อธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ ชี้ เหตุผล 7 ประการ “หมัก” ไม่ควรกลับมาเป็นนายกฯ ระบุ เท่ากับเป็นการตบหน้าศาล รธน.และปฏิเสธการมีอยู่ของหลักจริยธรรมการละอายต่อบาปในสังคมไทย ซ้ำโหมกระพือความขัดแย้งแตกแยกในสังคม สร้างเงื่อนไขการใช้กำลังปราบปรามนำไปสู่การนองเลือด เตือนพรรคร่วมรัฐบาล คิดให้รอบคอบ ก่อนทำพลาดซ้ำสอง
ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนบทความเรื่อง เหตุผลทางสังคม 7 ประการ ที่ไม่ควรนำ นายสมัคร กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก เพื่อเตือนสติ ส.ส.พรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาล ที่จะลงมติให้ นายสมัคร สุนทรเวช กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ดังนี้
“การพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญของ นายสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 นับเป็นโอกาสสำคัญอีกครั้งหนึ่งของสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคพลังประชาชนที่จะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงยาวนานที่สังคมไทยเผชิญอยู่จะมีโอกาสยุติลงได้ น่าเสียดายที่ปรากฏว่า หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยังคงมีความพยายามจากสมาชิกพรรคพลังประชาชนบางส่วน และพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค ที่จะนำเอา นายสมัคร สุนทรเวช กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง โดยไม่คำนึงถึงเสียงคัดค้านและเสียงแห่งมโนธรรมของผู้คนจำนวนมากในสังคมไทย
เหตุผลทางสังคม 7 ประการที่จะลำดับต่อไปนี้ เป็นข้อที่สมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคพลังประชาชนควรจะนำไปใคร่ครวญให้รอบคอบ ในการที่จะยังคงทำร้ายสังคมไทยต่อไปอีกโดยการเสนอชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี และน่าจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่สมาชิกพรรคการเมืองเหล่านี้จะได้ช่วยเหลือ และหยิบยื่นโอกาสและทางออกจากวิกฤตร้ายแรงให้แก่สังคมไทยได้
เหตุผลประการที่ 1 การนำ นายสมัคร กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกไม่เพียงแต่จะเป็นการตบหน้าศาลรัฐธรรมนูญ และระบบตุลาการ ซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ของสังคมไทยเท่านั้น หากแต่เป็นการปฏิเสธการมีอยู่ของจริยธรรมและหิริโอตัปปะในการเมืองไทยอีกด้วย
มีแต่ผู้ที่ไม่เกรงกลัวละอายต่อบาปและขาดจริยธรรมเท่านั้น ที่จะเสนอตัวบุคคลที่เพิ่งถูกศาลสูงสุดวินิจฉัยว่า ขาดจริยธรรมและไม่ตระหนักถึงความรับผิดชอบและสถานะในการปฏิบัติตนในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะเมื่อ 3 วันก่อนหน้านั้น กลับมาเป็นผู้นำสูงสุดในฝ่ายบริหารของประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง เพราะความผิดที่ นายสมัคร ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยอย่างชัดเจนว่าเป็นเรื่องการขัดแย้งกันของประโยชน์ในตำแหน่งหน้าที่ (Conflict of interest) กล่าวคือ การไม่ยอมรับรู้ว่าตนเป็นบุคคลสาธารณะที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบต่อประเทศและต่อประชาชน แต่กลับใช้ตำแหน่งฐานะที่ดำรงอยู่ไปดำเนินการรับจ้างหรือที่ถือว่าได้กระทำการเป็นลูกจ้าง ซึ่งเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจแก่เอกชน และเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกถึงข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้วโดยชัดแจ้งตั้งแต่ต้น
ความผิดนี้ไม่ใช่ความผิดทางเทคนิค ไม่ใช่การเข้าใจกฎหมายคลาดเคลื่อน แต่เป็นการจงใจกระทำการโดยไม่แยแสกับหลักการที่ว่าบุคคลสาธารณะต้องไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อเอกชน อันเป็นหลักการที่เป็นหัวใจของประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย ซึ่งหากปรากฏพฤติการณ์เช่นนี้ในประเทศประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้ว ไม่ใช่แต่เพียงจะไม่ถูกเสนอชื่อมาดำรงตำแหน่งสำคัญอีกเท่านั้น หากแต่ชีวิตทางการเมืองของบุคคลผู้ละเมิดจริยธรรมทางการเมืองโดยไม่ตระหนักถึงพันธะและความรับผิดชอบในตำแหน่งการเมืองเช่นนี้ ก็ไม่อาจดำรงอยู่ต่อไปได้โดยเด็ดขาด
เหตุผลประการที่ 2 การที่ นายสมัคร กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำรงอยู่มายาวนานทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งรังแต่จะนำสังคมไทยไปสู่ความรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกขณะ เพราะบุคลิกภาพและนิสัยส่วนตัวที่ก้าวร้าวรุนแรง และไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียวให้กับทุกๆ คน ในทุกๆ เรื่องของ นายสมัคร จะทำให้การเมืองที่ขัดแย้งรุนแรงอยู่แล้วก้าวไปสู่การเผชิญหน้าเร็วขึ้น เพราะ นายสมัคร มีความเชื่อมาโดยตลอดว่าการดำเนินการทางการเมือง และการเผชิญหน้าที่ตนเลือกกระทำนั้นถูกต้องมาโดยตลอด เมื่อมีโอกาสกลับเข้าดำรงตำแหน่งใหม่อีก ก็ยิ่งจะต้อง “สร้างผลงาน” โดยการ “เดินหน้าฆ่ามัน” อย่างที่เป็นวิถีในทางการเมืองที่ นายสมัคร เลือกเดินมาตลอดเกือบสี่สิบปีในชีวิตทางการเมืองนั้นเอง
เหตุผลประการที่ 3 การนำ นายสมัคร กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง นอกจากจะเพิ่มอุณหภูมิความขัดแย้งทางการเมืองให้มากขึ้นแล้ว ยังเป็นการท้าทายและทำให้เกิดเงื่อนไขในการใช้กำลังทหาร ตำรวจ เข้าระงับสถานการณ์รุนแรง หรือการจลาจล ซึ่งมาจากการปะทะกันของกลุ่มการเมืองที่เผชิญหน้ากันอยู่ในขณะนี้ได้ง่ายที่สุด และสถานการณ์เช่นนี้มักจะนำไปสู่การใช้อำนาจเด็ดขาดรุนแรงของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถืออาวุธและเป็นการเชื้อเชิญให้กลุ่มพลังที่มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยออกมาสู่ความขัดแย้งเป็นฝักฝ่ายทางการเมืองโดยตรง และหากมีปฏิบัติการของการใช้กำลังทหาร ตำรวจในสถานการณ์ใดที่ผิดพลาดหรือล้ำเส้นความพอดี จนเกิดการกล่าวหาหรือเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้นำกองทัพ สถานการณ์เช่นนี้จะผลักให้กำลังทหารต้องเข้าควบคุมสถานการณ์และจะนำไปสู่สถานการณ์ที่น่าเศร้าสลดใจของการรัฐประหาร ล้มล้างระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยลงได้โดยง่ายอีกครั้งหนึ่ง
เหตุผลประการที่ 4 การนำนายสมัครกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งจะทำให้โอกาสในการที่จะได้รับข้อเสนอแนะและแนวทางในการแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเมือง จากองค์พระประมุข ซึ่งทรงมีประสบการณ์และได้ผ่านปัญหาผ่านการแก้วิกฤตของชาติมาแล้วยาวนานลดน้อยลง
โดยหลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย องค์พระประมุขย่อมมีสิทธิโดยชอบธรรมตามขนบของการปกครองและโดยสถานะตามรัฐธรรมนูญที่จะพระราชทานความเห็นสำหรับผู้รับผิดชอบ เพื่อให้นำไปพิจารณาหาทางแก้ปัญหาวิกฤตที่ประเทศชาติดำรงอยู่ได้ ตามเหตุตามคราวที่มีสถานการณ์สำคัญเกิดขึ้น แต่หากเรามีนายกรัฐมนตรีที่มีแต่จะขอเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และเอาแต่กราบบังคมทูล กราบบังคมทูล และกราบบังคมทูล โดยมิได้ขอรับพระราชทานพระราชวินิจฉัย หรือขอรับพระราชทานข้อชี้แนะสำหรับการดำเนินการของรัฐบาลแล้ว จะมีโอกาสใดอีกเล่าที่จะเปิดให้สามารถได้แนวทางหรือคำแนะนำที่จะเป็นประโยชน์แก่การแก้วิกฤตของประเทศชาติจากองค์พระประมุขได้
เหตุผลประการที่ 5 หากนายสมัครกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง การเมืองไทยจะสุ่มเสี่ยงต่อความผิดพลาด การเกิดความรุนแรง และเพิ่มความเสี่ยงในการทำลายระบบการเมืองลงได้ง่าย เพราะนายสมัครมีบุคลิกภาพที่รุนแรง ไม่ประนีประนอม และไม่รับฟังความความเห็นที่ไม่ตรงใจตัว ลักษณะของผู้นำการเมืองเช่นนี้ เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ประเทศชาติกำลังเผชิญกับภัยคุกคาม หรือปัญหาจากภายนอก ซึ่งคนในชาติมักจะสามัคคีร่วมมือกันช่วยแก้ไขปัญหาของชาติ และต้องการผู้นำที่สามารถปลูกสำนึกความรักชาติและสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อต่อสู้กับศัตรู หรือภัยคุกคามภายนอก แต่ในสถานการณ์แตกแยก ขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่ายจากปัญหาทางการเมืองภายใน และความเชื่อ ตลอดจนผลประโยชน์ที่แตกต่างกันภายในสังคมไทยเองที่เป็นอยู่ในขณะนี้นั้น บุคลิกภาพของ นายสมัคร จะยิ่งทำให้สถานการณ์แตกแยกรุนแรงมากขึ้น เสมือนกับการสาดน้ำมันเข้าสู่กองไฟ ทำให้ความแตกแยกลุกลามใหญ่โตยิ่งขึ้น จนอาจเผาผลาญความเป็นชาติบ้านเมืองที่สั่งสมมานานลงได้ในคราวนี้
เหตุผลประการที่ 6 หากนายสมัครกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งจะยิ่งเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมสัญญาณที่ผิดพลาดในทางจริยธรรมและศีลธรรมที่สังคมไทยได้รับมาตลอดเจ็ดเดือนเศษให้ชัดเจนรุนแรงยิ่งขึ้น จนอาจทำให้ค่านิยม คุณค่า และความเชื่อที่เป็นเรื่องผิดพลาดอย่างร้ายแรงกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นแนวทางที่เยาวชนและผู้คนในสังคมไทยอาจยึดถือแบบอย่างที่ผิดพลาดเหล่านี้ต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพูดจากลับไปกลับมาไม่อยู่ในร่องในรอย (เช่น การแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญ การกำหนดเวลาที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อใด) การพูดจาโกหกพกลมไม่ตรงกับความเป็นจริง (เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีคนตายเพียงคนเดียว) การใช้ถ้อยคำหยาบคาย การใช้กริยาเกรี้ยวกราดและบริภาษสื่อมวลชนที่ต้องติดตามทำข่าวตามหน้าที่ เรื่องต่างๆ เหล่านี้อาจเป็นพฤติกรรมปกติ สำหรับคนไทยในวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนมีอายุกว่า 70 ปีแล้วที่พบได้ทั่วไปในสังคม แต่หากเป็นพฤติกรรมของผู้นำสูงสุดในฝ่ายบริหารของประเทศซึ่งปรากฏในสื่อทุกประเภท ทั่วประเทศ และตลอดเวลาแล้ว ค่านิยม วัฒนธรรมและมารยาทอันดีในการอยู่ร่วมกันในสังคมนี้ที่ได้ปลูกฝังกันมานาน อาจจะต้องมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งและอาจจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่คนรุ่นต่อไปอาจเห็นว่าท่าที มารยาท และความประพฤติเช่นนี้เป็นเรื่องถูกต้องดีงาม หากว่าสภาผู้แทนราษฎรจะมีมติเลือกนายสมัครกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
เหตุผลประการที่ 7 การเลือก นายสมัคร กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งจะทำให้คนไทยมีความทุกข์ใจมากขึ้น ไม่ว่าคนไทยเหล่านั้นจะมีความเชื่อและความชอบทางการเมืองอย่างไร สนับสนุนฝ่ายใด หากต้องยอมรับว่าลีลาและท่าทีตลอดทั้งยุทธวิธีทางการเมืองที่นายสมัครเลือกใช้ เลือกพูด เป็นเรื่องที่ทำให้คนไทยที่อยู่กลางๆ ไม่เข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องใจหายและเฝ้าติดตามด้วยใจระทึก และคอยภาวนามิให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงอยู่เรื่อยๆ ตามเหตุตามการณ์ เพราะท่าทีที่พร้อมปะทะ ไม่ประนีประนอม ไม่เจรจา และไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียวกับแนวทางที่เชื่อว่า เรื่องที่ตนในฐานะนายกรัฐมนตรีตัดสินใจไปแล้วเป็นเรื่องที่ถูกต้องทั้งหมด โดยจะไม่ทบทวนและไม่ลดละใดๆ นั้น ทำให้ความตึงเครียดในหมู่คนไทยที่เสพสื่อ ดูโทรทัศน์ และอ่านหนังสือพิมพ์ เพิ่มดีกรีสูงมากขึ้นอยู่โดยตลอด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนไทยฝ่ายที่เลือกสนับสนุนพันธมิตร สนับสนุนพรรคพลังประชาชน หรือคนไทยที่สมัครใจใส่เสื้อขาวยืนอยู่ตรงกลาง การกลับมาของนายสมัครจะทำให้คนไทยเหล่านี้มีความตึงเครียด อึดอัด และมีความทุกข์ใจในชีวิตมากไปกว่าเดิมหลังจากที่เคยมีความสุขช่วงสั้นๆ มาแล้วภายหลังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 9 กันยายน
เหตุผลทางสังคมทั้ง 7 ประการนี้ เป็นสิ่งที่สมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลเดิม และพรรคพลังประชาชนควรจะได้นำไปคิดวิเคราะห์และไตร่ตรองโดยรอบคอบ เพื่อจะไม่ต้องกระทำความผิดซ้ำไปจากที่ได้เคยทำมาแล้วเมื่อเจ็ดเดือนก่อนต่อสังคมอีก เพราะในพรรคพลังประชาชนหรือพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังคงมีสมาชิกพรรคผู้มีอาวุโส ที่มีความรู้ความสามารถ สุขุมรอบคอบและเป็นที่ยอมรับของสังคม กับไม่มีท่าทียโสโอหัง ก้าวร้าวรุนแรง และเป็นศัตรูกับสื่อทุกประเภท อีกทั้งล้วนแต่เป็นคนที่เฉลียวฉลาด ประนีประนอม รู้จักวิธีการพูดคุยรับฟังความเห็นของคนอื่นอยู่อีกหลายคน ทั้งในระดับรองนายกรัฐมนตรีและรองหัวหน้าพรรค ถ้าหากเลือกให้ดีและชี้คนให้ถูก โอกาสที่พรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาลเดิมจะครองประเทศ ครองใจประชาชนส่วนใหญ่ และยึดครองอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปอีกยาวนานก็มีอยู่เป็นอย่างมาก เพียงแต่ต้องอย่าไปหลงติดยึดในมายาภาพและความเชื่อที่ถูกสร้างขึ้นว่า จะต้องปะทะแตกหัก จะต้องสู้รบ หรือจะต้องก้าวร้าวรุนแรงอย่างที่เคยเป็นอยู่ และได้พิสูจน์มาแล้วว่าเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงเท่านั้น