม่มีแล้ว และมันจะเกิดในรุ่นลูกเรา บางคนผ่อนบ้านไปจนเกษียณ แต่ยังใช้หนี้ไม่หมด นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดสำหรับประเทศไทย ซึ่งถ้าใช้การเมืองเก่ามันแก้ไมได้ เนื่องจากเดินตามแบบสหรัฐอเมริกาที่มีแต่ความโลภ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เมื่อเช้านี้ ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศใช้เงิน 85,000 ล้านเหรียญสหรัฐเข้าไปอุ้มบริษัทเอไอจีที่กำลังจะล้มละลาย จึงอยากจะพูดคำนี้ว่า “รัฐบาลอเมริกันเฮงซวย” ที่พูดเช่นนี้ เพราะในปี 2540 ตอนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของไทย 56 ไฟแนนซ์ของไทยมีปัญหา แต่สหรัฐขัดขวางไม่ให้รัฐบาลไทยและแบงก์ชาติเข้าไปช่วย อ้างว่าปล่อยให้ล้มไปเพื่อคนใหม่จะได้เกิดขึ้น ซึ่งสาเหตุที่แท้จริง เพราะกลัวว่า ถ้ารัฐบาลเข้าไปช่วยไฟแนนซ์เหล่านั้นจะไม่ล้มและไม่มีการยึดทรัพย์ลูกหนี้ และมีโอกาสที่จะฟื้นตัว แต่เขาไม่ยอมเพราะต้องการให้ประเทศไทยเจ๊ง เพื่อให้เราไปกู้ไอเอ็มเอฟ แล้วต้องทำตามเงื่อนไขของเขา ซึ่งทำให้เขามาเอาทรัพย์สินเราไปเลหลังขายราคาถูกได้
เขาชอบอ้างคำว่า moral hazard ห้ามไม่ให้รัฐเข้าไปช่วยบริษัทเอกชน แท้ที่จริงแล้วสหรัฐฯ เวลาพูด เอา “ก้น” พูด ไม่ได้ใช้ปากพูด วันที่ 16 กันยายน 2551 ธนาคารกลางของรัฐบาลสหรัฐเอาเงิน 85,000 ล้านเหรียญไปอุ้มเอเอจี ถ้าจะทำแบบนี้ แล้วเมื่อปี 2540 สหรัฐอเมริกาด่าไทยทำไม ที่ทำเช่นนี้เพราะมีนักวิเคราะห์ของซีเอ็นบีซีและไฟแนนเชียลไทม์วิเคราะห์ว่าการช่วยเอไอจีคือการช่วยสหรัฐอเมริกา จึงมีคำถามว่าทำไมทีสหรัฐจึงรักชาติได้ แต่ประเทศไทยทำไมได้ อ้างว่าเดี๋ยวสากลจะไม่ยอมรับ เดี๋ยวอายต่างประเทศ
“ไอ้นักวิชาการ นักการเงินของไทยที่พูดแบบนี้คือพวก เชี่ย คิดให้ดีๆ พี่น้อง เวลามันจะช่วยพวกมันเอง มันบอกว่า ช่วยเอเอจีคือช่วยสหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้น วันนั้นที่ผมพูดว่าเราควรปิดประเทศทางการเงิน ก็ไปแปลความหมายผิด โง่ ไม่ได้ฟัง ด่าผมว่าปิดประเทศจะเป็นพม่าหรือไง คุณฟังไมได้ศัพท์จับไปกระเดียด ผมหมายความว่าปิดประเทศทางการเงิน เฉพาะตลาดการเงิน ไม่ให้เอาเงินบาทไปแลกเปลี่ยนที่เมืองนอก
แล้วก็จะมีไอ้โง่ ไออวิชชาอีกหลายคนขึ้นมาบอกว่า คุณสนธิทำอย่างงั้นไม่ได้นะ เราเสียชื่อนะ คนเขาจะดูถูกเรานะ เราจะไม่เป็นสากล แล้วอเมริกาให้บริษัทของมันเองกู้ 85,000 ล้านเหรียญมันไม่เสียชื่อมันเหรอ หรือว่าอเมริกาพ่อคุณทำอะไรก็ไม่ผิดใช่มั้ย แต่ถ้าคนไทยทำเพื่อคนไทยมันผิดหรือ”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีเงินบาทอยู่ในต่างประเทศประมาณ 2 แสนล้านบาท เป็นเงินจากการคอร์รัปชั่น ที่ขนใส่กระเป๋าไปที่สิงคโปร์ เพราะเราปล่อยให้เงินบาทลอยตัวได้ทั่วโลก เงินบาทอยู่ที่สิงคโปร์ก็ซื้อขายได้ ถ้าเราปิดตลาด เงิน 2 แสนล้านบาทก็ต้องแลกเป็นดอลลาร์กลับมาแลกกับเรา ซึ่งเราสามารถตั้งเงื่อนไขว่าต้องบอกมาก่อนว่าเจ้าของเงินที่แท้จริงเป็นใคร ไม่เช่นนั้นไม่ให้แลกคืน ซึ่งสามารถทำได้ แต่ไม่ทำ เพราะต้องการให้เงินบาทลอยตัวในต่างประเทศได้ เพื่อจะได้โจมตีค่าเงิน เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด
นายสนธิ ย้ำว่า ถ้าไม่มีการเมืองใหม่เราจะแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นวงจนคนหนุ่มกับคนแก่จะถูกตัดขาด คนหนุ่มวันนี้จะกลายเป็นคนแก่ที่ยังผ่อนหนี้ไม่หมด คนหนุ่มรุ่นต่อมาก็เป็นหนี้ต่อไป ในที่สุดสังคมไทยก็เป็นสังคมที่ทุกคนเป็นหนี้เป็นสินกันหมด
นายสนธิ กล่าวต่อว่า จะเล่าความโลภของอเมริกาให้ฟัง เมื่อสมัยโคลัมบัสออกเดินเรือไปตามที่ต่างๆ รอบโลกเพื่อขนใบชา ทองคำ เครื่องหอม ผ้าแพรไปที่สเปนเพื่อเอากำไรเป้ฯร้อยๆ เท่า และพระราชินีก็ลงทุนต่อเรือให้เพื่อเอาของไปขาย เพื่อนำกำไรไปแบ่งกัน ซึ่งโคลัมบัสใช้เวลา 2 ปีในการเดินออกเรือแล้วเอาสินค้ากลับมาขาย แต่ทุกวันนี้ นักลงทุนที่นิวยอร์กนั่งเคาะซื้อขายหุ้นไม่กี่นาทีก็ได้กำไร แต่ความโลภไม่ต่างกันกับโคลัมบัส ต่างกันแค่กาลเวลาเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ทัน ทำไมเขาต้องให้มีตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย และให้ทุนเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยไปฝึกที่อเมริกาโดยไม่เสียเงิน เพื่อไปเรียนวิชาแล้วมาเล่นเกมเดียวกับเขา เขาถึงบอกว่าประเทศที่ทันสมัยต้องมีตลาดหลักทรัพย์ ถ้ายังไม่มีถือว่าไม่ทันสมัย แล้วบอกแบงก์ชาติว่าต้องปล่อยเงินบาทลอยตัว ซื้อขายได้ทั่วโลกจึงจะทันสมัย
“นี่ถ้ามันบอกว่าผู้หญิงไทยต้องเดินแก้ผ้าถึงจะทันสมัย แล้วเราโง่ทำตามมัน เราก็คงเป็นควาย ผมอุปมาอุปมัยให้เห็นว่า คนที่เรียนสูงเสียเปล่า ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามา ไม่รู้จักเอาส่วนดีของเขามาใช้แล้วขจัดส่วนเลวออกไป แต่รับมาทั้งดุ้น แล้วบอกว่า ต่างประเทศเขาทำกันอย่างนี้ ถ้าเราไม่ทำเราจะอายเขา
เห็นหรือยังพี่น้อง นี่ไงหล่ะต่างประเทศ เลห์แมน บราเธอร์ส และมันยังจะมีเจ๊งต่อไปอีก ไม่หยุดยั้ง คอยดูสิพี่น้อง ราคาบ้านที่ถูกปั่นขึ้นมาสูง ราคาอสังหาริมทรัพย์ในบ้านเราที่แพงนั้น เกิดจากการปั่น การเมืองใหม่มันเป็นยุคที่หมดยุคของการค้ากำไรเกินควรแล้ว มันเป็นยุคที่ทำให้พวกเรายืนได้บนลำแข้งของเราเอง และมันเป็นยุคสิ้นสุดของการขูดรีด อย่างอำมหิตและเลือดเย็น”
ในตอนท้ายนายสนธิ เปิดเผยว่าอีก 2-3 วันจะรวบรวมความคิดเกี่ยวกับปรัชญาการเมืองใหม่ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจะตรงกับแกนนำที่คิดกัน แต่ตนจะเก่งในเรื่องการยกตัวอย่าง จะยกตัวอย่างให้ดูว่าทำไมจึงไม่เอาการเมืองเก่า และการเมืองเก่าทำให้เสียหายอย่างไร จะพิมพ์หนังสือเป็นแสนๆ เล่มแจกให้พี่น้อง และช่วยเอาไปแจกต่อๆ กันด้วย