“อารักษ์ คคะนาท” แห่ง หนังสือพิมพ์มติชน เขียนบทความ “เมืองไทย หมดสภาพ เพราะนักเลือกตั้ง” กรีด นักเลือกตั้งพรรครัฐบาล ทำตัวไร้ยางอาง คิดเข็นอดีตนายกฯ ที่ถูกศาลตัดสินแล้วว่าผิด โดยไม่คำนึงถึงมารยาททางการเมือง คิดแต่จะเป็นกาฝากหาประโยชน์ โดยไร้ปัญญาบริหารบ้านเมือง ต้องให้ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เป็นแกนนำประกาศ “ประชาภิวัฒน์” แทนนักการเมือง
วันนี้ (13 ก.ย.) หนังสือพิมพ์มติชน คอลัมน์ พูดจาประสาสื่อ (หน้า 2) นำเสนอบทความ “เมืองไทย หมดสภาพ เพราะนักเลือกตั้ง” โดย อารักษ์ คคะนาท คอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิมพ์มติชน ความว่า
การที่นักเลือกตั้งพรรครัฐบาลคิดนำหัวหน้าพรรค กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญยังมิได้พิพากษาตัดสิน โดยอ้างว่า ไม่มีกติกาห้ามไว้ เช่น อดีตรัฐมนตรีในคณะเดียวกัน ที่พ้นตำแหน่งไปและตั้งกลับมาอีกได้นั้นแสดงชัดเจนถึงความเสื่อมทรามอย่างสาหัสของระบอบการเมืองไทย ที่พลุกพล่านไปด้วยบุคลากรไร้สมรรถภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไร้ปัญญาความคิดในทางสร้างสรรค์อย่างน่าตกใจ (สำหรับสังคมอารยะ เว้นแต่สังคมด้อยพัฒนาที่จำยอมกับความจริงอันเคยชิน) คนเหล่านี้อ้างกฎกติกาได้ทุกกาลเทศะ เมื่อกฎกติกานั้นเอื้อประโยชน์ตน อย่างปราศจากความละอายต่อประชาชน ที่ตนควรประพฤติตามบรรทัดฐานศีลธรรมจรรยา หรือมารยาททางการเมืองให้เป็นแบบอย่าง เช่นสังคมอารยะประชาธิปไตยปฏิบัติกันเป็นปกติ อะไรที่มิได้ระบุไว้ กลายเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องใช้สมองคิด ไม่ว่าเรื่องนั้นจะน่าอับอายน่าดูถูกเหยียดหยามขนาดไหน ก็ไม่ทำให้นักเลือกตั้งเหล่านั้นเข้าใจได้
การเมืองไทยที่เหลวไหลเลื่อนเปื้อน หรือเลอะเทอะให้ชาวบ้านเอือมระอาอยู่ทุกวันนี้ ก็ด้วยพฤติกรรมอันชัดเจนของบรรดานักเลือกตั้งที่ไม่แยแสความคิดความรู้สึกของประชาชน ไม่แยแสความถูกผิด ความเหมาะควร หรือความดีงามตามวิถีประชาธิปไตยเช่นนี้เอง ตราบเท่าที่ยังโอหังกันอยู่ว่าเงินซื้อคนได้ เงินซื้อสิทธิซื้อเสียงได้ ไม่ว่าจะซื้อเสียงเข้าสภา หรือซื้อคนในสภาเข้าพวก การกระทำย่ำยีระบอบที่พากันอ้างว่าเป็นผู้เทิดทูนนักหนา จึงดำเนินไป กระทั่งคำพิพากษาตัดสินว่าได้กระทำผิดปรากฏแล้ว ก็ยังดันทุรังพยายามนำซากอสุภการเมืองที่เน่าเฟะหมดสภาพ หมดความชอบธรรม มาตกแต่งฉีดยาเพื่อให้คงรูปร่างอยู่อีกได้
โดยอ้างชนิดพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดที่อบรมสั่งสอนผิดชอบชั่วดีมา คงน้ำตาตกใน ว่า เป็นความผิดไม่รุนแรงแค่มารยาททางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อันเป็นเรื่องพื้นฐานสุดๆ ก็ไม่รู้จักเสียแล้ว ยังประกาศแล้วประกาศเล่าหลอกคนว่า อยู่รักษาระบอบประชาธิปไตยให้เหม็นขี้ฟันไปถึงไหนระบอบระบบอยู่ดีต้องมีกูเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรลึกลับพิสดารเลยไม่ว่าอารยประเทศประชาธิปไตยจะแสดงตัวอย่างดีงาม ที่เป็นทางออกทางการเมืองนานาลักษณะไว้ อย่างไรก็ตาม สาละวนแต่เล่นละครแย่งชิงอำนาจทางการเมืองกัน ทั้งๆ ไม่มีสติปัญญาบำบัดทุกข์บำรุงสุขอะไรให้ชาวบ้านได้ นอกจากคิดหาเศษหาเลยเข้าพกเข้าห่อไปวันหนึ่งๆ
อย่างนี้เอง บ้านเมืองจึงหมดสภาพเพราะนักเลือกตั้งที่คิดไม่ไกลเกินผลประโยชน์ จนนักการเมืองที่มีอยู่บ้าง ก็ไม่มีปริมาณ หรือน้ำหนักพอจะถ่วงความเสื่อมเสียจากนักเลือกตั้ง จนคิดนำพาบ้านเมืองไปข้างหน้าไม่ได้ไม่สามารถปรับปรุงระบอบพิกลพิการที่มีแต่การเลือกตั้งเป็นหลัก หรือดัดแปลงระบอบที่บกพร่อง เพราะมีแต่การเลือกตั้งสำคัญอยู่ประการเดียวได้ ทั้งๆ เป็นงานที่ฝ่ายการเมืองต้องคิด หากระบอบมีแต่หยุดบ้านเมืองให้ถอยหลังเข้าคลอง ปล่อยให้ประชาชนเป็นฝ่ายคิดหรือฝ่ายเสนอแทน แล้วยังไม่ยอมคิดตามหรือไม่ยอมรับที่จะคิดเสียอีก
หรือพูดตามข้อเท็จจริง ก็คือ ให้ “สนธิ ลิ้มทองกุล” หนึ่งในคณะผู้นำประท้วงเป็นคนประกาศคำ “ประชาภิวัฒน์” แทนที่จะเป็นความคิด หรือคำประกาศจากนักการเมือง นี่มิได้ยืนยันว่า ทั้งระบอบ และนักการเมือง (ซึ่งมีนักเลือกตั้งเป็นกาฝาก) ล้มละลายไปแล้วหรือ เพราะคิดไม่ทันประชาชน