“สมเกียรติ” แฉพลังแม้วเตรียมจับ “หมัก” ใส่ตะกร้าล้างน้ำ พ้นเก้าอี้เหมือนให้พักร้อนไม่กี่วันก่อนจะชูรักแร้ให้ขึ้นมาเผด็จการอีกครั้ง พร้อมยกบทความผู้พิพากษาหญิงอาวุโสที่ชี้ชัด การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ไม่เข้าข่ายกบฏ ถือเป็นกระบวนการตามประชาธิปไตยภายใต้สิทธิและเสรีภาพตามกรอบรธน. จี้ “อัยการ” อย่ามัวดองคดียุบ 4 พรรคร่วมฯ ทั้งที่หลักฐานเพียบ แนะเอาเยี่ยงอย่างตุลาการภิวัตน์ ที่รู้ร้อนรู้หนาวกับความทุกข์ของประชาชน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ปราศรัย
วันนี้ (8 ก.ย.) ที่เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 23.10น. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ ปราศรัยบนเวทีว่า เอ็นบีทีได้ออกอากาศรายการของสามเกลอหัวเกรียน ออกอากาศว่าถ้าพรุ่งนี้เผอิญศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่านายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีผิดก็จะให้นายสมัครไปพักผ่อนสัก 3-7 วัน แล้วก็จะลงมติให้กลับมาเป็นนายกฯ ใหม่อีกครั้ง แล้วเขาทำสำเร็จมากแล้วอย่างกรณีนายไชยา สะสมทรัพย์ นายสมัครตั้งกลับมาเหมือนเดิมอีก ใครจะทำไม ไม่มีใครจะทำไมหรอก มีแต่คนจะปลูกข้าวในทำเนียบฯ
นายสมเกียรติ ได้กล่าวถึงบทความของผู้พิพากษาหญิงคนหนึ่งชื่อ นางยินดี วัชระพงษ์ ต่อสุวรรณ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลภาษีอากรกลาง ระบุว่า ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองและการตรวจสอบอำนาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม กำหนดกลไกทางการเมือง ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและบริหารให้มีดุลยภาพและประสิทธิภาพตามการปกครองแบบรัฐสภา รวมทั้งให้สถาบันศาลและองค์กรอื่นทำหน้าที่โดยสุจริต เที่ยงธรรม
“การที่มีผู้ขับไล่รัฐบาลนี้สามารถกระทำได้ เพราะว่าพวกรัฐบาลนี้ได้อำนาจมาโดยมิได้เป็นไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ” นายสมเกียรติอ่านบทความ และว่า ท่านผู้พิพากษาหญิงท่านนี้บอกว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 69 บัญญัติว่าบุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งกระทำการใดๆให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ดังนั้นเมือนายยงยุทธ ติยะไพรัช ซื้อเสียงและถูกจับได้โดนใบแดง และจะยุบพรรคพลังประชาชน ประชาชนจึงมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี
นายสมเกียรติ กล่าวว่า มีจดหมายฉบับก่อนหน้านี้สองฉบับว่า ฉบับแรกบอกว่ารัฐบาลนี้หมดความชอบธรรมแล้ว เพราะรัฐบบาลนี้เป็นตัวแทนของประชาชน แต่มีประชาชนจำนวนมากในประเทศนี้ถอนความเป็นตัวแทนของรัฐบาลออกมา รัฐบาลจึงหมดความชอบธรรม เพราะฉะนั้นแม้ว่าคนอื่นไม่เห็น แต่ท่านผุ้พิพากษาหญิงท่านนี้เห็นว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่
“และในฉบับแรก ยังบอกว่าข้อหาร้ายแรงอย่างกบฏอยู่ในเขตอำนาจศาลหรือไม่ เพราะว่าปัญหานี้คือปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ศาลไม่ควรเข้าไปในเขตอำนาจนี้ เขากำลังต่อสู้กันทางการเมือง ต้องแก้ด้วยการเมือง ศสลไม่ควรเข้าไปในเขตอำนาจนี้ เขากำลังต่อสู้กันทางการเมือง ไม่เช่นนั้นจะมีคนกลุ่มหนึ่งไปอ้างอิงศาล ไปเอาศาลมาเกี่ยวข้องกับปัญหาการเมือง ซึ่งจะกลายเป็นวิฤติลุกลามไม่สิ้น อย่างไรก็ตามเมื่อท่านกล้าเปิดตัวต่อหนังสือ เราก็กล้าปรบมือให้ท่าน” นายสมเกียรติ กล่าว
นอกจากนั้นนายสมเกียรติ ยังได้ยกบทความ “เปลว สีเงิน” ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ฉบับวันนี้ (7 ก.ย.) เรื่อง ทรราช “ผู้รู้ที่เกิดแต่ไม่รู้ที่ตายตัวเอง” เรียกนายสมัครว่า “มัน” ครั้งแรก นายสมัคร สุนทรเวช มันคือทรราชในคราบประชาธิปไตย
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้เดือนแห่งการสังหารพรุ่งนี้ศาลรับฟังคำสั่งวันนี้ ไม่เคยนึกเลยว่าศาลจะนัดอ่านคำพิพากษาเร็วคือในวันพรุ่งนี้ เหมือนเมื่อครั้งศาลปกครองกลางที่พิพากษาเรื่องแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา นี่แสดงว่าศาลรับรู้ร้อนหนาวของสังคม ไม่เย็นชาต่อสังคม ขอบพระคุณศาลรัฐธรรมนูญมาก ไม่ว่าท่านจะตัดสินอย่างไร ก็พร้อมน้อมรับหมด และไม่วิจารณ์ท่าน เพีงแต่ว่าท่านรับรู้ความร้อนหนาวของสังคมและร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสังคมว่าบ้านเมืองใกล้จะรุกเป็นไฟแล้ว จะปะทะกันสองฝ่ายจนถึงขั้นนองเลือดกลียุคแล้ว ถ้าศาลกรุณาแบบนี้ทุกๆ คดี ป่านนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมานติดคุกกันคนละ500ปีแล้ว
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า อยากจะบอกไปถึงอัยการสูงสุด ตอนนี้รับเรื่องยุบพรรคไว้ทั้งหมด 4 พรรคแล้ว ศาลก็ตัดสินมาแล้วเรียบร้อยแล้วมาสู่อัยการ ท่านไม่ต้องตั้งกรรมการสอบเพิ่มหรอก ท่านส่งศาลธรรมนูญเลย เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่ใช่ข้อเท็จจริง ถ้าอัยการสูงสุดจะรับรู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข รู้ร้อนรู้หนาวกับสังคม ส่งปั๊บถ้ายุบพรรคทั้งสี่พรรคบ้านเมืองดีขึนเลย ไม่ต้องให้ตนเสียงแหบ ให้พีน้องมายากลำบาก
ทั้งนี้ นายสมเกียรติ ยังระบุด้วยว่า ยังจะไม่วิจารณ์ศาล ด้วยความเคารพศาล เพราะศาลคือองค์กรที่จะกู้วิกฤตชาติ จำได้ว่ามีผู้พิพากษาอาวุโสคนหนึ่ง เป็นถึงเลขาธิการประธานศาลฏีกา พูดไว้เมื่อเม.ย.49ว่า โปรดรอตุลาการภิวัฒน์ โดยได้ให้สัมภาษณ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ครั้งหนึ่งว่า “โปรดให้ความไว้วางใจศาล ศาลจะตุลาการภิวัฒน์ ศาลจะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง”