“แห่หนุนพันธมิตรฯ บริจาคเงินผ่านแบงก์ ทำคอมพ์กสิกรล่ม” (แนวหน้า ศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2551)
ในเนื้อความระบุว่า ในช่วงบ่ายของวันที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา ระบบคอมพิวเตอร์ของ ธนาคารกสิกรไทย ต้องล่มไปเกือบ 1 ชั่วโมง เนื่องจากบรรดาผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศจำนวนมาก พากันบริจาคเงินโดยการโอนเงินผ่านบัญชีออมทรัพย์ และกระแสรายวัน ที่เปิดไว้ในชื่อ บัญชี บริษัทเอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด
ลองคิดดูนะครับ เพียงแค่มีการโอนเงินบริจารคเข้ามาพร้อมๆกันเข้าในบัญชีสนับสนุน พันธมิตร และ เอเอสทีวี ยังเกิดปัญหาถึงขนาด ระบบคอมพิวเตอร์ล่ม ถ้าพันธมิตรทั้งประเทศพร้อมใจกัน ใช้มาตรการ อารยะชัดขืน (Civil Disobedience) กับ ระบบเศรษฐกิจ อะไรจะเกิดขึ้น
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การรวมพลังบุกยึดทำเนียบรัฐบาล หรือการ ประท้วงหยุดงาน (On Strike) ของ กลุ่มสหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทย อาจจะถือได้ว่าเป็นการเพิ่มระดับของ การใช้มาตรการ อารยะขัดขืน ที่รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ แต่สิ่งที่ปรากฏกับสายตา และการรับรู้ของคนทั่วไปก็คือ รัฐบาลหุ่นเชิด ขายชาติ ของนายกฯ สมัคร หอกหัก ก็ยังคง ดื้อด้าน และมี ความพยายามสลายการชุมนุม เพื่อจับแกนนำพันธมิตรทั้ง 9 คน เป็นระยะๆ
เพื่อประกาศแตกหักขั้นสุดท้าย ควรมีการกำหนด “เส้นตาย” ให้กับ นายกรัฐมนตรี ทุรยศ คนนี้ให้ “ลาออก” จากตำแหน่งอย่างช้า ไม่เกิดวันอังคารที่ 2 กันยายน 2551 นี้
มาตรการอารยะขัดขืน กับระบบเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลกระทบในวงกว้างที่สุด ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ คือ การขอความร่วมมือให้ ผู้มีหัวใจรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทั้งหลาย พร้อมใจกัน ถอนเงินสดออกจากบัญชีเงินฝากของพร้อมๆกัน หากเมื่อพ้นกำหนดเส้นตายแล้ว นายกฯ จมูกหมู ปากหมา คนนี้ ยังคงดื้อด้านไม่ยอมลาออก
ปัจจุบันจากข้อมูลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย คนไทยมีจำนวนบัญชีเงินฝากรวมกันทั้งสิ้น ประมาณ 74 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลค่ารวมกันประมาณ 7 ล้านล้านบาท
ในจำนวนนี้ มีผู้ที่มีบัญชีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาท ประมาณ 8.9 แสนบัญชี แต่ผู้มีเงินฝากกลุ่มนี้มีเงินฝากจำนวนมากสูงถึง 5.1 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 73% ของปริมาณเงินฝากทั้งหมด
หากพวกเรามั่นใจว่า บรรดากลุ่มพันธมิตรฯที่ร่วมใจกันต่อสู้กับระบบการเมืองที่ชั่วช้ามาอย่างยาวนาน เป็นกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และส่วนใหญ่เป็นผู้มีฐานะ เป็นเจ้าของกิจการทั้งขนาดเล็ก กลางใหญ่ ที่กุมหัวใจ และการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ
จากจำนวนพันธมิตรที่มีกว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศ หากมีเพียง 1 ล้านคน ที่อยู่ในฐานะที่มีเงินฝากในบัญชีเกินกว่า 1 ล้านบาท พร้อมใจกันถอนเงินฝากที่มีอยู่ในบัญชีออกมาพร้อมๆ กัน จะเกิดอะไรขึ้น
เงินสดจำนวน 1 ล้านล้านบาท จะไหลออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ พร้อมๆกัน โอกาสที่จะเกิดความตื่นตระหนก และเร่งถอนเงินฝากของประชาชนรายย่อย (Bank Run) ในกรณีที่ผู้ฝากเงินเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงิน อันจะนำไปสู่ปัญหาลูกโซ่ (Domino Effect) ต่อสถาบันการเงินอื่นๆก็จะตามมา กลายเป็นความเสี่ยงต่อสเถียรภาพของระบบสถาบันการเงินในภาพรวมอย่างรุนแรง เพราะไม่เพียงจะเกิดอาการตื่นตระหนกถอนเงินของผู้คน ยังอาจลามไปถึง ตลาดหุ้น การไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท และผลกระทบอื่นๆที่ตามมาอย่างมหาศาล
ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้มีสูงมาก ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย หากพิจารณาจากมวลชนของกลุ่มพันธมิตรจำนวนหนึ่งที่มีฐานะ กำลังทรัพย์ เป็นเจ้าของกิจการกันหลายแสน หลายล้านคน
การกำหนดเส้นตาย 3 วัน เพื่อให้ นายกฯสมัคร หอกหัก ต้องตัดสินใจ และหากเขายังคงหน้าด้านอยู่ต่อไป ก็จะต้องรับผลแห่งการกระทำที่จะเกิดขึ้น หากระบบสถาบันการเงินของไทยต้องพังครืนลงมา จากความมัวเมาและยึดติดในอำนาจของนักการเมืองที่ชั้วร้ายเหล่านี้
มาตรการอารยะขัดขืนทางเศรษฐกิจ โดยวิธีนี้ นอกจากจะไม่ผิดกฎหมายแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง หรือ ทำให้ มวลชน หรือ พันธมิตร ต้องสูญเสียเงินทอง แต่สามารถส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรง และยังเท่ากับเป็นการประกาศต่อต้านรัฐบาลชุดนี้ที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมที่สุดของบรรดานักธุรกิจ ภาคเอกชน ที่ยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยตัวตน เพราะเกรงอิทธิพลมืดจาก อันธพาลในคราบการเมืองของนักการเมืองสัตว์นรกพวกนี้
ที่ผ่านมา พวกเราต้องต่อสู้กันด้วยความเหนื่อยยาก ทนแดด ทนฝน ตกอยู่ในภาวะความตึงเครียด กันอย่างหนักมาเป็นเวลากว่า 100 วันแล้ว ถึงเวลาเสียทีที่เราจะใช้ วิธีการนี้ เพื่อเป็นบทพิสูจน์พลังของ ประชาชนภิวัฒน์ ที่สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
การโจมีตีด้วยมาตรการนี้ ยังเท่ากับเป็นการตอบโต้ การกระทำของ รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ ที่พยายามจะส่งคนของตัวเองเข้าไปยึดกุม ตลาดเงิน ตลาดทุน ของประเทศ
คงรอช้าไม่ได้อีกแล้ว กำหนดเส้นตาย วันที่ 2 กันยายนนี้ หาก นายกฯสมัคร ไม่ลาออก ก็ต้องเผชิญกับ วิกฤตเศรษฐกิจทั้งระบบ !!!
ในเนื้อความระบุว่า ในช่วงบ่ายของวันที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา ระบบคอมพิวเตอร์ของ ธนาคารกสิกรไทย ต้องล่มไปเกือบ 1 ชั่วโมง เนื่องจากบรรดาผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศจำนวนมาก พากันบริจาคเงินโดยการโอนเงินผ่านบัญชีออมทรัพย์ และกระแสรายวัน ที่เปิดไว้ในชื่อ บัญชี บริษัทเอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด
ลองคิดดูนะครับ เพียงแค่มีการโอนเงินบริจารคเข้ามาพร้อมๆกันเข้าในบัญชีสนับสนุน พันธมิตร และ เอเอสทีวี ยังเกิดปัญหาถึงขนาด ระบบคอมพิวเตอร์ล่ม ถ้าพันธมิตรทั้งประเทศพร้อมใจกัน ใช้มาตรการ อารยะชัดขืน (Civil Disobedience) กับ ระบบเศรษฐกิจ อะไรจะเกิดขึ้น
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การรวมพลังบุกยึดทำเนียบรัฐบาล หรือการ ประท้วงหยุดงาน (On Strike) ของ กลุ่มสหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทย อาจจะถือได้ว่าเป็นการเพิ่มระดับของ การใช้มาตรการ อารยะขัดขืน ที่รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ แต่สิ่งที่ปรากฏกับสายตา และการรับรู้ของคนทั่วไปก็คือ รัฐบาลหุ่นเชิด ขายชาติ ของนายกฯ สมัคร หอกหัก ก็ยังคง ดื้อด้าน และมี ความพยายามสลายการชุมนุม เพื่อจับแกนนำพันธมิตรทั้ง 9 คน เป็นระยะๆ
เพื่อประกาศแตกหักขั้นสุดท้าย ควรมีการกำหนด “เส้นตาย” ให้กับ นายกรัฐมนตรี ทุรยศ คนนี้ให้ “ลาออก” จากตำแหน่งอย่างช้า ไม่เกิดวันอังคารที่ 2 กันยายน 2551 นี้
มาตรการอารยะขัดขืน กับระบบเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลกระทบในวงกว้างที่สุด ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ คือ การขอความร่วมมือให้ ผู้มีหัวใจรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทั้งหลาย พร้อมใจกัน ถอนเงินสดออกจากบัญชีเงินฝากของพร้อมๆกัน หากเมื่อพ้นกำหนดเส้นตายแล้ว นายกฯ จมูกหมู ปากหมา คนนี้ ยังคงดื้อด้านไม่ยอมลาออก
ปัจจุบันจากข้อมูลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย คนไทยมีจำนวนบัญชีเงินฝากรวมกันทั้งสิ้น ประมาณ 74 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลค่ารวมกันประมาณ 7 ล้านล้านบาท
ในจำนวนนี้ มีผู้ที่มีบัญชีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาท ประมาณ 8.9 แสนบัญชี แต่ผู้มีเงินฝากกลุ่มนี้มีเงินฝากจำนวนมากสูงถึง 5.1 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 73% ของปริมาณเงินฝากทั้งหมด
หากพวกเรามั่นใจว่า บรรดากลุ่มพันธมิตรฯที่ร่วมใจกันต่อสู้กับระบบการเมืองที่ชั่วช้ามาอย่างยาวนาน เป็นกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และส่วนใหญ่เป็นผู้มีฐานะ เป็นเจ้าของกิจการทั้งขนาดเล็ก กลางใหญ่ ที่กุมหัวใจ และการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ
จากจำนวนพันธมิตรที่มีกว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศ หากมีเพียง 1 ล้านคน ที่อยู่ในฐานะที่มีเงินฝากในบัญชีเกินกว่า 1 ล้านบาท พร้อมใจกันถอนเงินฝากที่มีอยู่ในบัญชีออกมาพร้อมๆ กัน จะเกิดอะไรขึ้น
เงินสดจำนวน 1 ล้านล้านบาท จะไหลออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ พร้อมๆกัน โอกาสที่จะเกิดความตื่นตระหนก และเร่งถอนเงินฝากของประชาชนรายย่อย (Bank Run) ในกรณีที่ผู้ฝากเงินเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงิน อันจะนำไปสู่ปัญหาลูกโซ่ (Domino Effect) ต่อสถาบันการเงินอื่นๆก็จะตามมา กลายเป็นความเสี่ยงต่อสเถียรภาพของระบบสถาบันการเงินในภาพรวมอย่างรุนแรง เพราะไม่เพียงจะเกิดอาการตื่นตระหนกถอนเงินของผู้คน ยังอาจลามไปถึง ตลาดหุ้น การไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท และผลกระทบอื่นๆที่ตามมาอย่างมหาศาล
ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้มีสูงมาก ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย หากพิจารณาจากมวลชนของกลุ่มพันธมิตรจำนวนหนึ่งที่มีฐานะ กำลังทรัพย์ เป็นเจ้าของกิจการกันหลายแสน หลายล้านคน
การกำหนดเส้นตาย 3 วัน เพื่อให้ นายกฯสมัคร หอกหัก ต้องตัดสินใจ และหากเขายังคงหน้าด้านอยู่ต่อไป ก็จะต้องรับผลแห่งการกระทำที่จะเกิดขึ้น หากระบบสถาบันการเงินของไทยต้องพังครืนลงมา จากความมัวเมาและยึดติดในอำนาจของนักการเมืองที่ชั้วร้ายเหล่านี้
มาตรการอารยะขัดขืนทางเศรษฐกิจ โดยวิธีนี้ นอกจากจะไม่ผิดกฎหมายแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง หรือ ทำให้ มวลชน หรือ พันธมิตร ต้องสูญเสียเงินทอง แต่สามารถส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรง และยังเท่ากับเป็นการประกาศต่อต้านรัฐบาลชุดนี้ที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมที่สุดของบรรดานักธุรกิจ ภาคเอกชน ที่ยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยตัวตน เพราะเกรงอิทธิพลมืดจาก อันธพาลในคราบการเมืองของนักการเมืองสัตว์นรกพวกนี้
ที่ผ่านมา พวกเราต้องต่อสู้กันด้วยความเหนื่อยยาก ทนแดด ทนฝน ตกอยู่ในภาวะความตึงเครียด กันอย่างหนักมาเป็นเวลากว่า 100 วันแล้ว ถึงเวลาเสียทีที่เราจะใช้ วิธีการนี้ เพื่อเป็นบทพิสูจน์พลังของ ประชาชนภิวัฒน์ ที่สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
การโจมีตีด้วยมาตรการนี้ ยังเท่ากับเป็นการตอบโต้ การกระทำของ รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ ที่พยายามจะส่งคนของตัวเองเข้าไปยึดกุม ตลาดเงิน ตลาดทุน ของประเทศ
คงรอช้าไม่ได้อีกแล้ว กำหนดเส้นตาย วันที่ 2 กันยายนนี้ หาก นายกฯสมัคร ไม่ลาออก ก็ต้องเผชิญกับ วิกฤตเศรษฐกิจทั้งระบบ !!!
