อดีตแกนนำ นปก.ผวาพลังพันธมิตรฯ ใช้ PTV ป้ายสีสารพัดข้อหา ทั้งก่อความรุนแรง เรียกหารัฐประหาร หวังลบล้างความผิดให้ “สนธิ” พันธมิตรฯ อีกคนหนึ่งกลับบอกแค่หาทางลงไม่เสียหน้า โดยใช้ “ป๋าเปรม” เป็นเครื่องมือ จัดชุมนุมตรงกับวันเกิด ขณะที่ตัวเองกลับปลุกระดมมวลชนออกมาสู้ อ้างปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
วันนี้ (25 ส.ค.) รายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศทางโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี
ทั้งนี้ ตลอดช่วงเวลารายการทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง ผู้ดำเนินรายการได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกล่าวโจมตีกรณีการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรฯ ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ ตลอดทั้งรายการ โดยในช่วงแรกผู้ดำเนินรายการได้หยิบยก พาดหัวข่าว พันธมิตรฯ “เคลื่อนทัพไล่รัฐบาลชั่ว” ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ประจำวันที่ 25 ส.ค.2551 มานำเสนอ โดยกล่าวกับผู้ชม ว่า แม้ไม่อยากจะเอามาออกอากาศให้ชมเท่าไหร่ แต่ก็ต้องเอามาเสนอเพื่อจะฟ้องประชาชนว่า พันธมิตรฯ กำลังจะขับไล่รัฐบาลที่มาอย่างถูกต้อง ตามการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย จึงอยากถามไปยังประชาชนว่ามีความคิดเห็นเช่นไร แล้วจะยอมให้เกิดการกระทำเช่นนี้หรือ และหากไม่ยอมควรจะมีแนวทางแสดงออกอย่างไร
โดย นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นรองโฆษก สำนักนายกฯ ก็จะขอกล่าวชี้แจงว่า กำหนดการทำงานของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกคน ในวันพรุ่งนี้จะเหมือนเดิม โดยไม่มีเปลี่ยนแปลงกำหนดการประชุม ครม.หรือการยุติการทำงานแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตาม นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการกำชับกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้แล้วว่าไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับกลุ่มพันธมิตรฯ
นายณัฐวุฒิ ได้พูดแบบตีกินว่า อยากบอกให้ประชาชนสบายใจได้ว่า แม้กลุ่มพันธมิตรฯ จะพยายามปลุกระดมให้เกิดความรุนแรงมากเพียงใด แต่จุดยืนของรัฐบาลก็คือ จะไม่ใช้ความรุนแรง จึงเชื่อว่า เหตุการณ์ชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรฯ ในวันพรุ่งนี้จะไม่เกิดความวุ่นวายขึ้น
“ฝากบอกไปยังประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ด้วยว่า ไม่ต้องกังวลว่ารัฐบาลจะยอมแพ้ง่ายๆ เพราะ นายสมัคร ได้ยืนยันไว้แล้วว่า อย่างไรเสียก็จะไม่ลาออก ไม่ยุบสภา รวมถึงไม่ยอมแพ้อำนาจนอกสภา ของพันธมิตรฯ อย่างแน่นอน” นายณัฐวุฒิ กล่าว
ขณะที่ นายจตุพร กล่าวว่า โดยส่วนตัวตนมีความเห็นว่า การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯ ในวันพรุ่งนี้ เป็นเรื่องที่จะประมาทไม่ได้เลย เพราะมีกระแสข่าวว่า การชุมนุมใหญ่ในวันพรุ่งนี้ได้มีการเตรียมการเอาไว้แล้วว่า กลุ่มพันธมิตรฯ จะเริ่มปิดถนนทุกสายที่มุ่งตรงไปยังทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่คืนวันที่ 25 ส.ค.และในช่วงเช้าเมื่อปิดล้อมทำเนียบได้แล้ว ก็จะเคลื่อนขบวนไปที่สวนจิตรลดา เพื่อทำการถวายฎีกาฯ คล้ายกับเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ เพื่อหวังให้เกิดความรุนแรงขึ้นจนทหารต้องออกมายุติสถานการณ์ความรุนแรง แต่หากทหารยังไม่ยอมออกมา คนกลุ่มนี้ก็จะพยามสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นมากไปอีก เพื่อกดดันให้ นายสมัคร ลาออกให้ได้
ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า ลำพังแค่การต่อสู้ของพันธมิตรฯ ในวันพรุ่งนี้ หากจะเอาชนะรัฐบาลได้นั้น เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะพลังของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้นถือว่ากระจอกมาก เรียกได้ว่าแม้กลุ่มพันธมิตรฯ จะจับตัวนายกรัฐมตรี และคณะรัฐมนตรีเอาไว้ หรือต่อให้ฆ่านายกรัฐมนตรีเสีย ก็ไม่ได้หมายความว่า กลุ่มพันธมิตรฯ มีชัยชนะ เพราะอย่างไรเสีย การกระทำดังกล่าวก็ไม่สามารถล้มล้างรัฐบาลชุดนี้ได้ ดังนั้น หากกลุ่มพันธมิตรฯ จะชนะได้ก็มีอยู่ทางเดียว คือ การที่ทหารจะออกมายึดอำนาจอีกครั้ง ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจริง ก็ต้องถามใจประชาชนทุกคน ว่าจะยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นหรือ
นอกจากนี้ ตนมองว่า การที่กลุ่มพันธมิตรฯ เลือกชุมนุมใหญ่ในวันที่ 26 ส.ค.ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นั้น คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ต้องการล็อกคอ ดึงเอา พล.อ.เปรม มาเป็นพวกของตัวเอง และให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า พล.อ.เปรม คือ ผู้อยู่เบื้องหลังของการกระทำในครั้งนี้
ทั้งนี้ การแสดงออกของ นายจตุพร ในวันนี้ดูค่อนข้างก้าวร้าว และโกรธแค้นมากเป็นพิเศษ โดยแสดงออกทางแววตาที่เคียดแค้น รวมไปถึงการใช้คำพูดที่รุนแรง และก้าวร้าว เช่น การเรียกกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า “ไอ้พวกพันธมิตรฯ” หรือการเรียก นายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า “ไอ้สุริยะใส” เป็นต้น
ขณะที่ นายก่อแก้ว กล่าวอ้างว่า ตนรู้ดีว่าการที่พันธมิตรฯ นัดชุมนุมใหญ่ในครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการให้เกิดการแตกหัก จนเกิดการรัฐประหารขึ้น เพื่อที่จะได้ล้างข้อกล่าวหาให้กับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะนายสนธิ คงรู้ตัวดีว่า หากไม่เกิดการรัฐประหารขึ้นตัวเองจะต้องถูกตัดสินจำคุก จากคดีความต่างๆ ที่มีอยู่อย่างแน่นอน
ด้านนายวีระ กล่าวเสริมขึ้นว่า การกระทำของพันธมิตรฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการหาทางลงให้กับตัวเอง เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ คงรู้ตัวแล้วว่า ขืนอยู่ต่อไปอย่างนี้ก็มีแต่แพ้ ไม่สามารถชนะรัฐบาลได้ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างย่ำแย่ เพราะนอกจากจะไม่มีคนออกมาร่วมชุมนุมแล้ว ยังมีเรื่องของความขัดแย้งกันเองของการ์ดพันธมิตรฯ คือ นักรบชากังราว และนักรบศรีวิชัย ที่ตกลงเรื่องเงินกันไม่ได้ จนถึงขั้นทะเลาะวิวาททำร้ายกันเอง รวมไปถึงปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่ตอนนี้ไม่เพียงพอที่จะจ้างศิลปินที่ขึ้นแสดงบนเวที ได้อีกต่อไปแล้ว ซึ่งเหตุผลทั้งหมดนี้เองที่ทำให้พันธมิตรฯ ต้องจัดการชุมนุมใหญ่
นายวีระ กล่าวยืนยันด้วยว่า ข้อมูลที่ว่า ศิลปินทั้งหมดที่ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ได้รับเงินนั้น เป็นเรื่องจริง และบรรดาศิลปินทุกคนที่ขึ้นเวที แล้วอ้างว่าทำเพื่ออุดมการณ์นั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น ดังนั้น การดำเนินการของพันธมิตรฯ ตั้งแต่ต้นจึงเป็นเรื่องของผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้ คำพูดของผู้ดำเนินรายการดังกล่าวเป็นการจงใจใส่ความให้ร้ายพันธมิตรฯ ด้วยความเท็จทั้งสิ้น ตั้งแต่เรื่องข้อกล่าวหาที่ว่าพันธมิตรฯ จงใจจะให้เกิดความรุนแรง ทั้งที่ในแถลงการณ์ของพันธมิตรฯ ในคำปราศรัย และการให้สัมภาษณ์ของแกนนำพันธมิตรฯ ได้ย้ำตลอดว่าจะใช้หลักอหิงสา ไม่ให้เกิดความรุนแรง
ส่วนข้ออ้างที่ว่าไม่มีผู้มาร่วมชุมนุมนั้น ก็ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ยังมีผู้ชุมนุมหนาแน่นทุกวันแม้ว่าจะผ่านมาแล้ว 93 วัน ขณะที่เรื่องความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มการ์ดนั้น เป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอยไร้ข้อเท็จจริง เพราะกลุ่มการ์ดไม่มีผลประโยชน์อะไรให้ขัดแย้งกัน นายวีระเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่า จะมีผลประโยชน์มาจากไหนให้กลุ่มการ์ดแก่งแย่งกัน ขณะที่การจ่ายค่าจ้างศิลปินที่มาแสดงบนเวทีนั้นก็เป็นข้อกล่าวหาไร้หลักฐานและตรงข้ามกับความเป็นจริง เพราะศิลปินที่มาแสดงได้เพียงค่าน้ำมัน 3 พันบาท ขณะที่ศิลปินบางคนไม่รับแม้กระทั่งค่ารถ มิหนำซ้ำยังหาเงินมาบริจาคให้พันธมิตรฯ ไม่ว่าจะเป็น ศรัณยู วงศ์กระจ่าง ศิริลักษณ์ ผ่องโชค หรั่ง ร็อคเคสตร้า หรือ พริก กานต์ชนิต