“วีระ” ปลื้ม สังคมยอมรับ “นปช.”-เทียบ ดีกว่า “พันธมิตรฯ” ตรงที่มีจุดยืนในประชาธิปไตย

อดีตแกนนำม็อบไข่แม้ว “วีระ มุสิกพงศ์” ยิ้มแก้มปริ ผ่าน PTV เผย ดีใจที่สังคมยอมรับว่า นปช.คือ กลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่ง เชื่อ นปช.มีจุดยืนในประชาธิปไตยที่มั่นคง แบบที่ “พันธมิตรฯ” เทียบไม่ได้ - ด่ากราด วิทยาลัย วปอ.ออกแถลงการณ์ตำหนิ “แม้ว” อ้าง รู้ไม่จริงแล้วมาออกแถลงการณ์ด่าผู้มีผลงานดีเด่นของประเทศ ยังไม่วายป้ายสีพันธมิตรฯ หลอกใช้ นร.เป็นแนวหน้าชุมนุม ปิดสภาผู้แทนฯ

วานนี้ (11 ก.ย.) รายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศทางโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี

เนื้อหาในรายการ ผู้ดำเนินรายการยังคงกล่าวย้ำกับเรื่องที่ว่า สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาลแห่งชาติ เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองตอนนี้ ไม่ใช่ความขัดแย้งของคนในสังคม แต่เป็นการขัดแย้งระหว่างคนในสังคมส่วนใหญ่ กับคนกลุ่มเล็กๆ เพียงไม่กี่คนอย่างกลุ่มพันธมิตรฯ ดังนั้น ประเทศทั้งประเทศ จึงไม่ควรต้องปรับเปลี่ยนเป็นรัฐบาลเพียงเพราะคนเพียงกลุ่มเดียวตั้งเงื่อนไขขึ้นมา นั่นคือ กลุ่มพันธมิตรฯ

จากนั้นจึงกล่าวถึงกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) โดย นายวีระ กล่าวว่า ตนรู้สึกดีที่ทุกวันนี้สังคมยอมรับกลุ่ม นปช.ว่า เป็นกลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตนก็เห็นว่า กลุ่ม นปช.มีจุดยืน และแนวทางในการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ค่อนข้างชัดเจน คือ ต้องการรักษาระบอบประชาธิปไตย แต่จะเหนือกว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ตรงที่คนกลุ่มนี้ต้องการเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชน โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะได้มาเป็นนักการเมือง หรือสร้างการเมืองใหม่อย่างที่กลุ่มพันธมิตรฯ เรียกร้อง

ได้กล่าวถึงแถลงการณ์ยุทธศาสตร์ชาติของ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร(วปอ.) ซึ่งได้ออกแถลงการณ์ในวันนี้ โดยมีใจความระบุว่า สถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันที่แตกแยกเป็น 2 ฝ่าย เพราะสังคมส่วนใหญ่มองว่า รัฐบาลชุดนี้มีจุดอ่อนตรงที่ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่อยู่ภายใต้อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังมีการตั้งสื่ออย่าง ASTV และ PTV มาเป็นเครื่องมือโจมตีกันทางการเมืองทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งทวีความรุนแรงมากขึ้น และหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีอำนาจทางการเมืองอยู่จะทำให้ความแตกแยกดังกล่าวประสานสามัคคีกันได้อย่างยากลำบาก ทั้งยังระบุด้วยว่า นโยบายประชานิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ประชาชนฟุ่มเฟือย ลดการพึ่งตัวเองลง ดังนั้น ประเทศควรหันมายึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารประเทศอย่างยั่งยืน

ซึ่งผู้ดำเนินรายการได้เถียงอย่างหัวชนฝา ว่า ไม่เห็นด้วย และว่า แถลงการณ์ดังกล่าวไม่มีเหตุผล โดยอ้างว่า ประชาชนที่เลือกรัฐบาลชุดนี้ขึ้นมา เพราะรู้อยู่แล้วว่ารัฐบาลชุดนี้จะเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทย ดำเนินนโยบายตามแบบพรรคไทยรักไทย ดังนั้นหากจะมาอ้างว่ารัฐบาลนี้มีจุดอ่อนตรงที่เป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นเรื่องที่ฟังไม่ขึ้น ซึ่งพวกตนก็ขอตำหนิเอกสารฉบับดังกล่าว รวมถึงวิทยาลัย วปอ.ด้วยที่นำเสนอเอกสาร โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร แต่ก็นำมาเสนอ ทำให้เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ด้อยปัญญาอย่างยิ่ง ไม่สมกับคนระดับปัญญาชนคิดเลย
นอกจากนี้ ยังกล่าวปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยว่า วปอ.ไม่ควรระบุเช่นนี้ เพราะการระบุเช่นนี้เหมือนกับเป็นการโน้มน้าวให้คนมอง พ.ต.ท.ทักษิณ ในแง่ที่ไม่ดี ทั้งที่แท้จริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่ดี มีผลงาน ส่วนการที่มีคนมารัก มาศรัทธา ในตัวของเขา ก็เพราะคนศรัทธาจากผลงานเก่าๆ ที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติทั้งนั้น

นอกจากนี้ ยังกล่าวด้วยถึงเรื่องนโยบายประชานิยมด้วยว่า สำหรับพวกตนแล้ว กลับมองว่านโยบายประชานิยม คือนโยบายที่สนับสนุนให้คนพึ่งพาตัวเองมากขึ้นต่างหาก เพราะแต่ก่อนประชาชนในต่างจังหวัดจะคอยแต่แบมือขอเงิน ขอสิ่งของบริจาคจากรัฐ แต่ตั้งแต่มีนโยบายประชานิยมอย่างกองทุนหมู่บ้าน ประชาชนก็กู้ยืมเงินไป ทำธุรกิจของตัวเอง โดยไม่ต้องรอพึ่งพารัฐบาลอีก

ในช่วงท้ายรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงกรณีกลุ่มพันธมิตรฯ นัดรวมพลใหญ่เพื่อเคลื่อนไหวไปปิดล้อมสภาผู้แทนราษฎรในวันพรุ่งนี้ ว่า การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ครั้งนี้ต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ราวกับการหลอกใช้เด็ก เอานักเรียน นักศึกษาออกหน้า เป็นแกนนำผู้ชุมนุม ซึ่งนั่นคงเป็นเพราะแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งถูกออกหมายจับเริ่มกลัวว่า หากออกมาเป็นแนวหน้าอาจจะถูกจับกุมตัวได้ ดังนั้นพวกตนจึงอยากออกมาเตือนนักเรียน นักศึกษาที่กำลังจะเข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าให้คิดให้ดี เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร