นายกฯ นั่งหัวโต๊ะประชุม ป.ป.ท. เห็นชอบมาตรการเอาชนะการทุจริตคอร์รัปชัน หลังพบสถิติปี 51-52 ยอดข้าราชการไทยทุจริตพุ่งสูง ส่งผลความน่าเชื่อถือนักลงทุนต่างชาติต่ำลง
วันนี้ (26 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง พร้อมด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยสำนักงาน ป.ป.ท.ได้รายงานถึงสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชันของภาครัฐในปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2551-2552 โดยระบุว่ามีจำนวนมากขึ้นทั้งในส่วนการรับเรื่องร้องเรียน ซึ่งหน่วยงานภาครัฐได้รับการร้องเรียนจากประชาชนกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐกระทำกรทุจริต โดยปี 2551 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวน 15,348 เรื่อง ในปี 2552 จำนวน 21,399 เรื่อง สูงขึ้นจำนวน 6,051 เรื่อง ทั้งนี้ มุมมองจากต่างประเทศที่มีการวัดระดับดัชนีความโปร่งใสปรากฎว่าประเทศไทยในปี 2551 ดัชนีวัดความโปร่งใสอยู่ที่ 3.50 และในปี 2552 อยู่ที่ 3.40 ซึ่งนอกจากต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานแล้วยังแสดงถึงแนวโน้มความน่าเชื่อถือในการลงทุนจากต่างประเทศที่ต่ำลง อีกทั้งทัศนคติการรับรู้ของประชาชนยังเป็นสิ่งที่น่ากังวลที่ประชาชนในกลุ่มต่างๆ เช่น เยาวชน ข้าราชการ ประชาชนทั่วไปยอมรับว่าการทุจริตเป็นเรื่องปกติธรรมดามากขึ้น
ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ท.ได้กำหนดมาตรการในการดำเนินการ 6 มาตรการ 1.สร้างจิตสำนึกให้สังคมไทยร่วมใจต้านภัยทุจริต 2.สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการคอร์รัปชัน 3.สร้างกลไกรองรับเรื่องร้องเรียนและกำหนดมาตรการตรวจสอบการปฏิบัติต่อข้อร้องเรียน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน 4.สำรวจสถานการณ์การทุจริตและจัดอันดับความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐระดับหน่วยงานและจังหวัด 5.ยกระดับมาตรฐานหน่วยงานของรัฐเพื่อก้าวสู่องค์กรแห่งความโปร่งใส และ 6.สร้างกลไกคุ้มครองนักลงทุนและผู้ประกอบการต่างชาติจากการทุจริตคอร์รัปชัน
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการ แนวทางและมาตรการตามแผนปฏิบัติการที่สำนักงาน ป.ป.ท.เสนอ โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีเห็นว่าการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่จะมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน คือ การวางกลไกการพัฒนาระบบราชการโดยเฉพาะหน่วยงาน องค์กรที่มีอำนาจในการอนุมัติ อนุญาต ให้มีความโปร่งใส โดยการลดขอบเขตการใช้ดุลพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งแนวทางการแก้ไขดังกล่าวจะสามารถลดระดับสภาพปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันได้อย่างตรงประเด็นและเกิดประสิทธิภาพ
